| ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต | | | | เชื่อว่า คุณพ่อคุณแม่หลายๆ คนที่มีลูกเข้าสู่วัยรุ่นย่อมมีความรู้สึกคล้ายๆ กัน ว่า ลูกกลายเป็นเด็กคุยยาก ไม่เชื่อฟัง อวดดี และชอบเอาชนะ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ อาจทำให้พ่อแม่อย่างเราๆ ท่านๆ หงุดหงิด และอารมณ์เสียได้ทุกเมื่อ แต่หากได้ลองเปิดใจกว้าง พยายามปรับตัว และทำความเข้าใจกับลูกวัยนี้ดูแล้ว คุณจะพบว่า พวกเขาไม่ได้คุยยากอย่างที่คิด ทว่าพ่อแม่ต่างหากที่เป็นฝ่ายใจร้อน และแสดงออกกับลูกอย่างไม่มีเทคนิค วันนี้ทีมงาน Life & Family มีแนวทางดีๆ เกี่ยวกับการแสดงออกที่เหมาะสมกับลูกวัยรุ่นมาฝากคุณพ่อคุณแม่ได้พิจารณา และลองนำไปปรับใช้กัน ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันได้เลยครับ เอาใจเขามาใส่เรา คุณพ่อคุณแม่ต้องยอมรับก่อนว่า เป็นเรื่องธรรมดาของวัยรุ่นที่ต้องการเป็นตัวของตัวเอง ลองคิดถึงเมื่อครั้งที่คุณเป็นวัยรุ่น พยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรา เตือนตัวเองไว้ว่า ฟังลูกก่อนสิ บางคนไม่เปิดโอกาสให้ลูกได้พูด หรืออธิบายใดๆ เลย เอาแต่รัวคำบ่นใส่ลูกอยู่ฝ่ายเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้ อาจทำให้เด็กต่อต้าน และค่อยๆ ถอยห่้างพ่อแม่ไปอยู่กับเพื่อนได้ ถ้าเพื่อนดีก็ดีไป แต่ถ้าเพื่อนเกเรก็ยิ่งเสี่ยงที่ลูกจะเกเรตามไปด้วย ทางที่ดี ควรให้โอกาสลูกบ้าง เมื่อถามแล้วลูกเงียบ อย่าคิดว่าการที่ลูกอ้ำอึ้งเป็นการปิดบัง ลูกอาจกำลังคิดว่าจะพูดกับคุณอย่างไรเพื่อให้คุณเข้าใจและไม่โกรธ ไม่ดุเขา พูดดี มีน้ำเสียงรื่นหู ลองสงบสติอารมณ์ และใช้คำพูดที่เปิดโอกาสให้มีการพูดคุย โต้ตอบกัน และควบคุมน้ำเสียงให้ รื่นหู รวมทั้งแสดงสีหน้า สายตา น้ำเสียงที่ชวนให้อยากสนทนาด้วย เช่น แม่เสียใจที่เห็นลูกใช้เงินเปลือง ลูกรู้ไหมว่าเงินทองเป็นของหายาก แม่เหนื่อยมากกว่าจะหามาให้ลูกใช้ได้ หรือ พ่อไม่สบายใจเลยที่ลูกใช้เงินแบบนี้ มีปัญหาอะไรบอกได้ไหม แทนการพูดว่า กล้าดียังไงเอาเงินที่พ่อแม่หาให้ไปเลี้ยงไปเที่ยวกับแฟน ทั้งที่ตัวเองไม่มีปัญญาหาเงินเอง เป็นต้น ลดการออกคำสั่ง การพูดกับลูกในเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ หรือแม้กระทั่งเพศสัมพันธ์น่าจะอยู่ในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ไม่ใช่การสั่งสอน หรืออบรม พ่อแม่อาจแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของตัวเองเมื่อตอนเป็นเด็กๆ ให้ลูกฟัง เพราะลูกชอบที่จะฟังเรื่องราวจากพ่อแม่ของตัวเอง เพราะเขาสามารถตั้งคำถาม ทำความเข้าใจได้ง่ายกว่า หรือการชวนลูกคุยในเรื่องของความฝัน ความหวัง เป้าหมายในชีวิตก็สำคัญกับการเลือกเส้นทางเดินของลูกไม่แพ้กัน เพราะการที่ลูกไว้ใจบอกเล่าเรื่องราวหรือปัญหา จะทำให้เด็กพุ่งเป้าไปที่สิ่งที่เขาอยากทำในอนาคต ลดโอกาสการหันไปหาเพื่อนที่มีปัญหา หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงลงได้ ให้ลูกได้มีเวลาส่วนตัวบ้าง การให้ลูกได้มีเวลาเป็นส่วนตัว ช่วยให้ลูกได้ทบทวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่การเข้าไปเซ้าซี้ จู้จี้ จุกจิกมากเกินไป แทนที่ลูกจะเข้าใจว่าพ่อแม่เป็นห่วง อาจกลายเป็นความน่ารำคาญได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ อาจทำให้ลูกเกิดการต่อต้าน ไม่อยากคุย และไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ดังนั้น การเว้นระยะห่างที่เหมาะสม ทำให้เด็กรู้สึกไม่อึดอัด และไม่กดดันจนเกินไป แล้วการคุยกับลูกวัยรุ่นจะไปด้วยกันได้ดียิ่งขึ้น วางตัวให้น่าเคารพ การสนิทสนมกับลูกนั้น พ่อแม่ไม่ควรสับสนจนทำตัวเป็นเพื่อนสนิทของลูก พ่อแม่ก็ยังคงต้องเป็นพ่อแม่ เช่น ดูแลให้ลูกปฏิบัติตามกฎและระเบียบในบ้าน โดยอธิบายให้ลูกทราบถึงความสำคัญและความปลอดภัยที่จะเกิดกับตัวลูก นอกจากนั้น การให้เวลาและให้ความสนใจในชีวิตของลูกจะช่วยให้ลูกเกิดความมั่นใจมากขึ้น เมื่อเด็กมีความมั่นใจในตัวเองจะให้ความสนใจในเพศตรงข้ามน้อยลง และจะลดพฤติกรรมเสี่ยงลง ดังนั้นหากมีเวลาว่างอาจทำกิจกรรมที่ทั้งคุณและลูกชื่นชอบ หรือลองหาอะไรใหม่ๆ ที่คิดว่าลูกสนใจ เพื่อช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก แต่ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่า ลูกกำลังดูเราอยู่ การเป็นตัวอย่างที่ดีโดยทำตัวให้น่าเคารพคือสิ่งที่ควรให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ดังนั้น ลูกวัยรุ่น ไม่ใช่เด็กหัวดื้อที่คุยยาก หากพ่อแม่คิดให้ดีก่อนว่า คำพูด หรือการแสดงออกนั้นๆ จะส่งผลให้เกิดอะไรตามมาบ้างกับความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับลูก แต่ถ้าเกิดความเครียดจากการรับมือกับลูกวัยรุ่น อาจลองมองหาเพื่อน ญาติพี่น้อง คนข้างๆ ที่เข้าใจเรา เพื่อปรับทุกข์เมื่อรู้สึกเหนื่อยหรือหงุดหงิดกับพฤติกรรมลูก และเรียนรู้จากคนเหล่านั้นว่าเขามีวิธีจัดการกับความหงุดหงิดอย่างไร | |