๑๗. นิทานกลางป่า



“พี่ศรีราม…”

สดับเสียงนุ่มเย็นก็รู้ว่าเป็นใครอื่นไปมิได้ ภาวิณีนำน้ำปานะ ไปถวายพระภิกษุกลับมาไม่พบจันทราวตีจึงออกตามหา แม้จะรู้ว่าคงมีองครักษ์ติดตามไปดูแลอยู่ตลอดแต่ก็ไม่คิดนอนใจ เห็นว่าศรีรามคอยดูแลความเป็นไปในขบวนอยู่จึงหมายจะเข้าไปสอบถาม

“ตามหาเพื่อนหญิงอยู่หรือขอรับ”

ศรีรามหันไปขานรับด้วยรู้เห็นเหตุการณ์ภายหลังจากมีการลอบปลงพระชนม์บนหน้าผา และเจ้าชายโอบอุ้มหญิงสาวที่สลบไสลลงมาและพาไปรักษาพยาบาลยังที่ประทับ แต่อาจจะไม่ดีนักหากจะให้ผู้ใดไปขัดจังหวะในเวลานี้ เมื่อภาวิณีตอบรับว่าใช่ ชายหนุ่มจึงแสร้งหันมองไปทั่วบริเวณแล้วเอ่ยถาม

“หายไปนานหรือยังขอรับ”

“สักพักแล้วจ้ะ ฉันเดินหามาจากด้านหลังของขบวนแล้วไม่พบ จึงลองมาถามพี่ศรีรามที่ดูแลอยู่ทางด้านหน้า”

“น้องหญิงคลาดกันเมื่อเวลาใด และตรงจุดใดของขบวนล่ะขอรับ”

“ตรงบริเวณหลังขบวนที่ทำการกวนข้าวมธุปายาสจ้ะ” “เช่นนั้นน่าจะกลับไปดูบริเวณนั้นอีกครั้ง บางทีเมื่อครู่น้องหญิงอาจจะสำรวจได้ไม่ทั่ว ยิ่งเวลานี้เริ่มพลบค่ำ ให้กระผมตามไปส่งจะดีกว่านะขอรับ”

แม้จะฉลาดในธรรมเพียงใดก็ไม่รู้เล่ห์ ศรีรามมิได้ออกปากสักคำว่า ’เห็น’ หรือ ’ไม่เห็น’ แต่อาสาว่าจะไปเป็นเพื่อน ภาวิณีกระพริบตาถามประสาซื่อ

“ไม่เป็นการรบกวนหรือเจ้าคะ”

“ไม่หรอกขอรับ ที่จริงก็เป็นความผิดของกระผมเองที่มัวแต่วุ่นวายอยู่กับการจัดขบวนจึงดูแลผู้คนไม่ทั่วถึง เวลานี้รูปขบวนจัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรจะทำอะไรชดใช้ความผิดบ้าง”

ภาวิณีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ด้วยความเป็นห่วงว่าหากจันทราวตีกำลังตกอยู่ในอันตรายแล้วเธอเข้าไปพบ เพียงผู้เดียวคงไม่อาจช่วยอะไรได้ อย่างน้อยการมีบุรุษติดตามไปย่อมปลอดภัยกว่า ทบทวนแล้วว่าศรีรามเองก็เป็นบุคคลที่ไว้ใจได้ผู้หนึ่ง จึงเอ่ยปากรับ
“ขอบใจจ้ะ”

ฟังเสียงนุ่มเย็นตอบมาอย่างเป็นมิตร ศรีรามรู้สึกชื่นใจจนเผลอยิ้มกว้าง ผายมือนำทางให้อย่างยินดี
“เชิญทางนี้ขอรับ เดินสะดวกกว่า…”
ระหว่างที่เดินสำรวจขบวน ศรีรามเดินเอื่อยอย่างใจเย็น หาเรื่องชมนกชมไม้และเล่าเหตุการณ์ที่พบระหว่างการเดินขบวนมากมาย ขณะที่ภาวิณีนิ่งฟังแล้วส่ายหน้า เอียงคอสงสัย
“มีอะไรหรือขอรับ”
“จ้ะ ฉันกำลังฉงนใจว่า เมื่อครู่ท่านรู้ได้อย่างไร ว่าฉันตามหาวตีอยู่ โดยที่ฉันยังไม่เอ่ยปาก”

เป็นเรื่องที่ภาวิณีสงสัยและแปลกใจมานาน ด้วยความคิดในจิตใจของเธอแต่ละครั้ง มักจะถูกศรีรามอ่านออกเสมอ เมื่อต้องการสิ่งใดบางครั้งมิต้องเอ่ยปากพูด ศรีรามก็นำมาหยิบยื่นให้ในทันใด และแม้ครั้งนี้ก็มิได้ต่างกันนัก ศรีรามเอ่ยปากทักตั้งแต่เธอเดินเข้าไปหา

หากคู่สนทนาจะตอบว่าเขามีญาณวิเศษที่รู้สภาวธรรมในจิตใจของผู้อื่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก ด้วยว่าแม้พระพุทธองค์จะปรินิพพานไปกว่าร้อยปี แต่ก็ยังมีพระเถระเถรีและอุบาสกอุบาสิกาที่มีฤทธิ์ และถ่ายทอดแนวทางการปฏิบัติทั้งด้านสมถะและวิปัสสนาจนได้ญาณกันอยู่มากหลาย แต่ผู้ใดมีก็ไม่มีความจำเป็นต้องเอามาโอ้อวด ด้วยสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นผลพลอยได้ หาใช่ทางสายกลางที่นำไปสู่การหลุดพ้นไม่

แต่ภาวิณีต้องการจะถามเพื่อรับรู้ไว้เพื่อเป็นการหยั่งเชิงว่าหากศรีรามมีญาณพิเศษชนิดนั้นเธอย่อมต้องระวังให้มาก ก่อนจะหลุดคำพูดหรือความคิดใดๆให้ชายหนุ่มสงสัย

ศรีรามชะงักอึ้งแล้วพินิจมองสตรีตรงหน้า เธอถามราวกับอยากรู้ว่าเขามีเจโตปริยญาณหรือไม่ แต่จะเป็นไปได้อย่างไรที่หญิงสาวชาวบ้านจะรู้จะคำๆนั้น ทั้งญาณวิเศษที่เขามีก็มิใช่ของเล่นที่จะหยิบยกมาอวดใครได้พร่ำเพรื่อ ด้วยขอบเขตความสามารถในการควบคุมยังมีเพียงจำกัด เปิดรับเฉพาะคนที่ใกล้ชิดและมีจิตผูกพันกันมาก่อนหน้า หรืออาจต้องมาอยู่ใกล้รัศมีกันพอสมควร สิ่งที่ศรีรามสัมผัสได้ชัดเจนคือ เมื่อใดจิตใจของอีกฝ่ายขุ่นมัว กระแสพลังจะเหนี่ยวรั้งให้ใจเขาสั่นไหวและร้อนรุม เมื่อใดจิตใจของอีกฝ่ายผ่องใส ก็จะเหมือนได้รับกระแสลมชื่นเย็นของยามรุ่งอรุณพัดผ่าน เช่นเดียวกับเมื่ออยู่ใกล้หญิงสาวในยามนี้ ก็รู้สึกถึงความเป็นมิตรที่ฉ่ำเย็นจนคิดจะเปิดใจ หากแต่ด้วยได้รับการกำชับจากพระเถราจารย์มาก่อนหน้า ที่ห้ามมิให้เปิดเผยเรื่องญาณวิเศษกับผู้ใดโดยไม่จำเป็น เห็นภาวิณีสงสัยจึงได้แต่ยิ้มอย่างถนอมน้ำใจก่อนกล่าว

“ก็ทุกคราวกระผมเห็นน้องหญิงทั้งสองอยู่ด้วยกันตลอดนี่ขอรับ วันนี้เห็นน้องหญิงภาวิณีมาผู้เดียวและเหมือนมองหาผู้ใดอยู่ จึงเดาดูเท่านั้นขอรับ”

“อ๋อ… เจ้าค่ะ”

ภาวิณีรับคำและนิ่งไป…คงเป็นการคาดเดาอย่างที่เขาว่า ตัดความสงสัยออกไปแล้วเหลียวมองหาเพื่อนหญิงทางทิศอื่นต่อ ศรีรามชำเลืองมองแล้วหาเรื่องมาสนทนาแก้ขัด

“คราวก่อนน้องหญิงถามถึงเวฬุวันวิหาร กระผมยังมิได้เล่าเรื่องพิสดารยิ่งกว่านั้นเลยขอรับ”

อย่างคิดจะดึงเธอไว้ให้การสนทนายาวนานขึ้น จึงเกริ่นถึงเรื่องที่อีกฝ่ายน่าจะสนใจและดูทีว่าจะได้ผล

“เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”

“มีอีกวัดหนึ่งที่สร้างขึ้นมาต่อจากเวฬุวันวิหารและไปตั้งอยู่ที่เมืองสาวัตถี น้องหญิงทราบหรือไม่ขอรับ ว่าเป็นวัดใด”
ศรีรามตั้งปุจฉาแล้วก็พบว่าผิดความคาดหมาย เมื่อภาวิณีวิสัชนากลับไปอย่างคล่องแคล่ว

“ทราบจ้ะ เชตวันมหาวิหารใช่หรือไม่”
“ใช่ขอรับ ดูท่ากระผมจะเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนเสียแล้ว”
ศรีรามบ่นอุบอิบ ภาวิณีจึงหัวเราะต่ำๆก่อนเอ่ยคำปลอบใจ “เล่ามาเถิดจ้ะ ฉันรอฟังอยู่”

เมื่อเธอเปิดโอกาส ศรีรามจึงวางมาดผู้รู้แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเล่านิทานเรื่องยาวให้หญิงสาวฟังอีกครั้ง

“เมื่อเวฬุวันวิหารสร้างแล้วเสร็จ และพระบรมศาสดาเสด็จเข้าประทับ ในระหว่างพรรษาที่สามของการเผยแผ่พระศาสนา ท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐีพ่อค้าผู้มั่งคั่งแห่งเมืองสาวัตถี ได้เดินทางไปยังเมืองราชคฤห์และมีโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธองค์พร้อมรับฟังพระธรรมเทศนา ก็เกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธองค์อย่างล้นพ้น จึงเข้าไปกราบทูลเชิญเสด็จโปรดชาวเมืองสาวัตถีบ้าง เมื่อพระบรมศาสดาทรงรับคำทูลเชิญ ท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐีจึงได้เตรียมหาซื้อที่ดินเพื่อจัดสร้างวัดถวายเป็นที่พักแด่พระศาสดาและภิกษุสงฆ์ดังวิหารเวฬุวันบ้าง”

ศรีรามชำเลืองมองสตรีที่เดินเคียงข้าง ริมฝีปากบางกลับปรากฏรอยแย้มยิ้ม ชายหนุ่มจึงเอ่ยถาม
“เรื่องนี้ก็รู้แล้วหรือขอรับ”
“จ้ะ”
ภาวิณีพยักหน้า เห็นว่าศรีรามเลิกคิ้วเขม่นตาทำท่าสงสัย เธอจึงเป็นฝ่ายเล่าบ้าง

“เมื่อราวร้อยปีกว่าก่อนในกรุงสาวัตถี มีเศรษฐีผู้หนึ่งชื่อ สุทัตตะ เป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คนยากจน ได้ตั้งโรงทานให้อาหารคนอนาถาทุกวัน จึงได้ชื่อว่า อนาถบิณฑิกะ แปลว่า มีก้อนข้าวเพื่อคนอนาถา เป็นชื่อที่เรียกกันมาจนติดปาก ในคราวที่ท่านเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระบรมศาสดาอย่างแรงกล้าและคิดจะสร้างวัดถวาย ก็ได้ไปขอซื้อที่ดินจากราชาที่ดิน ชื่อพระเจ้าเชตุ

จะด้วยพระเจ้าเชตุหวงแหนที่ดินหรือต้องการเงินทองมากมายประการใดก็ไม่รู้ได้ จึงประกาศว่า หากผู้ใดเอาเหรียญทองคำมาปูให้ทั่วบริเวณที่ดินได้เมื่อไรละก็จะขายให้ ท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐีจึงให้คนใช้เอาเหรียญทองบรรทุกเกวียนมาวางเรียงรายเกลี่ยลงบนที่ดินนั้นจนเกือบเต็มหมดทั่วบริเวณ พระเจ้าเชตุจึงยอมตกลงขาย เมื่อท่านเศรษฐีได้ที่ดินมาจึงทำการสร้างวัดที่มีชื่อว่า “เชตวันมหาวิหาร” และทูลอัญเชิญพระบรมศาสดามาจำพรรษา เป็นเรื่องที่เล่าขานกันมานานแล้ว”

“ขอรับ แล้วเหตุการณ์หลังจากนั้นเล่า”

“มีเหตุการณ์อะไรต่อไปอีกหรือเจ้าคะ”

“น้องหญิงคงไม่รู้ ว่าด้วยแรงศรัทธาในการสร้างทานบารมีของท่านเศรษฐี แม้ว่าในบั้นปลายแห่งชีวิตท่านจะยากจนลงจนแทบไม่มีจะกิน แต่ก็ยังอุตส่าห์เอาปลายข้าวต้มถวายใส่บาตรแด่ภิกษุสงฆ์ทุกวัน แม้ทานที่ท่านให้ในภายหลังนั้นจะมีเพียงน้อยและเศร้าหมอง พระพุทธองค์ก็ยังทรงสรรเสริญว่า การให้ทานจะดีประณีตหรือธรรมดาก็ตาม ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้ให้ ไม่จำเป็นต้องเป็นของดีประณีตเสมอไป”

“ใช่จ้ะ หากผู้ให้น้อมจิตไปเพื่อกุศลกรรมอันดี ให้ด้วยความเคารพนอบน้อม เปี่ยมด้วยเมตตาหวังเพื่ออนุเคราะห์เผื่อแผ่และเชื่อในผลของกรรม วิบากของการให้ทานนั้นก็ย่อมมีมากมายมหาศาล… ว่าแต่พี่ศรีรามรู้เรื่องราวของท่านอนาถบิณฑิกะละเอียดนัก ทั้งที่อยู่ถึงเมืองราชคฤห์ ได้รู้เรื่องเหล่านี้มาจากไหนเจ้าคะ”

“ท่านอนาถบิณฑกะเศรษฐีเป็นทวดของกระผมเองน่ะขอรับ ที่จริงแล้วกระผมก็มีสายเลือดของชาวเมืองสาวัตถีและมีญาติมิตรอยู่ที่นั่นบ้าง เชื้อสายตระกูลของกระผมคือลูกหลานของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีที่ย้ายไปตั้งรกรากอยู่ที่เมืองราชคฤห์และไปอาสาเป็นผู้ดูแลวิหารเวฬุวันนั่นเอง”

เล่าจบแล้วศรีรามจึงนึกถึงเมื่อยามเล็กที่บิดามารดาเคยพาไปเยี่ยมญาติที่เมืองสาวัตถี ความทรงจำหนึ่งผุดขึ้นมาคลับคล้ายคลับคลาว่าเขาเคยพบหญิงสาวที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับภาวิณีมาก่อน ชายหนุ่มพินิจมองหญิงสาวตรงหน้าที่ยังยิ้มเย็น

“อ้อ… เป็นเช่นนี้เอง พี่ศรีรามจึงอธิบายรายละเอียดได้ชัดเจนนัก”
ภาวิณีกล่าวชมจนศรีรามต้องหัวเราะแก้เก้อ

“กระผมเป็นคนที่เข้าออกวิหารบ่อยครั้งยังรู้เท่านี้ น้องหญิงเสียอีกที่อยู่ในป่าดงพงไพรกลับทราบเกร็ดประวัติของวัดทางพระพุทธศาสนาและเรื่องราวของเหล่าสาวกมากพอสมควรนะขอรับ ดูราวกับเป็นลูกหลานของบุคคลสำคัญในสมัยพุทธกาลคนหนึ่งเหมือนกัน เราน่าจะหาเวลามารู้จะพูดคุยกันให้มากกว่านี้ คงมีสิ่งดีๆมาแลกเปลี่ยนกันได้มาก”

ฟังประโยคนี้แล้วภาวิณีกลับนิ่งอึ้ง รำพึงออกมาอย่างชั่งใจ

“หากฉันไม่ได้ร่วมเดินทางกับพี่จนเสร็จสิ้นงานสังคายนา เมื่อเราได้กลับมาพบกันอีกครั้ง พี่ศรีรามจะจดจำรายละเอียดภายในงานมาเล่าให้ฉันฟังได้หรือไม่”
เป็นคำถามที่สร้างความประหลาดใจให้กับศรีรามยิ่งนัก ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆแล้วกล่าวอย่างเต็มใจ

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะขอรับ แต่น้องหญิงภาวิณีพูดอย่างกับจะจากไปไหน ป่าดงพงไพรอันตรายออกอย่างนี้เดินทางโดยไม่มีการคุ้มกันของขบวนเห็นทีจะลำบาก”

ศรีรามยั่วเย้าเล่นแต่หญิงสาวตรงหน้าหลุบเปลือกตาลงต่ำอย่างอับจนถ้อยคำใดมาสนทนาต่อ หันหน้ามองทางอื่นไปพลาง เดินไปจนถึงหลังขบวนแล้วยังไม่พบว่าวตีอยู่แห่งไหน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก็เห็นว่าเป็นเวลาพลบค่ำและฝนกำลังตั้งเค้าสังเกตจากกลุ่มเมฆหนาที่ลอยมาทางทิศตะวันตกจึงชวนให้ศรีรามกลับ

“มืดแล้วเจ้าค่ะ กลับกันดีกว่า วตีอาจจะไปรอที่กระโจมแล้วก็ได้”
พูดได้ไม่ทันขาดคำ เมฆฝนที่ทำท่าว่าจะตั้งเค้าก็ปรากฏลอยต่ำและอากาศแปรปรวน ลมกรรโชกแรงขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แล้วฝนก็เทกระหน่ำลงมาก่อนที่ภาวิณีและศรีรามจะไปถึงกระโจมที่พัก หากจะวิ่งรี่ไปให้ถึงกระโจมของคนใดคนหนึ่งมีอันต้องเปียกปอนทั้งคู่

ชายหนุ่มและหญิงสาวจึงจำเป็นต้องหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่อยู่แนบชิดใกล้ ด้วยโคนไม้ที่เป็นที่กำบังฝนนั้นมีพื้นที่คับแคบสำหรับคนสองคนจะเข้าไปอยู่ด้วยกัน ศรีรามทรุดตัวนั่งบังอยู่ด้านนอกและถอดผ้าโพกศีรษะขึ้นมากางบัง เพื่อไม่ให้ละอองฝนสาดกระเซ็นมาโดนหญิงสาวที่อยู่เคียงข้าง…



Create Date : 20 เมษายน 2554
Last Update : 20 เมษายน 2554 12:39:21 น. 1 comments
Counter : 736 Pageviews.

 
มาอ่านนิทานกลางดงครับ


โดย: PSYCHO MAN IP: 111.84.219.42 วันที่: 20 เมษายน 2554 เวลา:22:18:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รุริกะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




users online
pageviews
Group Blog
 
<<
เมษายน 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
20 เมษายน 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add รุริกะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.