bloggang.com mainmenu search







หากรอยยิ้ม ช่วยลดความเครียดได้
รินเชื่อว่า บล็อกสัมภาษณ์นี้ก็เช่นกัน
ที่จะทำให้ทุกคนมีรอยยิ้มเกิดขึ้นมาแน่นอน

"อาคุงกล่อง"

ชื่อนี้รินเชื่อว่าทุกคนรู้จักเขาเป็นอย่างดี ด้วยความเป็นเอกลักษณ์หน้าตาซื่อๆ
ใจซื่อ คารมดีเป็นที่หนึ่ง (มีหยอดให้ด้วยนะ) อิอิ
แต่มีมุมหนึ่งที่บางคนก็บอกมาว่า เอ๊ะ !! เป็นยังไงก็ไม่รู้ ดูไม่ออกเหมือนกันว่าอาคุงกล่องตัวจริงเป็นอย่างไรกัน!!


ไม่รอช้าล่ะค่ะ บล็อกสัมภาษณ์ฉบับสุดท้ายของปี 2013 จึงขอฉุดอาคุงกล่อง
เข้ามานั่งคุยกัน ถามกันซึ่งๆ หน้าไปเลยดีกว่า ในคำถามที่ใครหลายคนอยากรู้
หรือคำถามหยั่งเชิงอะไรก็แล้วแต่

ที่อาคุงกล่องพร้อมที่จะกวนได้ทุกเมื่อหรือไม่นั้น
ตามมากันเลยค่า ^^






ก่อนหน้าที่ผมจะเข้ามาอยู่ในบล็อกแกงค์ ผมได้เขียนไดอารี่ออนไลน์อยู่ในเว็ปไซต์ “กูกิ๊ก” ครับ ผมเขียนไดอารี่ออนไลน์และเล่นอยู่ในเว็บนั้นนานประมาณ 2-3 ปี จนกระทั่งเว็บนั้นมีปัญหาเรื่องเซฟเวอร์ เว็บล่มบ่อยมาก ผมกลัวว่าเรื่องราวที่ผมเขียนทั้งหมดนั้นจะหายไป ผมก็เลยย้ายฐานการเล่นเน็ตและเขียนเรื่องทั้งหมดมาอยู่ในบล็อกแกงค์นี้แทนครับ





โดยในช่วงแรก ๆ ก็เอาเรื่องต่างต่างที่ผมได้เคยเขียนไว้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องตลกมาลงอัพบล็อก และก็เริ่มต้นเขียนเรื่องตลกใหม่ ๆ ที่บล็อกแกงค์แห่งนี้ด้วย โดยผมเข้ามาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2550 มาถึงตอนนี้ก็เป็นสมาชิกบล็อกแกงค์อยู่เกือบ 7 ปีเต็มแล้วครับ










ชื่อเล่นจริง ๆ ผมชื่อ “กล่อง” ครับ ส่วนคำว่า “อาคุงกล่อง” ที่ผมใช้เป็นนามแฝงนี้ เป็นคำที่ลูกค้าซึ่งมีเชื้อสายจีนชอบเรียกผมว่า “อาคุงกล่อง” บ่อย ๆ ผมเลยเอามาใช้เป็นนามแฝงประจำตัวซึ่งมันก็ฟังดูเท่ดีครับ ในสมัยก่อนมีรายการทีวีของญี่ปุ่นที่ชื่อว่า “ขำกลิ้ง ลิงกะหมา” กำลังฮิตด้วย ที่มีตัวละครเอกเป็นลิงที่ชื่อ “ปังคุง” พอผมเอาชื่อ “อาคุงกล่อง” มาใช้เลยรู้สึกเท่ตามไปด้วยครับ












เป็นเรื่องจริงเลยที่จะเล่าให้ฟังว่า ในตอนแรกเลยที่ผมสมัครเป็นสมาชิกของบล็อกแกงค์ ในสมัยนั้นขั้นตอนการสมัครเป็นสมาชิกยังวุ่นวายและซับซ้อนมากกว่าสมัยนี้เยอะ ในตอนแรกผมเลือกที่จะใช้ชื่อนามแฝงว่า “อีตากล่อง” แต่หลังจากที่ผมเฝ้ารอนานมากกว่า 7 วัน ก็มีอีเมล์จากทีมงานพันทิปแจ้งกลับมาบอกผมว่า

“ขออภัย ไม่สามารถใช้ชื่อนามแฝงที่ท่านต้องการได้ เนื่องจากมีคำไม่สุภาพรวมอยู่ด้วย”



พอผมอ่านอีเมล์นี้แล้วผมก็ตกใจอย่างสุดขีดเลยครับ คำไม่สุภาพตรงไหนกัน? จริง ๆ แล้วสาเหตุที่ผมอยากจะเลือกใช้นามแฝงว่า “อีตากล่อง” ก็เพราะว่าผมไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมเป็นลูกมาหาเศรษฐีครับ (มาหาแต่ไม่ได้นัดไว้เลยไม่เจออ่ะ) จริง ๆ แล้วผมเป็นเจ้าของตลาดสดใจกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดของกรุงเทพฯเลย ซึ่งก็คือตลาด อ.ต.ก. นั้นเองครับ

หลายท่านอาจจะไม่ทราบว่าชื่อของตลาด อ.ต.ก. นั้นเป็นชื่อที่ท่านคุณหลวงจงใจเสาะ ณ แสวงหา (ท่านเป็นขุนนางเก่าแก่ฝ่ายนอกของจังหวัดอ่างทอง) ซึ่งเป็นคุณตาของผมได้ตั้งให้เป็นที่ระลึกในวันเกิดของผม ตลาด อ.ต.ก. เป็นตัวย่อมาจากคำว่า “ตลาดอีตากล่อง” ครั้นจะให้ผมสมัครใช้นามแฝงแบบตรง ๆ ว่า “เจ้าของตลาด อ.ต.ก.” คงไม่เหมาะแน่ ๆ ครับ ผมเลยใช้คำว่า “อาคุงกล่อง” แทนมาจนถึงทุกวันนี้ไงครับ กว่าผมจะฝ่าฟันเรื่องชื่อมาได้จนกลายเป็นชื่อนามแฝงที่ติดหูหลาย ๆ คนมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ผมก็คงจะใช้ชื่อนี้ไปตลอดโดยไม่สามารถเปลี่ยนเป็นชื่ออื่นได้อีกแล้วครับ

(พอเขารู้ความจริงกันแล้ว เขายังจะไปใช้บริการที่ตลาด อ.ต.ก. กันอีกอ่ะป่าวหว่า?)

(โหบทสัมภาษณ์นี้ออกไปทำให้รู้กันหมดนะคะว่าเจ้าของตลาด อ.ต.ก. ตัวจริงมาเขียนบล็อกอยู่ที่นี อิอิ)












ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเสมอครับ (ยกเว้นเพียงแค่ใจของผมเท่านั้น ที่มั่นคงตลอดกาลไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้เลย)Smiley ผมคิดว่าพันทิปโฉมใหม่ก็มีการเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ อย่างที่ดีขึ้น ทำให้สะดวกในการใช้งานมาขึ้น





อีกทั้งรองรับการใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ มากขึ้นอีกด้วยครับ ในโลกแห่งธุรกิจทุกอย่างจะต้องมีการแข่งขันกันเสมอ สำหรับเว็บพันทิปเองก็คงต้องแข่งกับโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ด้วย (เฟสบุ๊ค , ทวิตเตอร์ ,ไลน์ ฯลฯ) ซึ่งแต่ละเว็บก็มีข้อเด่นข้อด้อยแตกต่างกันออกไป ดังนั้นเพื่อความอยู่รอดพันทิปจึงต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้บริการ อีกทั้งเมื่อเปลี่ยนแปลงมาได้เกือบหนึ่งปีแล้ว ผู้ใช้บริการก็เริ่มชินมากขึ้นแล้วด้วยครับ ผมจึงถือว่าการเปลี่ยนแปลงในปีที่ผ่านมาของพันทิปนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างมากเลยครับ





อาคุงกล่องเคยได้รับรางวัลไทยแลนด์บล็อกอวอร์ดในการประกวดปีแรกด้วยค่ะ

ขอบพระคุณทุกกำลังใจที่โหวตให้แก่ผม ... Thailand Blog.Awards 2010











จริง ๆ ในสมัยก่อนหน้านี้ผมทำงานด้านการเงิน ผมต้องอยู่ในไลน์ธุรกิจที่ค่อนข้างซีเรียสโดยตลอด รอบข้างผมมีแต่คนที่เครียดและเคร่งมขรึมทั้งนั้น ซึ่งผมก็คิดว่าการที่เราเครียดอยู่กับงานประจำมาก ๆ คงไม่ดีแน่ ผมเลยต้องหาทางผ่อนคลายอารมณ์เครียดของตัวเองบ้าง ซึ่งก็ได้การเขียนเรื่องตลกนี้ล่ะครับที่มาช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย และช่วยสร้างรอยยิ้มให้แก่ตัวผมเองได้มากขึ้นด้วย ตามคำแนะนำตัวของผมที่เขียนติดอยู่เป็นประจำในบล็อกของผมที่เขียนบอกไว้ว่า ...

อาคุงกล่อง เป็นชายไทยคนหนึ่ง ที่ใช้เวลาว่างหลังเลิกงานและเวลาว่างในวันหยุด เขียนเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อเก็บไว้อ่านเป็นงานอดิเรก โดยบางเรื่องสนุกบ้างไม่สนุกบ้าง ขำบ้างไม่ขำบ้าง .... เพื่อน ๆ ก็ทนอ่าน ๆ กันไปก่อนนะครับ โดยช่วงนี้ผมพยายามจะเขียนเรื่องใหม่ ๆ ให้ทุกท่านได้อ่านกันบ่อย ๆ ครับ

"ในชีวิตจริงของคนเรา มีอะไรอีกมากมายที่จะต้องรับรู้และรับผิดชอบ ในแต่ละวันเรามีโอกาสที่จะหัวเราะได้สักกี่ครั้ง? แต่ถ้าเราได้มีโอกาสหัวเราะเสียบ้างเพื่อเป็นการผ่อนคลายหรือคลายเครียด ก็คงจะเป็นสิ่งที่ดีนะครับ"











มันก็คงต้องมีบ้างเป็นธรรมดาครับ ส่วนใหญ่ผมจะเจอในหลายเรื่องที่เป็นเรื่องที่ขำไม่ออก แต่ผมก็พยายามต่อสู้กับมันแก้ปัญหาไปทีละเรื่อง โดยพยายามไม่เก็บเอามาคิดให้เกิดความเครียดมากขึ้นในใจ เมื่อเวลาที่ผ่านช่วงนั้นไปแล้วผมก็จะลืมมันไปเลย โดยไม่หวนคิดถึงมันอีก แล้วผมเอาเวลามานั่งคิดหามุขใหม่ ๆ สำหรับนำมาเขียนเรื่องแทนดีกว่าครับ


















ถ้าจะให้ตอบแบบนางเอกก็ต้องตอบว่า “ชอบทั้งหมดเลยค่ะ” ถ้าตอบแบบเจ้าของร้านอาหารก็ต้องตอบว่า “อร่อยทุกอย่างครับ” ถ้าจะให้ตอบแบบนางงามก็ต้องตอบว่า “รักทุกคนค่ะ” ถ้าจะให้ตอบแบบนักการเมืองต้องตอบว่า “เอาทุกอย่างเลยครับ”



แต่ถ้าจะให้ตอบแบบอาคุงกล่องก็ต้องตอบว่า “ชอบบล็อกล่าสุดครับ” เพราะว่าทุกบล็อกกว่าจะผมจะอัพมาให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันได้นั้น ผมตั้งใจเขียนขึ้นมาเป็นอย่างดี ใช้เวลาในการเขียนค่อนข้างมาก ต้องตั้งใจคิดเรื่อง ตั้งใจหามุข ตั้งใจหาทางผูกเรื่อง ต้องเขียนและตรวจตัวสะกดรวมทั้งแก้ไขความถูกต้องต่าง ๆ ก่อนที่จะนำเรื่องที่เขียนมาอัพบล็อกทุกครั้ง ดังนั้นบล็อกที่ภูมิใจที่สุดของผมก็คือบล็อกล่าสุดครับ ถ้าท่านไม่เชื่อก็ลองคลิกเข้าไปชมได้เลยครับ ตามลิงค์นี้ครับ

คลิก บล็อกล่าสุด











ส่วนตัวผมชอบการเขียนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อผมมาเจอสิ่งที่เรียกว่า โปสการ์ด ซึ่งด้านหน้าเป็นภาพที่บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ไว้ ส่วนอีกด้านหนึ่ง (ข้างหลัง) ที่ว่างเปล่านั้น เราสามารถเขียนเรื่องราวที่เราอยากเขียนลงไปได้ อีกทั้งเราสามารถเขียนแล้วส่งให้แก่คนอื่นได้อ่านเพื่อรับรู้เรื่องราวที่เราถ่ายทอดได้อีกด้วย มันจึงถือว่าเป็นการสรรสร้างความสุขในอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าประทับใจมาก ๆ ครับ

ดังนั้นเมื่อความสุขสามารถพัฒนารูปแบบให้ซับซ้อนมากขึ้นไปอีก การออกตามล่าหาความสุขนั้นจึงเป็นสิ่งที่น่าปรารถนาสำหรับหลาย ๆ คน เรื่องราวเกี่ยวกับโปสการ์ดก็คงเหมือนกัน โปสการ์ดนอกจากจะเป็นตัวแทนของบันทึกการเดินทางที่เราสามารถส่งต่อให้เพื่อนหรือคนอื่นรับรู้และสัมผัสได้ แล้ว ภาพที่อยู่ด้านหน้าของโปสการ์ดยังสื่อความหมายได้อีกด้วย ดังคำกล่าวที่บอกเอาไว้ว่า

“หนึ่งภาพแทนคำล้านคำ”

ดังนั้นเมื่อได้รวมกับเรื่องราวที่เราได้เขียนบรรยายลงไปข้างหลังโปสการ์ดนั้น ยิ่งทำให้กระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่เรียกว่าโปสการ์ดใบนี้มีคุณค่าทางใจ ที่ผู้รับอยากจะเก็บรักษาเอามันเอาไว้ตลอดกาล และคงไม่ต่างอะไรไปจากการรักษามิตรภาพที่ดีระหว่างกันและกันเอาไว้ด้วย




การออกตามล่าหาซื้อโปสการ์ดต่าง ๆ นั้นก็ยิ่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่การเขียนโปสการ์ดมากยิ่งขึ้น โปสการ์ดบางประเภทจะมีขายเฉพาะสถานที่(ท่องเที่ยว)นั้น ๆ เพียงเท่านั้น ถ้าเราอยากได้โปสการ์ดเหล่านั้นมาเขียนส่งให้แก่คนอื่นเราก็ต้องไปเที่ยวไปตามหาซื้อโปสการ์ดจากสถานที่(ท่องเที่ยว)นั้น ๆ ดังนั้นโปสการ์ดนอกจากจะเป็นตัวช่วยบันทึกการเดินทางที่เราส่งต่อให้แก่ผู้อื่นแล้ว มันยังช่วยเพิ่มอรรถรสให้แก่การเดินทางและการท่องเที่ยวของเราให้มีชีวิตชีวาและมีความหมายที่น่าจดจำมากขึ้นไปอีกครับ (เขียนโปสการ์ดส่งให้ตัวเองก็ได้นะ ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ไม่มีใครรวมตัวต่อต้านด้วย)

จากที่ผมได้ตอบในข้างต้นนี้ก็น่าจะอธิบายความหมายของคำว่า “ตรูบ้าโปสการ์ด” ของผมได้เป็นอย่างดีแล้วครับ ส่วนคำถามเรื่องเกี่ยวกับตราประทับและฟรีโปสการ์ดนั้น มันเป็นเรื่องเฉพาะของคนที่มีอาการ “บ้าโปสการ์ด” กำเริบมากขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นการยากที่จะอธิบายให้ผู้คนทั่วไปเข้าใจได้ แต่ถ้าท่านใดอยากจะรู้ซึ้งถึงเรื่องราวเกี่ยวกับตราประทับและฟรีโปสการ์ดมากกว่านี้ ท่านก็คงต้องไปสร้างอาการ “บ้าโปสการ์ด” ให้เข้าขั้นเสียก่อน ผมจึงขอแนะนำให้ท่านเข้าไปสมัครเป็นสมาชิกของคลับ “เรารักโปสการ์ด” ในเว็บพันทิป ตามลิงค์นี้เลยครับ

(คลับเรารักโปสการ์ด ห้องบลูแพลนเน็ต เว็บพันทิปดอทคอม)












ผมเป็นคนไม่กินผักบางชนิดเท่านั้น (ผักตบชวา และผักชีฝรั่ง ผมไม่กินครับ) แต่สาเหตุที่ผมปลูกผักสวนครัวเพราะว่ามันเป็นพืชที่ปลูกได้ง่ายและมีประโยชน์เป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าผมจะไม่กินผักที่ผมปลูกแต่ผมก็เอาผักเหล่านั้นไปแจกให้แก่เครือญาติของผมได้เอาไปประกอบอาหารรับประทานกันเสมอครับ คุณแม่ผมชอบกินผักบุ้งและผักกาดขาวที่ผมปลูก คุณพ่อผมชอบให้ทำเอาผักคะน้าที่ปลูกมาผัดน้ำมันเครื่อง .. เฮ้ย ผัดน้ำมันหอยให้กินเป็นประจำ (ลืมตัวครับ ... คุณพ่อผมชอบซ่อมรถยนต์นะ)


พี่สาวของผมก็ชอบเด็ดพริกขี้หนูที่ผมปลูกเอาไปตำน้ำพริกตลอด ส่วนพี่สาวอีกคนก็ชอบกินบวบที่ผมปลูกเพราะเขาบอกว่าลูกมันดูพอเพียงดี บวบลูกเดียวที่เป็นลูกเล็ก ๆ ใช้สำหรับทำอาหาร 1 มื้อพอดีเลย ถ้าไปซื้อบวบจากตลาดลูกมันจะใหญ่เกินแล้วจะใช้ไม่หมด ที่เหลือต้องทิ้งเสมอ (เขาชมจริง ๆ หรือว่าเขาด่าว่าบวบผมลูกเล็กหว่า?)


ผมชอบการปลูกต้นไม้ การปลูกเป็นเรื่องราวของกระบวนการและขั้นตอน ผมไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงผลลัพธ์สุดท้ายก็ได้ ผมสามารถจินตนาการต่อเองได้ว่าต้นไม้ที่ผมปลูกเมื่อโตแล้วจะเป็นอย่างไร? จะออกลูกกี่ลูก? ผมจินตนาการเอาตามที่ใจต้องการได้ (ต้นมะม่วงที่คุณพ่อผมโค่นทิ้งไปแล้วเมื่อ 7 ปีก่อน ทุกวันนี้ผมยังจินตนาการว่ามันเติบโตดีอยู่เลยครับ วันก่อนพายุมามีลมแรงมากผมล่ะเสียวต้นมะม่วงจะโค่นเลยครับ) ก็คงเหมือนกับเวลาที่เราได้อ่านเรื่องสั้นหรือนิยายดี ๆ สักเรื่อง ที่ในตอนจบผู้เขียนไม่จำเป็นต้องบอกสรุปเรื่องราวทั้งหมดไว้ แต่จะปล่อยเป็นประเด็นทิ้งไว้ให้ผู้อ่านได้เอาไปคิดต่อเอง

ดังนั้นเรื่องของการกินผักที่ปลูกจึงแทบไม่มีความหมายสำหรับผมเลย สรุปว่าผมชอบปลูก ผมเลยเน้นที่การปลูกอย่างเดียวก็พอครับ (พ่อครัวที่ชอบทำครัวบางคนยังไม่เคยได้กินอาหารที่ตัวเองทำเลยครับ)










ผมยังไม่มีแฟนครับ แต่ผมก็เคยบอกไว้ในบล็อกที่รีวิวให้โรงแรมเพนนินซูลาเหมือนกันว่า บรรยากาศริมแม่น้ำนั้นเป็นบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติคน่าประทับใจ ถ้ามีโอกาสผมอยากจะพาสาว ๆ ไปนั่งริมในบรรยากาศริมแม่น้ำแล้วเอ่ยปากขอเธอแต่งงานจังเลยครับ

โดยผมจะชวนเธอไปนั่งกันเงียบ ๆ สองคนที่โต๊ะริมแม่น้ำ แล้วผมก็จะพยายามพูดขอเธอแต่งงานว่า ...

“ชีวิตคู่ก็คงเหมือนกับการที่ได้ลงเรือลำเดียวกันเน๊อะ” ผมคงพูดขึ้นพร้อมทั้งชี้ไปที่เรือลำหนึ่งซึ่งกำลังลอยล่องอยู่กลางลำน้ำ



แล้วผมก็คงร่ายยาวต่อเพื่อเป็นการหว่านล้อมเธอก่อนว่า “เธอลองคิดดูสิว่า .. ถ้าเวลาลงเรือแล้วเหยียบแคมเรือไม่ดีเรือคงล่มแน่ ถ้าลงเรือไปแล้วเรือมันรั่วน้ำเข้าได้เรือก็คงล่มอีกเช่นกัน ถ้าลงเรือไปแล้วใครคนหนึ่งกลับไปชวนคนอื่นมาลงเรือเพิ่มด้วย เรือก็จะน้ำหนักเกินแล้วก็คงล่มจมลงอย่างแน่นอนที่สุด”

มาถึงจังหวะนี้ผมจะลองสังเกตดูว่าเธอเริ่มจะคล้อยตามผมบ้างหรือยัง ถ้าเธอเริ่มเคลิ้มได้ที่แล้วผมก็จะพูดจูงใจเธอมากขึ้นไปอีกว่า “ชีวิตคนเราก็เหมือนกับลำเรือนั้นหล่ะ ชีวิตของพี่อยู่มาก็นานมากแล้วก็คงเหมือนกับเรือเก่า ๆ ที่ผุพังรอคอยวันที่จะล่มจมลงน้ำเพียงอย่างเดียว ส่วนตัวเรือนั้นจะแล่นไปได้ก็ต้องขับเคลื่อนด้วยพลังงานที่ใช้น้ำมัน ในทุกวันนี้พี่คงไม่มีตังค์ซื้อน้ำมันมาเติมลำเรือแน่ ๆ ดังนั้นเรือที่ขาดน้ำมันแถมยังผุ ๆ พัง ๆ แล่นออกไปกลางแม่น้ำมันก็คงต้องล่มจมไปทั้งลำแน่ ๆ”

มาถึงตอนนี้ผมคิดว่าคงถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องยิงหมัดเด็ดที่เป็นประโยคพิชิตใจเธอให้ได้

แล้วผมก็จะรีบพูดขึ้นต่อในทันทีโดยไม่ให้เธอตั้งตัวได้ทันว่า ...

“กลับบ้านกันเถอะ บ้านใครบ้านมันนะ พี่ว่ายน้ำไม่เป็นอ่ะ”



เธอคงจะแต่งงานกับผมหรอกนะ คำก็ล่มสองคำก็ล่มสามคำก็ล่มจม ผมคิดว่าผมกะเธอควรแยกย้ายหนีหน้าหายจากกันไปเลยน่าจะดีกว่าครับ

ก๊าก ๆ ๆ ๆ

อิอิ


(เขาให้ขอสาวแต่งงาน ดันไปหาเรื่องบอกเลิกสาวได้ไงเนี่ย?)









จะบอกว่า ... มีเจ้าสาวอยู่หรือไม่นั้นมันไม่ใช่ประเด็นครับ ประเด็นของผมคือพอผมรู้ว่ามีคนเห็นผมไปกดไลท์เพจนั้นแล้ว ในตอนนี้ผมเลยต้องไปเปิดเฟสบุ๊คปลอมขึ้นมาใหม่อีก 1 ชื่อแล้วครับ สำหรับเอาไว้กดไลท์เพจสาวนมโต .. เฮ้ย เพจของสมาคมนิยมสาวสวยฯ อย่างเดียวครับ ต่อไปนี้จะไม่มีใครเห็นว่าผมไปกดไลท์เพจแบบนี้อีกแล้วครับ (ต้องสร้างภาพไว้ก่อนอ่ะ)

อ่ะ ... จี๋ย ย ยย ย ย












ตัวผมไม่กวนตีนนะครับ ผมเป็นคนเรียบร้อย มีสัมมาคาราวะและสุภาพมากที่สุดเลย ส่วนคนที่กวนตีนจริง ๆ คือไอ้สงัดเพื่อนของผมครับ ถ้าท่านไม่เชื่อท่านก็ลองกดไปอ่านเรื่องราวอันสุดจะกวนตีนของไอ้สงัดเพื่อนผมดูได้เลยครับ

สงัด+ไสว=ผมเอง












ผมคิดว่าโกโบริคงไม่เลือกใครเลยแน่ ๆ เพราะว่าโกโบริไม่ชอบฟันหลังครับ โกโบริบอกว่าถ้าฟันหน้าไม่ได้ก็ไม่เอา
ฟันหลังมันเมื่อยเกิน ส่วนฟันปลอม ๆ เบื่อแล้วครับ

ก๊าก ๆ ๆ ๆ ๆ

(ตอบไม่ตรงประเด็นเนี่ยหว่า?)










ผมไม่อยากเป็นโจรแต่ผมก็ไม่ใช่ชายบริสุทธิ์ ... เฮ้ย ไม่ใช่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ เอาเป็นว่าถ้าผมเจอเหตุการณ์ที่โจร กำลังเอาปืนจี้หัวจะสังหารอีกคนซึ่งเป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์อยู่นั้น ผมขอเลือกเป็นผู้กำกับดีกว่าครับ ผมจะได้เป่านกหวีดสั่งคัทเพื่อตัดฉากได้ทันก่อนที่โจรจะเหนี่ยวไกยิงผู้บริสุทธิ์ครับ



อ้าว ... เขาไม่ได้ถ่ายหนังกันอยู่เหรอ?



(จริง ๆ ตอนแรกอยากจะตอบว่าขอเลือกเป็นปืน เพราะว่าจะได้มีกัน (Gun) เสมอ ... แต่ไม่เอาดีกว่า มุขมันฟังแล้วน้ำเน่าเกินอ่ะ)










คำว่า “ผมเป็นชายไร้รัก” นี้ เสมือนสำนวนที่เป็นนิยามประจำตัวผม ในเวลาที่ผมจะต้องคอมเม้นท์เรื่องราวเกี่ยวกับความรักไว้ให้ในบล็อกของเพื่อน ๆ ครับ เนื่องด้วยความอ่อนเยาว์ในเรื่องรัก ความใสซื่ออันบริสุทธิ์และไร้เดียงสาในเรื่องความรักของผม ผมเลยต้องขอออกตัวไว้ก่อนเสมอทุกครั้งครับ

สำหรับผมนั้นคิดว่าถ้าเราไม่รู้อะไรจริง เราก็ไม่ควรที่จะไปให้คำแนะนำในเรื่องที่เราไม่รู้แก่คนอื่นครับ เรื่องราวของความรักเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนเกินกว่าที่ผมจะเข้าใจได้ครับ อีกทั้งผมก็ยังไม่เคยลงทะเบียนเรียนเรื่องเกี่ยวกับความรักมาก่อนด้วยครับ มันคงเหมือนผมเรียนจบมาแล้วได้รับแค่ “ปริญญาไร้หัวใจ” ที่ปราศจากหน่วยกิตที่เกี่ยวกับเรื่องรักเลย




ความรักนั้นเป็นเหมือนรูโหว่ในความรู้สึกที่ผมไม่เคยสัมผัสได้ ถ้ามีสาวคนไหนสักคนเอาปืนมาจ่อที่หน้าอกด้านซ้ายของผมแล้วยิง กระสุนนัดนั้นคงทะลุทะลวงผ่านผิวหนังเหี่ยว ๆ ของผมไป โดยไม่ได้กระแทกกับอวัยวะอุ่น ๆ ที่เรียกว่า “หัวใจ” เลยครับ หัวใจของผมมันคงมีอยู่เพียงได้ชื่อว่าเป็นหัวใจเท่านั้น แต่อาจจะไร้ซึ่งก้อนเนื้อที่รวมเส้นประสาทใด ๆ อยู่เลยก็เป็นได้ ในยามที่ผมไม่สบายแล้วต้องไปพบแพทย์นั้น คุณหมอเอาหูฟังมาวัดระดับการเต้นของหัวใจของผมแล้วคุณหมอก็ต้องบอกว่า ให้ผมหายใจลึก ๆ เอาแบบนูโวเลย (ลึกสุดใจ : ก้อง+โจ นูโว) แล้วคุณหมอก็ได้แต่ส่ายหน้าครับ เพราะว่าเขาคงไม่ได้ยินเสียงเต้นอันเร้าร้อนของหัวใจผมแน่ ๆ ครับ (คุณหมอเขาส่ายหน้ารำคาญมากกว่ามั๊ง ลีลาเยอะจัดจังนะ) เสียงเต้นของหัวใจผมคงดังแผ่วเบาเท่าเสียงมดที่กระดิกแค่ปลายหนวดก็เป็นได้ครับ

เมื่อผมไม่มีกล้ามเนื้อก้อนแดง ๆ ในอกข้างซ้ายให้รับสัมผัสของคำว่า “รัก” ได้แล้ว ผมก็เลยสามารถเรียกตัวเองว่าผมเป็น “ชายผู้ไร้รัก” ได้อย่างสมบูรณ์แบบเต็มปากเต็มคำเลยครับ

(อ่านจบแล้วพอจะได้เศร้าเคล้าน้ำตาบ้างไหมเนี่ย?)












จริง ๆ แล้วผมไม่ได้รับสายสะพายในหมวดขำขันมา 2 ปีแล้วนะครับ แต่เป็นอะไรที่ผมคิดว่าแฮบปี้มากกว่าเยอะเลยครับ การที่มีสายสะพายนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ดีครับ สายสะพายเป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาและน่าภูมิใจสำหรับบล็อกเกอร์ผู้ที่ได้รับเป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นรางวัลตอบแทนการอัพบล็อกที่ดีอย่างน่าประทับใจมาโดยตลอด เพื่อน ๆ เลยโหวตคะแนนให้มากมายจนได้รับรางวัลสายสะพายนั้น ๆ

แต่ถ้ามองในทางกลับกัน ในบางครั้งมันก็เหมือนกับดาบสองคมก็เป็นได้ การได้รับสายสะพายในหมวดขำขันมาแล้ว อาจจะเป็นสิ่งกดดันให้คุณต้องเขียนเรื่องขำขันตลอดไปก็เป็นได้ ถ้าอยากจะเปลี่ยนแนวมาเขียนเรื่องประเภทอื่น หรืออัพบล็อกในลักษณะอื่น ๆ เช่น อัพบล็อกรีวิวที่พักซึ่งยากกว่าหลายเท่านั้นก็อาจจะทำได้ไม่ดีมากนัก เนื่องจากยังติดภาพลักษณ์จากการที่มีสายสะพายในหมวดขำขันห้อยท้ายอยู่ เรื่องราวที่อยากจะนำเสนอในแง่มุมที่ดี ๆ หรือในแง่มุมอื่น ๆ แต่ผู้เข้าเยี่ยมชมอาจจะคาดหวังแค่เป็นเรื่องตลกอย่างเดียวก็เป็นได้ เลยทำให้บล็อกที่ตั้งใจทำขึ้นมานั้นกลายเป็นบล็อกที่ผิดจากที่ผู้เข้าชมคาดหวังไว้ (เขียนเรื่องจริงแต่คนอ่านติดภาพเดิม เลยคิดว่าเป็นเรื่องตลก) ผลสุดท้ายเลยกลายเป็นความรู้สึกที่กดดันตัวเองก็เป็นได้ครับ



จริง ๆ แล้วเรื่องตลกเป็นเรื่องที่เขียนยากมาก ๆ (ถ้าคุณไม่ได้ลอกหรือก็อปปี้เรื่องตลกของใครเขามานะ) ถ้าคุณไม่อยู่ในอารมณ์ที่สนุกสนานคุณจะไม่สามารถเขียนเรื่องให้ตลกได้แน่ ๆ อีกทั้งเรื่องตลกที่ดีนั้นผู้เขียนต้องแต่งไปหัวเราะไป เขียนไปหัวเราะไปด้วย ถึงจะได้เรื่องราวที่ออกมาตลกอย่างดูแนบเนียนมีชีวิตชีวาและน่าอ่าน ซึ่งจริง ๆ แล้วตัวผมก็ยังไม่สามารถเขียนเรื่องตลกได้ดีถึงขนาดนั้น แล้วก็อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นด้วยว่า ในชีวิตจริงของเรานั้นในบางครั้งก็คงมีช่วงเวลาที่ขำไม่ออกเหมือนกัน ถ้าให้คุณจะมานั่งเขียนเรื่องราวซีเรียส สุดแสนจะรันทดเศร้าเคล้าน้ำตาเพื่อปรับทุกข์ของตัวเองสำหรับอัพลงในบล็อก โดยที่คุณมีสายสะพายในหมวดขำขันห้อยท้ายชื่ออยู่ด้วยแล้วก็คงเป็นเรื่องที่ผู้เข้ามาเยี่ยมชมเขาคงจะขำไม่ออกด้วย ความคาดหวังของผู้เข้ามาเยี่ยมชมที่อยากจะอ่านเรื่องตลกก็คงจะหมดไปเช่นกันด้วย


ดังนั้นเมื่อผมไม่มีสายสะพายในหมวดขำขันมาต่อท้าย 2 ปีแล้ว ผมจึงสบายใจมากขึ้นที่จะเขียนเรื่องในลักษณะที่แตกต่างออกไปเพื่อนำมาอัพบล็อกมากขึ้นด้วย ถ้าลองสังเกตดูจะเห็นว่างานเขียนของผมในช่วง 2 ปีหลังนี้ได้เปลี่ยนรูปแบบออกไปค่อนข้างมาก โดยอาจจะไม่ได้เน้นงานเขียนที่เป็นแต่เรื่องตลกเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่ยังมีงานเขียนที่เป็นรูปแบบมาตรฐานต่าง ๆ เพิ่มขึ้นมากด้วย อาทิเช่น งานเขียนที่เป็นรูปแบบของเรื่องสั้น , เรื่องยาว , นิยาย , บทความเชิงวิชาการ , บทความเชิงเล่าเรื่อง , บล็อกรีวิวที่เป็นการรีวิวเรื่องราวต่าง ๆ , เรื่องราวเกี่ยวกับภาพยนตร์ , เรื่องราวเกี่ยวกับหนังสือ ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมปรารถนาอยากจะพัฒนางานเขียนของผมให้มีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้นครับ




แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดในทุกบล็อกของผมที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยก็คือ
เรื่องราวต่าง ๆ ในบล็อกทั้งหมดของผมนั้นยังคงเป็นเรื่องราวที่ผมเขียนขึ้นเองทั้งหมด โดยไม่ได้ลอกเลียน หรือก๊อปปี้เรื่องหรือข้อความของใครเอามาลงแน่ ๆ เป็นงานเขียนที่ผมคิดและเขียนขึ้นเองโดยมีวิธีการนำเสนอในรูปแบบที่เป็นของผม ซึ่งในบางครั้งอาจจะมีการแฝงเรื่องราวขำขันหรือมุกตลกสอดแทรกไว้ในเนื้อเรื่องบ้าง ซึ่งอาจจะไม่ได้เป็นเรื่องตลกล้วน ๆ เหมือนแต่ในสมัยก่อนแล้ว

แต่ผมก็ยังไม่ได้ทิ้งเรื่องตลกไปเสียเลย ผมยังมีเขียนเรื่องตลกให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันอีกแน่ ๆ ครับ แต่ว่าในช่วงนี้อาจจะมีเรื่องรูปแบบอื่น ๆ สลับไปมาบ้างเท่านั้นเองครับ










เมื่อประมาณช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน 2556 ที่ผ่านมา ผมได้ส่งงานเขียนบทละครของผมเข้าประกวดในโครงการพัฒนาบทละครโทรทัศน์ รุ่นที่ 2 เพื่อส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมซึ่งจัดโดยกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับทางบอสคลาสเทเลวิชั่น (ช่อง 3) โดยบทละครเรื่อง “ลูกระนาด” ของผมได้ผ่านเข้ารอบติด 1 ใน 25 เรื่องสุดท้าย แต่ก็ได้แค่นั้นเพราะว่าตกรอบไม่ติด 1 ใน 10 เรื่องสุดท้ายครับ สำหรับผมถือว่าการประกวดบทละครในครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของผม ที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ผมเขียนเรื่องที่ดี ๆ ต่อไปในอนาคตครับ


ลูกระนาด













ในทุกครั้งที่ผมอัพบล็อกผมมักจะอวยพรให้แก่ผู้เข้ามาเยี่ยมชมบล็อกของผมมีความสุขและมีสุขภาพที่ดีเสมอ ดังนั้นผมขอฝากคำอวยพรทิ้งท้ายไว้ให้แก่เพื่อนบล็อกทุกท่านก็แล้วกันครับ โดยสิ่งที่ผมอวยพรแล้วอยากจะให้พรนั้นเป็นจริงในทุกครั้งก็คือ

ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพที่ดีครับ การที่มีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ นั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาสำหรับทุกท่านครับ ถือว่าเป็นลาภอันประเสริฐสุดที่ธรรมชาติได้มอบให้แก่ท่านแล้ว เมื่อร่างกายท่านมีสุขภาพที่แข็งแรงแล้ว จิตใจของท่านก็จะมีความสุขตามไปด้วยครับ

ดังนั้นผมจึงขออวยพรให้ทุกท่านขอให้ท่านมีความสุขมาก ๆ นะครับ ขอให้มีความสุขสดชื่นอย่างเปี่ยมล้น ขอให้มีความสุขสนุกสนานและแฮบปี้ไปตลอดทุกวันเลยครับ

สาธุ ...

อิอิ






ฮ่าาาาา ก็เขาล่ะ อาคุงกล่อง ผุ้ชายหน้าตาซื่อๆคนนี้ ที่สร้างสีสันให้กับบล็อกแกงค์มายาวนาน

คิดว่าเขากวนมั้ย ??

หมั่นไส้เขามั้ย ??

เมื่อได้อ่านบทสัมภาษณ์นี้จบลง คุณมีความเห็นว่าอย่างไรบ้างล่ะคะ กับผู้ชายที่ชื่อว่า "อาคุงกล่อง"

สุดท้ายของบล็อกสัมภาษณ์นี้ รินขอขอบคุณอาคุงกล่องที่ได้สละเวลามาตอบคำถามบล็อกสัมภาษณ์ในวันนี้ด้วยนะคะ
รินเชื่อว่า ใครๆ ก็อยากตามไปทุบ เอ้ย ไปขุดคุ้ยเรื่องราวในตัวอาคุงกล่องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ชี้ทางชี้เป้าไปเลย ที่นี่ค่า




** อาคุงกล่อง **








ขอขอบคุณที่ปรึกษาโครงการ

Interview .., the Blogger 2013

กะว่าก๋า
น้ำ-ฟ้า-ป่า-เขา
มัชชาร
**mp5**

เพื่อนบล็อกที่ช่วยกันร่วมตั้งคำถาม
กะว่าก๋า/ น้ำ-ฟ้า-ป่า-เขา /เป็ดสวรรค์/โจนบ้าและป้าแก่ๆ
/ มิลเม / เพื่อนบล็อกผู้ไม่ประสงค์ออกนามอีก 1 คน

ของแต่งบล็อกจาก เนยสีฟ้า , ชมพร


และขอบคุณทุก ๆ กำลังใจจากเพื่อนๆ ทุกคนที่เข้ามาทักทายกันมาตลอด
ในตลอดเวลาที่รินได้ร่วมทำโครงการสัมภาษณ์
เดือน ธ.ค จึงเป็นการสัมภาษณ์บล็อกเกอร์ฉบับสุดท้ายของรินในปีนี้เช่นกัน
ตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออกค่ะว่าจะมีโครงการอะไรใหม่เข้ามาหรือเปล่า
โครงการสัมภาษณ์ในปี 2013 โดยริน จะหยุดพัก และหมดวาระ
แต่เพียงเท่านี้นะคะ
หากมีโอกาส และด้วยเวลาอำนวย หวังว่าจะมีโครงการนี้เกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

ขอบคุณมากๆค่ะ ^^




RinSa YoyoLive
Create Date :01 ธันวาคม 2556 Last Update :6 ธันวาคม 2556 13:36:54 น. Counter : 12329 Pageviews. Comments :95


โดย: *~ต้นกล้า...ของหัวใจ~* 6 มกราคม 2557 13:29:12 น.
  • มาอ่านมุมมองของใครอีกคน ที่ก็ดูให้แง่คิด ขำ ๆ ตามมุกไม่ค่อยทันเหมือนกัน 555+

    โดย: *~ต้นกล้า...ของหัวใจ~* 6 มกราคม 2557 15:45:11 น.