๑๔. ล้มพยัคฆ์
ลูกเสือน้อยพลัดหลงจากแม่จึงได้แต่ครวญครางหาอยู่เป็นเวลานาน เมื่อพบสัตว์ใหญ่ไม่คุ้นหน้าก็รีบกระโจนหนีไปตามทางจนหลงเข้ามากลางป่า เห็นร่างหนึ่งนั่งนิ่งอยู่ใต้ร่มไม้ ประเดี๋ยวหนึ่งก็ไหวกายสะอึกสะอื้น เจ้าเสือน้อยเข้าใจว่าสัตว์ตัวนี้คงจะพลัดจากแม่เช่นเดียวกับมัน พอรู้สึกถึงความเป็นมิตรได้ก็เข้าไปคลอเคลีย
เจ้าหญิงร้องให้อยู่ใต้ต้นไม้ไม่นานนัก ลูกเสือที่ทรงตามหาก็มาซุกกายอยู่เคียงใกล้ ยามที่ยังไม่มีเขี้ยวเล็บก็ไม่ต่างจากแมวธรรมดาที่ช่างอ้อน ลูบหัวลูบหางได้สักพักมันก็ยอมให้เจ้าหญิงอุ้มขึ้นตักและซุกตัวอยู่ในอกอุ่น
เจ้าก็คงหลบหนีพ่อแม่มาจนหลงอยู่ในป่าเช่นเดียวกับฉัน นี่คงจะตามหาแม่มาทั้งวันจนเหนื่อยอ่อนสินะ มา ฉันจะอยู่เป็นเพื่อน จันทราวตีให้ความอบอุ่นลูกเสือน้อยอยู่ในอ้อมกอด ลูบหัวเกาคางจนมันผล็อยหลับไป นั่งอยู่ที่เดิมนานสองนานจึงรู้ว่าบรรยากาศรอบตัวเย็นยะเยือก คิดได้ว่าควรรีบกลับที่พักจึงขยับกายลุกขึ้น ในอ้อมแขนอุ้มลูกเสือน้อยที่หลับผล็อยเอาไว้หมายจะนำไปปล่อยไว้ในป่า ก้าวเดินออกมาไม่ทันเกินเจ็ดก้าวก็มีอันเสียวสันหลังวาบ เมื่อได้ยินเสียงคำรามคุกคามจากเบื้องหลัง
ครืด..... โฮกกกกกกกก
ไม่ต้องหันไปมองก็คาดเดาได้ว่าเป็นสัตว์ใหญ่ชนิดหนึ่งยืนด้วยสี่ขา ลำตัวยาววากับรูปร่างหนาไม่ต่ำกว่าสี่ศอก เขี้ยวเล็บที่กางออกนั้นแข็งแรงและแหลมคมดุจคมหอกคมดาบ เพียงได้ยินแต่เสียงคำรามก็หลับตานึกภาพได้ ว่ามันคือร่างขยายใหญ่เกือบสิบเท่าของเจ้าเสือน้อยในอ้อมอกของเธอตอนนี้เอง
แม้ไม่คิดจะทำใจดีสู้เสือเวลานี้จันทราวตีก็ก้าวขาไม่ออก ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิมจนแม่พยัคฆ์เดินอ้อมมาดอมดมเนื้อตัวเธออยู่ทางด้านหน้า กลิ่นสาบสางปะทะจมูกฉุนกึกจนต้องกลั้นลมหายใจ นางเสือใหญ่แยกเขี้ยวคำรามและย่อกายหมายขย้ำเหยื่ออันโอชะ พริบตาที่พยัคฆ์ร้ายโผนทะยานเข้ามาจันทราวตีก็รู้สึกลอยเคว้งด้วยแรงผลัก ร่างของเธอกระเด็นออกจนพ้นรัศมี
พอได้สติเหลียวมองดูจึงได้รู้ คนที่ปลุกปล้ำพยัคฆ์ร้ายยามนี้กลับกลายเป็นพระโอรสเทวินทร์วรมันต์ที่เข้ามาช่วยได้ทันเวลา และตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบด้วยมีเพียงสองมือง้างปากของพยัคฆ์ร้ายเอาไว้ ในขณะที่ตัวของมันยืนคร่อมเต็มสี่ขา พอมันเห็นว่าใช้เขี้ยวไม่ได้ก็กางเล็บออกชูขาหน้าขึ้นมาหมายตะปบมนุษย์ตัวจ้อยให้หัวขาด เสี้ยววินาทีชีวิตระหว่างความเป็นตาย เกาทัณฑ์แหลมคมหลายดอกก็พุ่งตรงมาที่เสือร้าย มันเจ็บปวดร้องครวญครางดังลั่น ก่อนจะล้มตึงลงไปเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ที่แท้เป็นเหล่าองครักษ์แม่นธนูขององค์หญิงที่แอบติดตามมาลอบช่วยเหลือ จากนั้นจึงมีผู้ที่รีบรุดตามมาคือเหล่าองครักษ์จากเมืองราชคฤห์ ในมือกุมคันธนูที่พึ่งยิงศรออกไปในเวลาแทบจะพร้อมกันกับองครักษ์ของเจ้าหญิง จึงเท่ากับเป็นการช่วยกลุ่มคนลึกลับกลบเกลื่อนการปกป้องจันทราวตีได้อย่างไม่มีพิรุจ
ลูกเสือน้อยในอ้อมกอดของจันทราวตีได้กลิ่นเลือดของแม่มาปะทะจมูกจึงลืมตาใสแป๋วแล้วกระโดดไปคลอเคลีย แลบลิ้นเลียหน้าแม่ที่กำลังหายใจแผ่ว มันร้องครวญครางเสียงดัง หงาว หงาว ที่แท้แม่มันมาตามแต่มันมัวแต่เคลิ้มหลับ พอลูกตื่นแล้วแม่เสือกลับขี้เซาหลับใหลไม่สนใจมันเสียได้ จันทราวตีทรุดนั่งอยู่กับพื้นเห็นภาพนั้นแล้วน้ำตารินหลั่ง องครักษ์เห็นว่ายังมีเสือเหลือรอดอีกตัวก็คว้าธนูมาเล็ง จันทราวตีตกใจถึงกับหลุดปากตวาด
นั่นพวกท่านจะทำอะไร ฆ่าแม่เขาไปตัวหนึ่งแล้ว ยังจะฆ่าลูกเสือที่ไม่มีเขี้ยวเล็บไปทำอันตรายผู้ใดได้อีกหรือ
เหล่าองครักษ์สะอึก เทวินทร์วรมันต์จึงรับสั่งยับยั้งไม่ให้ฆ่า เดินไปประคองจันทราวตีที่นั่งตัวสั่นเทา หญิงสาวปล่อยให้น้ำตาอาบแก้มแต่ไม่ยอมรับไมตรีด้วยการสะบัดกายหนีจากพระโอรส รอจนภาวิณีตามมาถึงจึงโผเข้าไปซบอกร้องไห้ เจ้าชายแปลกพระทัยในกิริยาท่าทางของเธอนัก ได้แต่เก็บงำความสงสัยไว้โดยมิรู้จะทำประการใด
ศรีรามตามมาตรวจดูอาการแล้วหมดหนทางช่วย ด้วยมือธนูขมังนัก ที่ยิงจนสามารถล้มพยัคฆ์ได้ ในพริบตา เหล่าผู้ติดตามในขบวนต่างทยอยกันมาดูเหตุการณ์ และสรรเสริญพระบารมีขององค์โอรสที่ทรงรอดพ้นจากการคุกคามของเสือป่าได้ ขณะที่ศรีรามนั่งสำรวจศพของเสือที่ตายอยู่เงียบๆ จับดูลูกธนูแล้วเกิดความสงสัยขึ้นภายในใจ
ด้วยว่าลูกธนูที่ปักอยู่บนตัวพยัคฆ์ กับที่เหลือเรียงรายอยู่ในที่บรรจุลูกธนูขององครักษ์ที่มาช่วยเหลือ ทำจากวัสดุต่างชนิดกันอย่างกับนำมาจากคนละแคว้นเลยทีเดียว
Create Date : 16 เมษายน 2554 |
Last Update : 16 เมษายน 2554 10:04:01 น. |
|
0 comments
|
Counter : 585 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|