๖. กลางป่า
ชายป่าระหว่างกลางเขตพระนครสาวัตถีและกรุงราชคฤห์
สุริยาลาลับขอบฟ้าเป็นสัญญาณการมาเยือนของราตรี อีกด้านหนึ่งของชายป่ามีกระท่อมน้อยของผู้คนรายเรียงอยู่โดยรอบ ขบวนเกวียนหยุดพักในจุดที่มีการตระเตรียมข้าวปลาอาหารไว้รอท่าอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ฝ่ายพระสงฆ์องค์เจ้าได้รับการนิมนต์เพื่อทำการถวายน้ำปานะให้ต่างหาก เมื่อเสร็จสิ้นภาระกิจจึงต่างคนต่างแยกย้ายไปจัดที่หลับที่นอนตามอัตภาพ ล่วงเลยเข้าสู่เวลาแห่งราตรี หากผู้ใดเงี่ยหูฟังจะพลันแว่วเสียงเพลงกล่อมลูกลอยตามลมมาจากกระท่อมน้อยหลังใดหลังหนึ่งในหมู่บ้านขับขานอย่างอ่อนโยน
อกเอยอุ่นละมุนไอเมื่อใกล้เจ้า บีบสองเต้ากลั่นน้ำนมขมไหมหนอ สุริยาลับขอบฟ้ามาเคลียคลอ อิ่มแล้วหนอแม่จะกล่อมเจ้าจอมใจ
จงเติบใหญ่ใต้ร่มโพธิ์พระภาคเจ้า เทิดเหนือเกล้าไตรรัตน์วางสว่างใส ด้วยบุญเก่านำเจ้าเกิดเลิศวิไล เป็นเวไนยสัตว์ผู้อาจถึงธรรม
แสวงหานิพพานการรู้แจ้ง อย่าหลงแรงกิเลสลวงบ่วงถลำ อิ่มเอมรสใดไหนเล่าเท่ารสธรรม ขอจอมขวัญจงน้อมนำประจำใจ
นั่นเพลงกล่อมลูกหรือภาวิณี จันทราวตีกระซิบกระซาบในความมืด
ยังไม่บรรทมหรือเพคะพระธิดา ผู้ใดเป็นพระธิดาเจ้า อ้า เปล่าจ้ะแม่หญิงวตี เธอชอบใจเพลงกล่อมลูกบทนี้หรือ
ภาวิณีเย้าเล่นอย่างขบขัน มองผ่านความมืดเห็นอีกฝ่ายนอนลืมตาแป๋วจึงลุกขึ้นหาเทียนไขมาจุดให้แสงสว่าง ประคองพระธิดาลุกขึ้นประทับนั่งบ้าง
ใช่จ้ะ ในวังได้ยินเสียงพร่ำบ่นแต่
จงรักษาปราสาทศฤงคาร
อารักขาประชาบาลจากไพรี
ไม่มีนางสนมคนใดสอนลูกให้แสวงหานิพพานสักคน เป็นธรรมดาอยู่หรอก หากกล่อมให้ซาบซึ้งในรสพระธรรมมากๆ คนในปราสาทก็จะพากันหนีไปออกบวชเสียหมด
ไม่ดีหรือ ดีสิ แต่เราก็ต้องวางอุเบกขาไว้บ้าง ว่ามนุษย์ทุกผู้ไม่ได้ปรารถนานิพพานเหมือนกันไปเสียหมดทุกคน บิดาเธอปรารถนาให้ไพร่ฟ้าร่มเย็นเป็นสุข พี่ชายเธอปรารถนาจะเติบโตเป็นชายชาตรีผู้แกร่งกล้า เธอเองก็เถิดวตี ปรารถนาอะไรเล่า
ไม่รู้ซี ฉันไม่เคยตั้งความปรารถนาต่อสิ่งใด แม้จะศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์มาบ้าง ก็ยังคิดว่านิพพานนั้นอยู่ไกลเกินเอื้อม จันทราวตีพูดพลางทอดสายตาสบตาคู่สนทนาเบื้องหน้า แสงเทียนกระทบแววตาเย็นสงบนิ่งฟังอย่างอ่อนน้อม ภาวิณีระบายยิ้มก่อนตอบอย่างอ่อนโยน
ไม่เป็นไรหรอกเพคะ อ้า ให้ข้าพระองค์เรียกพระธิดาอย่างนี้เถิด เวลานี้คนอื่นหลับกันหมดแล้ว ไม่มีผู้ใดได้ยินหรอกเพคะ ก็ได้ แต่ทำไมถึงบอกว่าไม่เป็นไรล่ะ
ก็แม้เวลานี้ยังไม่ปรารถนาแต่พระธิดาก็มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอยู่เต็มพระทัยแล้วนี่เพคะ อินทรีย์แก่กล้าเมื่อใด จะทรงรู้เองว่าควรเดินไปทางไหน นั่นสินะ แล้วเธอเล่า
ข้าพระองค์ปรารถนาหลายสิ่งหลายอย่างมาตั้งแต่จำความได้เพคะ อยากมีครอบครัวที่บริบูรณ์พร้อม อยากแสวงหาวิชาความรู้ กระทั่งได้เรียนรู้พระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนเกิดความศรัทธาตั้งมั่น ความปรารถนาในนิพพานจึงตามมา
ถามอีกครั้งเถิด เมื่อปรารถนาแล้วต้องทำประการใดบ้าง ภาวิณีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เห็นแววพระเนตรซุกซนขององค์หญิงกระทบแสงเทียนเพสียงวูบเดียวก็จับได้ว่ามิได้ทรงใส่พระทัยกับคำถามนัก ปรารถนาจะรู้คำตอบจริงหรือเพคะ
เจ้าหญิงสรวลรื่นพร้อมส่ายพระพักตร์ ด้วยแม้จะทรงรู้คำตอบดีว่า ทางเดินอันชอบนั้นคืออริยมรรค ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และนำมาเผยแผ่แก่เวไนยสัตว์ จันทราวตีก็ยังปรารถนาจะหน่วงคู่สนทนาไว้ให้นาน จึงซักไซ้ไล่เรียงต่อจนพอพระทัย... บทสนทนาดำเนินต่อไปไม่นานนัก ภาวิณีจึงเริ่มตัดบท
เอาไว้ถามพระเถระในวันพรุ่งนี้ดีกว่าไหมเพคะ ข้าพระองค์อธิบายไปอาจทำให้พระองค์เข้าพระทัยไขว้เขวไปเปล่าๆ จ้ะ เช่นนั้นก็ได้ ว่าแต่เธอรู้สึกไหมว่าอากาศเวลานี้อบอ้าวเหลือเกิน เวลาเย็นฉันเห็นแม่น้ำอยู่ตรงชายป่าอีกด้านหนึ่งด้วยล่ะ เราไปสนานกายกันสักหน่อยดีไหม เจ้าหญิงเปลี่ยนเรื่องในทันควัน
สนานกายเวลานี้หรือเพคะ อย่าเลย ข้าพระองค์ไม่เห็นด้วย ไม่อาบด้วยก็ไปส่งฉันหน่อย ฉันร้อนจนคันไปทั่วทั้งตัวแล้ว ถือว่าขอร้องล่ะ ข้าพระบาทอาจจะตามพระทัยเสียจนชิน ขอครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะเพคะอนุโลมให้ครั้งเดียวเท่านั้น จ้ะแม่
จันทราวตีล้อเลียนอย่างขบขันด้วยไม่เห็นว่าจะมีอันตรายใดๆในชายป่าที่สงบสุข ส่วนภาวิณีกังวลไปเสียหลายทาง นึกถึงกำหนดการในวันพรุ่งที่จะมีอีกคาราวานหนึ่งมาสมทบ เวลานี้อาจหยุดพักบริเวณชายป่าอีกด้านของฝั่งแม่น้ำแล้วก็ได้ แต่เห็นท่าทีดีพระทัยของพระธิดาก็ไม่กล้าขัด จำลุกขึ้นจุดตะเกียงดวงน้อยแล้วลอบพากันออกจากกองคาราวานในด้านที่ปลอดคน เลาะไปตามชายป่าละเมาะจนถึงลำธารด้านหลัง เสียงน้ำไหลเลาะโขดหินรินเป็นสาย เบื้องล่างคงใสสะอาดพอสมควร ผิวน้ำเบื้องบนจึงสะท้อนเงาแสงดาวได้พราวระยับ สองดรุณีทรุดกายลงนั่งริมฝั่งแม่น้ำใต้แสงดาวเกลื่อนนภา
ระวังพระองค์ด้วยนะเพคะ ในแม่น้ำไม่รู้จะมีสัตว์น้ำที่เป็นอันตรายใดบ้าง พบเห็นอะไรก็หวีดร้องให้ดังไว้ก่อน ข้าพระองค์จะได้รีบไปช่วย
ดังว่าจะเพิกเฉยต่อคำเตือนเสียทั้งอย่างนั้น ไม่ทันขาดคำท้าวเธอก็ลงไปแช่น้ำครึ่งขา ชักภูษาขึ้นเหนือน้ำอย่างระมัดระวังแล้วร้องเรียก ภาวิณีจ๋า ว่ากระไรเพคะ ฉันถอดภูษาแล้วให้เธอเฝ้าไว้บนฝั่งได้ไหม น้ำเย็นดีจริง ฉันจะลงแช่ทั้งตัว ไม่ได้เพคะ ถึงจะเป็นกลางป่า พระธิดาก็ไม่บังควรเปลือยกายสรงน้ำนะเพคะ แถวนี้มีผู้ใดที่ไหนกันเล่า ไม่มีคนก็มีผีสางเทวดา
ผีสางเทวดาไม่เห็นหรอก คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด
ไม่เพียงตรัสขัดขืน จันทราวตียังรีบถอดภูษาออกเสียโดยไว เหลือเพียงผ้าขาวบางปกปิดร่างกายไว้ ยัดเยียดให้ภาวิณีรับแล้วรีบหนีลงน้ำ เมื่อจนปัญญาจะห้ามปราม ภาวิณีจึงวางตะเกียงไว้คู่กับภูษาของพระธิดาองค์น้อย ครู่หนึ่งได้ยินเสียงใบไม้ไหวกรอบแกรบคล้ายมีคนแอบแหวกม่านเมียงมอง ด้วยเกรงว่าจะมีภัยเธอจึงทิ้งภูษากับตะเกียงไว้แล้วเดินฝ่าความมืดไปดูต้นเสียง พอเดินออกมาสำรวจบริเวณโดยรอบจนห่างจากลำธารพอสมควรแล้วเห็นว่าไม่มีอันตรายใดๆค่อยโล่งอก คืนเดือนมืดกับบรรยากาศกลางป่าดูเงียบสงบนัก จึงทำให้เกิดความปีติและยินดีในสมาธิได้โดยง่าย เดินมาถึงโคนไม้ใหญ่ภาวิณีจึงปลงใจนั่งลงหลับตาสงบนิ่งเพื่อแผ่เมตตาให้แก่สรรพชีวิต
ทันใดนั้นก็พลันได้ยินเสียงสิ่งมีชีวิตหนึ่งขยับตัวมุ่งตรงเข้ามาหา เปิดเปลือกตามองปรากฏเป็นภาพงูจงอางตัวมหึมาแผ่พังพานตั้งท่ารออย่างมุ่งร้าย เพียงส่วนหัวที่ชูขึ้นมาประจันก็มีขนาดเท่าท่อนไม้ขนาดกลาง ทั้งเกล็ดหนาเป็นมันวาวนั้นก็สะท้อนแสงดาวอยู่แปลบปลาบ ไม่ใช่นิมิตหรือจิตสร้างภาพเอาเองเป็นแน่
ใจอ่อนวาบเมื่อประจักษ์ว่าการทำสมาธิและแผ่เมตตาเมื่อครู่ไม่เป็นผล นี่คงจะไปรบกวนที่อยู่เขา ได้แต่ภาวนาว่าอโหสิกรรมเถิด แม้จะต้องตายในวันนี้ก็จะไม่ขอจองเวรอันใดแล้วปิดตารอความตายอย่างสิ้นหวัง เบื้องหลังพลันมีอีกหนึ่งสิ่งมีชีวิตขยับมาใกล้ อารมณ์หวาดกลัวแล่นเข้ามาจับหัวใจจนเหงื่อกาฬไหลชุ่ม เปิดตามองเบื้องหน้าก็พร่ามัว การทรงตัวที่แม้จะรู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตั้งอยู่เป็นปกติก็หมุนคว้างเหมือนใครจับโยนลงหุบเหว ก่อนสติจะขาดหาย เสียงที่ขยับเข้ามาใกล้กลับกระทบโสตอย่างอ่อนโยนและปลอดภัย
เขาไปแล้ว... ภาวิณีรวบรวมสติที่เหลืออยู่หันไปจ้องมองผู้อยู่เบื้องหลัง ไม่ต้องตกใจ กระผมเป็นมนุษย์ ไม่ใช่สิงสาราสัตว์ คุณผู้หญิงเล่า บ้านช่องอยู่ที่ไหน ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่
ไม่ทันอ้าปากจะตอบคำถามน้ำตาก็ร่วงพรูลงเป็นสาย เหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวงว่าจะมีใครมากล้ำกรายอีก งูจงอางที่โผล่มาเมื่อครู่นั้นหายไปแล้ว แต่เวลานี้ต้องมาเผชิญหน้ากับชายแปลกหน้าที่ไม่รู้จะ จะเอ่ยปากขอบคุณก็ใช่ที่ ที่เลื้อยหายไปอาจจะเป็นสมุนของเขาที่ถูกบัญชาให้มาทำร้ายเธอก็เป็นได้
เอ้า สงบสติอารมณ์เสียก่อน กระผมเห็นคุณนั่งจ้องงูจงอางอยู่แต่ท่าทางไม่ใช่เพื่อนเล่นกันแน่ จึงช่วยแผ่เมตตาให้อีกแรง เขารู้ว่าเราไม่ได้มีพิษมีภัยก็กลับไปแล้ว ค่อยยังชั่วหรือยังขอรับ
ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตั้งใจเอื้อมมือไปพยุงให้ลุกขึ้น หากแต่หญิงสาวตรงหน้ากลับลุกพรวดเพื่อขยับตัวหนี ไม่ทันตั้งตัวได้ก็ซวนเซ เห็นว่าจวนจะล้มชายหนุ่มก็ตรงเข้าไปพยุงไว้ รวบต้นแขนนุ่มได้ทั้งสองข้างแล้วแทบล้มไปพร้อมกัน ตวัดขึ้นมากระชับก็พบว่าเธอหมดสติอยู่ในอ้อมแขนแล้ว ตั้งสติลำดับเหตุการณ์ได้ สองขาก็แทบทรุดร่วง ปากก็ร้องหากึ่งกระซิบ
แล้วพระโอรสไปไหนนี่!
Create Date : 26 มีนาคม 2554 |
Last Update : 26 มีนาคม 2554 8:13:21 น. |
|
0 comments
|
Counter : 897 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|