ดอกไม้ในความคิด
Group Blog
 
 
มกราคม 2552
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
17 มกราคม 2552
 
All Blogs
 
***หอมกลิ่นกัญชา สนทนาภาษาบุปผาชนที่ Haight-Ashbury @ San Francisco***




มกราคม 2007

เสียงกลองระรัวและเครื่องเคาะจังหวะกระหึ่มเร้า สลับกับเสียงพร่ำ

สวด "ฮาเร กริชชานา ฮาเร กริชชานา " ทำให้ฉันรีบสาวเท้าไป

ยังแหล่งเกิดของเสียง เสียงรัวกลอง เสียงฉาบ ยิ่งดังขึ้นทุกขณะเมื่อเดินเข้า

สู่ถนน Haight ทันใดนั้น ภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็กระจ่างจ้ายิ่งกว่าแสง

แห่งตะวันพันดวง สาวกพระกฤษณะภาคฮิปปี้กำลังเริงร้องและร่ายรำไปตาม

ถนนสายนั้นอย่างบันเทิง

.

.

หนุ่มสาวใส่ชุดแขกสีเหลืองมีตัวอักขระอินเดีย

สีแดง สาวกชายโกนหัวโล้น แต่ไว้ผมกระจุกเป็นหางหนูตรงท้ายทอย แต่ง

แต้มหน้าตาและเนื้อตัวเหมือนหลุดออกมาจากแดนชมพูทวีป หากแต่สาวก

ทุกคนจมูกโด่ง และตาสีฟ้าแทบทั้งสิ้น ต่างล้วนยักย้ายท่วงท่ากวัดแกว่ง

มาลัยดอกไม้สีสดไปตามเสียงกลองและฉาบอย่างเมามัน

.

.

"Hare krishna, Hare Krisshanaaaaaaaaaaaaaaa" สาวกชายร้อง

สรรเสริญพระกฤษณะเสียงสูงปริ๊ด พลางกระหน่ำรัวกลองไม่ยั้ง สาวกหญิง

ร่ายรำพลางโปรยดอกไม้ในมือ ฉันได้กลิ่นความสนุกลอยมาจางๆ เลยทรุด

กายลงนั่งริมถนน ข้างฮิปปี้คราวป้า วัยประมาณหกสิบที่กำลังนั่งตาฉ่ำเยิ้ม

เพราะบุหรี่สมุนไพรในมือเจ้าหล่อน

.

.


ฉันส่งยิ้มให้อย่างว่องไว เพราะยังไม่อยากเจอฮิปปี้ถีบคว่ำกลางถนน หล่อน

ยิ้มตาปรือกลับมาให้ พลางแนะนำตัวว่า ชื่อ โลตัส (Lotus) เมื่อเห็นกะเหรี่ยง

จากเมืองไทยทำหน้าพิกล หล่อนก็หัวเราะลั่น บอกต่อว่า

"ชื่อฮิปปี้ของไอน่ะ ชื่อจริงไอชื่อ แครอล นีลูกชายไอเอง ชื่อ สันติ

( Shanti) " ว่าแล้วก็เบี่ยงไหล่ให้หนุ่มวัยยี่สิบปี หน้าฝรั่งแต่ชื่อแขกนาม

สันติ หันมายิ้มทักทาย ฉันยิ้มขำๆ ไพล่ไปนึกถึงนักร้องลูกทุ่งไทยที่ชื่อ

สันติ ดวงสว่าง เลยทักทายสองแม่ลูกฮิปปี้ไปตามมารยาท

.

.


สองแม่ลูกแต่งตัวสีสดเหมือนนกแก้ว สีสันสดใสด้วยลวดลายน่าเวียนหัว แม่ดอก

บัวโลตัสประดับประดากำไลรุงรังไปทั้งแขน ขยับตัวมาคุยกับฉันทีไร พาลให้นึก

ถึงกระพรวนแมวทุกครั้ง หล่อนดูดยาสืดหนึ่ง หันมาถามอีกว่า มาจากไหน

.

.

พอเอ่ยชื่อประเทศอันเป็นที่รักยิ่งเท่านั้น สองแม่ลูกยิ้มกว้าง

"เออประเทศยูนี่ กัญชาดีที่สุดในโลกเว้ย "

ว่าแล้วก็ถามต่อทันที

"ว่าแต่ยูมีไอ้เบอร์สี่ติดตัวมาบ้างไหม" ฉันหัวเราะบอกว่า

"ไม่มีหรอก จริงๆ ไอมาจากรัฐอินเดียน่านี่เอง

ส่วนเมืองไทยน่ะ เป็นประเทศแม่ อีกอย่าง ไอเลิกดูดยามานานแล้ว

มีแต่บุหรี่ไทย สนใจไหม"

ว่าแล้วฉันก็โยนซองบุหรี่กรองทิพย์ที่พกเอาไว้ผูกมิตรติดกระเป๋ามาจากเมืองไทย

ให้สองแม่ลูก จากนั้น มิตรภาพง่ายๆ ก็เริ่มต้นระหว่างอดีตฮิปปี้จากเมืองไทยและ

สองแม่ลูกฮิปปี้ที่ซานฟรานซิสโก

.

.

เมื่อรู้ว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมาเยี่ยมรังฮิปปี้ที่ซานฟรานซิสโก โลตัสกับสันติก็

อาสาพาฉันเดินเที่ยวละแวกนั้น คาดว่า คงถือคติ "ฮิปปี้ทั้งผองพี่น้องกัน" เพราะ

ถนนสาย Haight-Ashbury นั้นเป็นทั้งบ้านของหล่อนและแหล่งซ่องสุมของ

บรรดาฮิปปี้มาตั้งแต่ปี 1960s

.

.

อีกอย่าง โลตัสก็ว่างงานไม่มีอะไรจะทำ เลี้ยงตัวเองด้วยเงินสวัสดิการจากรัฐ

บอกตรงๆ ว่า ฮิปปี้ที่นี่ กินดีอยู่ดีกว่าคนที่มีงานทำเสียอีก ได้เงินสวัสดิการจากรัฐ

มาจ่ายค่าเช่าบ้านและอาหารการกิน คาดว่าคงเพราะว่างงานและเบื่อๆ เลยอาสา

พากะเหรี่ยงจากเมืองไทยเดินเที่ยวบ้านตัวเอง เผลอๆ อาจจะหวังกัญชาเบอร์สี่

อย่างดีจากเมืองไทย ใครจะไปรู้

.

.

เราเข้าไปในร้านขายของที่ระลึก พลันต้องตระการใจไปกับ "บ้องกัญชา" (Bong)

หลากสี หลายสไตล์ ทั้งเล็กใหญ่ในราคามิตรภาพ มีทั้งแบบสีรุ้งและแบบสีพื้น

เลือกได้ตามรสนิยมคนพี้ "เนื้อ" หรือที่คนแถวนี้ นิยมเรียกว่า Pot หรือ Weed อีก

ทั้งยังมีชื่อเล่นน่ารักอย่างสุดซึ้งว่า Mary Jane

.

.

โลตัสนั้นเขม้นมองบ้องกัญชาหลากสีสลับกับจ้องหน้าฉันอย่างคาดหวัง เพราะ

ฉันเล่าว่า คนไทยที่เมืองไทยนิยมบ้องปัญชาไม้ไผ่ บางคนก็ประดับเหรียญกล้า

หาญแพรวพราว หรือไม่รุ่นหลังๆ มา ก็นิยมขวดแฟซ่า หรือขวดแชมพูมาแจาะรู

ทำบ้องกัญชา แต่สะดวกสุดก็เห็นจะเป็นเอามายำยัดไส้บุหรี่อย่างที่เราเรียกว่า

"พันลำ" แม่ดอกบัวหัวร่อลั่น ตบหลังตบไหล่ พลางว่า

"ส่วนมากพวกไอก็ดูดพันลำนี่แหละ เสียอย่างเดียว กัญชาจากบ้านยูนี่แพงบรรลัย

เลยต้องหันไปใช้กัญชาจากอเมริกาใต้แทน"

.

.


ที่นั่น มีบุหรี่หลากชนิดแปลกๆ ให้ลอง ฉันแวะซื้อบุหรี่ Kratek หรือบุหรี่กานพลูรส

หวานปะแล่มที่เคยชื่นชอบสมัยเรียนมหาวิทยาลัยมาดูดแก้หนาว และเช่นเคย ฉัน

แบ่งให้โลตัสกับสันติด้วยเป็นการตบรางวัล นางฮิปปี้เฒ่ายิ้มพยักเพยิดขอบ

ใจ คงชัดเจนแล้วว่า ฉันเป็นพันธุ์หมาบ้ามาแต่เดิมเหมือนกัน เพราะจะมีแต่

ฮิปปี้เท่านั้นแหละ ที่ชอบบุหรี่ชนิดนี้ สันติขอแยกไปหาเพื่อน เหลือแต่ ฉันกับโล

ตัสเดินดูดบุหรี่ควันอ้อยอิ่งทอดอารมณ์ไปบนถนนสายบุปผาชน Haight-

Ashbury แห่งนี้

.

.



“ในลมหายใจอบอวลกัญชา แอลเอสดี และกระหรี่ (ผง) ศีลหลายข้อกำหนดว่า

ฮิปปี้เป็นศัตรูกับความเจริญทางวัตถุ การต่อต้านความละโมบและความอิจฉา

ริษยาอาฆาต และการเร่งเร้าเพื่อเกื้อกูลเพื่อนมนุษย์ในโลก การปฏิเสธความ

ฟุ้งเฟ้อ รวมทั้งความสะอาดและความเรียบร้อย (มารยาท)

การเป็นซ้าย (ใหม่) การไม่ตัดสินด้วยความรุนแรงแต่รักสงบ การนอบน้อมถ่อม

ตนและเทิดทูนความเป็นเพื่อน การเป็นปรปักษ์กับงานโดยประท้วงด้วยความขี้

เกียจ...การนำตนเข้าถึงเสรีภาพแห่งความรักและกามารมณ์ ฯลฯ”

(บางถ้อยอารมณ์ จาก หลงกลิ่นกัญชา : ‘รงค์ วงษ์สวรรค์)




นั่นเป็นนิยามจากนักเขียนผู้หลงกลิ่นกัญชา คุณรงค์ วงษ์สวรรค์

แต่คงจะไม่ง่ายนัก หากจะนิยามความเป็น "ฮิปปี้" ได้อย่างครอบคลุม บางใครให้

นิยามไว้เสร็จสรรพแล้วว่า "บุปผาชน" เป็นชื่อที่น่ารักน่าเอ็นดูสำหรับคนที่มี

รสนิยมแบบทวนกระแสสังคม แต่สำหรับกลุ่มอนุรักษ์นิยมแล้ว ฮิปปี้ถือเป็นตัว

อันตรายที่นรกส่งมาเกิดเลยทีเดียว

.

.


ไม่ว่าใครจะมองกลุ่มชนขบถนี้อย่างไรก็ตาม ความหมายโดยรวม

ของวัฒนธรรมแบบฮิปปี้ คือ วัฒนธรรมทวนกระแสที่เกิดมาจากการเคลื่อนไหว

ของคนหนุ่มสาวในสหรัฐอเมริกาช่วงต้นทศวรรษ 1960 และแพร่

วัฒนธรรมนี้ไปทั่วโลก

.

.

คำว่าฮิปปี้ มาจาก ฮิปสเตอร์ (hipster) ใช้ในการอธิบายถึงพวกที่ทำตัวต่างจาก

คนส่วนมากในสังคม

.

.



ฮิปปี้ในซานฟรานซิสโก ย่าน Haight-Ashbury ได้รับสืบทอดวัฒนธรรมแปลก

แยกนี้จากพวก Beat Generation เกิดสังคมทวนกระแส ซึ่งปฏิเสธค่านิยมของ

สังคม ฟังเพลงจำพวกไซเคเดลิกร็อก ปฏิวัติเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ และเสพ

ยาอย่างกัญชาและแอลเอสดี

.

.

ปี 1967 ในซานฟรานซิสโก ฮิปปี้รวมตัวกันจัด Summer of Love ทางฝั่ง

ตะวันตกของสหรัฐอเมริกา และจัดเทศกาล Woodstock ในปี 1969 ทางฝั่งตะวัน

ออก ส่วนในเม็กซิโกมีการเริ่ม La Onda Chicana ที่ Avándaro

.

.



แฟชั่นฮิปปี้แทรกซึมเข้าไปมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมหลัก และมีอิทธิพลต่อดนตรี

ป็อบ แวดวงบันเทิงทั้งโทรทัศน์และภาพยนตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานเขียนและ

ศิลปะ จิปาถะไปตั้งแต่อาหารเพื่อสุขภาพ เพราะกลุ่มฮิปปี้เน้นอาหารมังสวิรัติ

เป็นหลัก นอกจากนี้ ยังเน้นการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ยึดติด

.

.

ในประเทศไทยเรียกฮิปปี้ว่าบุปผาชน โดยอธิบายไว้ว่า เป็นพวกที่รักอิสระเสรีภาพ

มีการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย การแต่งกายไม่ภูมิฐานฟุ้งเฟ้อหรือยึดติดกับสิ่งของ

ราคาแพงและค่านิยมของสังคม

.

.

นี่คงเป็นภาพรวมกว้างๆ ของกลุ่มบุปผาชน หากว่า อยากจะเข้าใจรากเหง้าและ

กำเนิดบุปผาชนอย่างแท้จริงแล้ว คงจะต้องย้อนกลับไปสู่ยุค Beat Generation

คือ ประมาณ 1950s-1960s

.

.

Beat Generation เป็นการเรียกตัวเองของกลุ่มนักเขียนอเมริกันที่มารวมตัวกันใน

ปลายทศวรรษ 1950s ต่อเนื่องไปจนถึงปี 1960s เป็นกลุ่มนักเขียนที่มีส่วนผลัก

ดันและสำคัญยิ่งต่อแวดวงวรรณกรรมอเมริกา ภายหลัง นักเขียนกลุ่มนี้เรียกตัว

เองว่า Beatniks

.

.


วรรณกรรมที่เป็นหัวใจหลักของกลุ่มบีท เจนเนอเรชั่นคือ รวมบทกวี Howl ของ

Allen Ginsberg (1956) , Nake Lunch (1959) ของ William S. Burroughs

และ On the Road (1957) ของ Jack Kerouac ทั้งสามเล่มนี้เป็นเหมือนคัมภีร์

หลักแห่ง Beat Generation เลยก็ว่าได้
.

.

ในปี 1948 Jack Kerouac ได้คิดคำว่า Beat Generation ขึ้นเพื่อเอาไว้เรียก

กลุ่มนักเขียนที่ขบถต่อสังคม ไม่ยอมโอนอ่อนตามสังคมอย่างเชื่องๆ เหมือนคน

ในยุคนั้นที่ทำทุกอย่างตามกระแสสังคม โดยเอาคำมาจากนวนิยายของ John

Clellon Holmes เรื่อง GO มาใช้เรียกกลุ่มตนเอง

.

.

คำว่า Beat เป็นสะแลงที่มีความหมายหลายนัยคือ เป็นได้ทั้งคำเรียกกลุ่มพวกหัว

ขโมย ขี้ยา และบรรดาตัวแสบต่างๆ แต่สำหรับกลุ่ม Beat แล้ว หมายถึง กลุ่มคนที่

ค้นพบตัวเองและไม่เดินตามหลังใคร ถือเป็นกลุ่มชนที่มีแนวทางของตัวเองอย่าง

เด่นชัดโดยไม่สนใจกระแสสังคม

.

.




แต่ส่วนมากแล้ว เมื่อเอ่ยถึงกลุ่ม Beat Generation สื่อมวลชนจะหมายถึงกลุ่ม

เพื่อนนักเขียนของ Allen Ginsberg William S. Burroughs และ Jack Kerouac

ในสมัยนั้น นักเขียนที่มีหัวใจเดียวกันมารวมกันเข้ากับกลุ่มนี้ ทำให้ความนิยมใน

วิถีขบถกระจายตัวอย่างกว้างขวางในกลุ่มหนุ่มสาว กลายเป็นกลุ่มชนทวนกระแส

ที่น่าจับตามองในอเมริกายุคนั้น ด้วยความโดดเด่นที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง

.

.

นักเขียนยุค Beat Generation เปรียบเสมือนคบเพลิงแห่งปัญญาที่ลุกโพลง

รุ่งโรจน์จรัสจ้าทั่วอเมริกาจนทุกคนต้องจับตามอง เนื่องจากในยุคนั้น เป็นยุค

สงครามเย็นระหว่างอเมริกาและรัสเซีย วรรณกรรมและศิลปวัฒนธรรมตกอยู่ใน

ความมืดมนซึมเซา ประชาชนถูกทำให้ “เชื่อง” โดยปราศจากการตั้งคำถาม

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำถามเรื่องสงคราม หากใครอยากวิพากษ์สังคมอาจถูกตั้ง

ข้อหา “เป็นภัยต่อสังคม” ได้ง่ายๆ

.

.

หากแต่เหล่านักเขียน Beat กล้าลุกขึ้นมาท้าทาย และวิพากษ์ทั้งสังคมอเมริกา

และสังคมโลก เพื่อมุ่งหวังปลุกจิตวิญญาณอเมริกันชนให้กลับคืนสู่เสรีภาพแห่ง

การตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์

.

.

บทกวีและงานเขียนกลุ่ม Beat เน้นความไร้ฉันทลักษณ์ ไร้รูปแบบตายตัว ซึ่งบท

กวีไม่จำเป็นต้องใช้คำสละสลวย ขอเพียงแต่สามารถกระชากความคิดและ

อารมณ์ให้ตระหนักถึงสาระแห่งการดำรงอยู่

.

.


แน่นอนว่า สิ่งที่ควบคู่มากับบทกวีและงานเขียนยุค Beat Generation คือ กัญชา

และ LSD สอดไส้ชีวิตอันประดับประดาด้วยดอกไม้หลากสีและชีวิตเสรีไร้ขอบ

เขตของเหล่าบุปผาชน

.

.

จากกลุ่มนักเขียนขบถเล็กๆ ที่เรียกตนเองว่า Beatniks เริ่มมีแนวร่วมทวนกระแส

สังคมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะฝั่งซานฟรานซิสโกทำให้ City Lights Bookstore

อันเปรียบเสมือนบ้านหรือสวนดอกไม้แห่งกลุ่ม Beat Generation บนถนน

โคลัมบัส ย่าน North Beach คับแคบไปถนัดใจ

.

.


เมื่อผู้ร่วมขบวนการ "ทัดดอกไม้ในเรือนผม" ทวีจำนวนมากขึ้น จึงจำเป็นต้อง

ขยับขยายแหล่งซ่องสุมใหม่ในยุคนั้น เหล่าบุปผาชนได้เคลื่อนย้ายตัวเองมาสู่

Haight-Ashbury เพราะยุคนั้น ค่าเช่าถูก หากแต่สมัยนี้ ค่าเช่าแพงเหมือน

ทองคำเลยทีเดียว จากนั้นเป็นตันมา นับตั้งแต่ 1960s Haight-Ashbury ก็

กลายเป็นตำนานแห่งบุปผาชนมาจนถึงวันนี้

.

.


.

ในปี 1967 ถนนสายนี้กลายมาเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายมากขึ้นในการจัด

Summer of love ทำให้แปรสภาพไปเป็นถนนสายบุปผาชนโดยสมบูรณ์แบบ

มาจนปัจจุบัน
.
.

ส่วนในปี 1969 เทศกาลเพลง Woodstock ที่นิวยอร์กถือเป็นการแสดง

ดนตรีสะท้านโลกและเป็นตำนานของเหล่าบุปผาชนเลยทีเดียว งานนี้มีวง

ดนตรีที่มีชื่อเสียงมีนักร้องมากมายมาร่วมกันร้องเพลง เพลงประจำของงาน

ได้แก่ เพลง Woodstock ซึ่งแต่งโดย Joni Metchell โดยมีวงดนตรี

Crosby Stills Nash and Young เป็นผู้ร้อง ทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลง

สัญลักษณ์ของงาน เป็นที่นิยมอย่างมากทั้งในอังกฤษและอเมริกา เนื้อเพลง

เป็นเรื่องของคนหนุ่มสาว ที่ต้องการแสวงหา การเรียนรู้และพยายามปลด

ปล่อยตัวเองจากพันธนาการสังคม

.

.



กิจกรรมหลักของบุปผาชนคือ การต่อต้านและประท้วงสงคราม โดยเฉพาะ

ในช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามเวียตนาม เกิดคำขวัญ Make Love , Not War

และยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้




ควันบุหรี่ Kratek กลิ่นหวานเอียนโรยตัวหม่นท่ามกลางลมหนาวจากอ่าวซาน

ฟรานซิสโก โลตัสจากไปแล้ว เหลือฉันเดินทอดน่องดูข้าวของและผู้คนบน

ถนนสายดอกไม้ Haight-Ashbury เสียงเพลง Woodstock แว่วมาจากที่

ไหนซักแห่งละแวกนั้น


I came upon a child of god


He was walking along the road


And I asked him, where are you going


And this he told me

...............


I'm going on down to yasgurs farm


I'm going to join in a rock n roll band


I'm going to camp out on the land


I'm going to try and get my soul free

...............


We are stardust


We are golden


And we've got to get ourselves


Back to the garden

.............


Then can I walk beside you


I have come here to lose the smog


And I feel to be a cog in something turning


Well maybe it is just the time of year

.............


Or maybe it's the time of man


I dont know who l am


But you know life is for learning

.............


We are stardust


We are golden


And we've got to get ourselves


Back to the garden

................


By the time we got to woodstock


We we' re half a million strong


And everywhere there was song and celebration


And I dreamed I saw the bombers

..............


Riding shotgun in the sky


And they were turning into butterflies


Above our nation

..............


We are stardust


Billion year old carbon


We are golden


Caught in the devils bargain


And we've got to get ourselves


Back to the garden

ฉันบรรจงเหน็บดอกไม้ที่แวะซื้อมาจากข้างถนน ยิ้ม ฮัมเพลงตามเบาๆ

We are stardust


Billion year old carbon


We are golden


Caught in the devils bargain


And we' ve got to get ourselves


Back to the garden


“ เราเป็นเพียงละอองของดวงดาว

เป็นธาตุถ่านเก่าแก่นับล้านปี

คือเหยื่อการเอาเปรียบของพวกปีศาจร้าย

และจะหวนคืนสู่อุทยานแห่งมวลมนุษย์ ”

.

.


อ่านเกี่ยวกับนักเขียน Beat Generation และร้าน City Lights Bookstore


//www.oknation.net/blog/charoenkwan/2008/06/09/entry-1




ข้อมูล : แปลและเรียบเรียงจาก Wikipedia

จากการสัมภาษณ์พูดคุยกับฮิปปี้ในย่านนั้น

และสัมภาษณ์อดีตฮิปปี้หลายคน



Create Date : 17 มกราคม 2552
Last Update : 22 มกราคม 2552 4:15:37 น. 6 comments
Counter : 3758 Pageviews.

 
แหมพี่บี วันนี้ได้เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับฮิปปี้มากมายเลยอ่ะ .... ข้อมูลมากมายเลยพี่ .... แต่ละคนก็มีความสุขในโลกที่แตกต่างกันนะคะ

วันเสาร์เหรอพี่บี เห็นพี่ขจรว่าเป็นแบบ pot luck นะคะ ใครใคร่ทำอะไร ทำไปเลยค่ะพี่ อิอิ .... ไม่สบายเหรอ พยายามรักษาตัวให้หายนะคะ ... ดูเธอ แทนที่จะบอกว่าขอให้หายเร็ว ๆ นะพี่ .... ขาดพี่บีไปเดี๋ยวไม่มีเรื่องฮา ๆ กัน ....


โดย: Tristy วันที่: 22 มกราคม 2552 เวลา:7:39:35 น.  

 
ชอบมาก ถูกใจมาก

แล้วก็ขอบคุณมากๆค่ะ


โดย: เช้านี้ยังมีเธอ วันที่: 23 มกราคม 2552 เวลา:13:59:04 น.  

 
ปัจจุบัน ขณะนี้
ถ้าเมืองไทย มีความคิดแบบ ฮิปปี้ บ้างคงจะดี


โดย: otto IP: 125.27.10.86 วันที่: 7 มิถุนายน 2552 เวลา:11:52:04 น.  

 
พี่คะ,,
อยากแลกเปลี่ยนความคิดในเรื่องของฮิปปี้อ่ะคะ
พอดีหนูจะทำทีสิสเกี่ยวกับเรื่องนี้

เป็นเครื่องประดับ
ถ้าไม่รบกวนเกินไป พี่ช่วยแอดเมล์หนูหน่อยได้มั้ยคะ
o_ran_ger@hotmail.com

ขอบคุณมากนะคะ
ส้ม.^^


โดย: ส้ม IP: 125.24.45.84 วันที่: 14 ตุลาคม 2552 เวลา:21:43:10 น.  

 
ชอบเรื่องนี้อ่ะค่ะ

ขออนุญาติเก็บไว้อ่านเวลาว่างๆๆนะค่ะ

เพราะชอบอ่านซ้ำไปซ้ำมาค่ะ


โดย: looktarn IP: 58.9.69.195 วันที่: 7 กันยายน 2553 เวลา:0:20:24 น.  

 
:)


โดย: :) IP: 58.9.63.179 วันที่: 29 กรกฎาคม 2554 เวลา:4:16:15 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Kala_mydog
Location :
Indiana United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




**งานเขียนทุกชิ้นที่ปรากฏในเวบไซต์นี้
เป็นลิขสิทธิ์ของเจ้าของบทประพันธ์นั้นๆ แต่เพียงผู้เดียว
ห้ามกระทำการดัดแปลง แก้ไข
หรือแอบอ้างไปเป็นผลงานของตน
โดยไม่มีการอ้างถึงเจ้าของลิขสิทธิ์
หากผู้ใดมีความประสงค์
จะนำข้อมูลดังกล่าวออกเผยแพร่ ตีพิมพ์
หรือนำไปใช้เพื่อประโยชน์อื่นใด
โปรดติดต่อเจ้าของบทประพันธ์โดยตรง**



สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539
ห้ามมิให้นำไปเผยแพร่และอ้างอิง
ส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของข้อความ
ในสื่อคอมพิวเตอร์แห่งนี้เพื่อการค้า
โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร
ผู้ละเมิดจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด



"เจริญขวัญ" (kala_mydog)

Friends' blogs
[Add Kala_mydog's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.