|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
แสงศตวรรษ หนังอาร์ตไซไฟแฝงดราม่าข้ามมิติรักแฟนตาซีบวกชีวิตลึกลับซ่อนเงื่อนแนวอีโรติกคอมเมดี้..
ได้ดูดีวีดีเวอร์ชั่น Uncut (กรุณาอย่าคิดเป็นอื่น..) ก็พอเห็นประเด็นร้อนอยู่บ้าง
สงสารกองเซ็นเซ่อร์อยู่มิน้อย..5555 จะตัดอะไรก็คงงงๆ ก๊งๆ...เอิ๊กกก
เพราะคงจับประเด็นเนื้อหาอะไรก็ไม่ได้ ก็ขอลุยเอาแต่ภาพก็แร้วกัน...
..........................................................................................
ทำไมถึงชื่อแสงศตวรรษ... ภาษาปะกิตเขาว่า Syndromes and a Century
ดิกชันนารีของเน็คเท็คเขาแปล Syndrome ว่า อาการของโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน เหอะๆ ..เซอร์หนักเข้าไปอีก
เรื่องของเรื่องมันคงฟังดูเกร๋กระมัง.. อย่าไปคิดมากเรย.. ดูหนังอาร์ตๆ เขาห้ามคิดมาก
เดี๋ยวเจอ อาการของโรค(จิต)ต่างๆ ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน 5555
หนังแสงศตวรรษนี้..ดูเนียนๆ ดีกว่า สุดเสน่หา หรือ สัตว์ประหลาด อยู่ หากแต่คงความ ดูไม่รู้เรื่อง ได้เหนียวแน่นเทียบเทียมกันอย่างสูสี
สัตว์ประหลาด นับว่า..คล้ายๆ จะดูรู้เรื่องมากกว่าเพื่อนแล้ว....
แสงศตวรรษ มีเนื้อหาราวกับล่องลอยเข้าไปในโลกของมิติคู่ขนาน....(อย่าเพิ่งขมวดคิ้ว)
นับเป็นความเด่นของ ผกก.ที่สามารถกำกับนักแสดงหน้าใหม่ให้เล่นกับไดอะล็อคแนวอิมโพรไวส์และดูสมจริงเป็นธรรมชาติ
แต่กลับนำมาเล่าเรื่องที่ดูหลุดโลกเหมือนหลุดไปในมิติแห่งความเหนือจริง
ด้วยเรื่องราวของหมอเอ๋อๆ คนนึง (จริงๆ ก็ทุกคนในเรื่องแหละ ที่มีพฤติกรรมเหวอๆ ไม่ค่อยเหมือนผู้คน) ที่ถูกจับมาเป็นตัวละครนำในฉากที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลต่างจังหวัด แล้วอยู่ดีๆ ก็มาเล่าเรื่องซ้ำที่เกิดขึ้นเหมือนเดิมในโรงพยาบาลที่ กทม. (ฟังแล้วรู้เรื่องมะ..)
ก็เหมือนจิตวิญญาณของตัวละครที่อยู่ต่างมิติ หากวิ่งคู่ขนานกันไป เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน แต่ต่างเวลาต่างมิติ สะท้อนมุมมอง(และตัณหา)ของหมอต่างสังคม บ้านนอก..และ เมืองกรุง
ส่วนจะสะท้อนว่ากระไร..ก็จงไปดูเอาเองเถิด เพราะไม่ทราบว่าจะเล่าเรื่องประการใด..เพราะจริงๆ แล้ว มันไม่มีเรื่องอะไรให้เล่าได้เป็นชิ้นเป็นอัน ทุกอย่างเป็นสไตล์และสัญลักษณ์ (Symbolic) ที่ปล่อยให้คนดูตีความกันไป...
ส่วนเนื้อหานั้น...ใครเข้าใจอย่างไร..ก็นับเป็นบุญบารมีเก่าของผู้นั้น...
นับเป็นอีกเรื่องนึงที่ Style ครอบ Content จนมิด ดูเอาความเกร๋เป็นหลักก็คงพอ (แล้วกระมัง)
ฤาหนังอาร์ตเขาต้องทำให้มันเอ๋อๆ เช่นนี้เป็นสรณะ?
สัตว์ประหลาด ยังดูมีเนื้อมีหนังให้จับต้องได้มากกว่า และตีความในแง่มุมลึกได้น่าสนใจกว่า
................................................................................................
ส่วนที่เหลือ.. ก็คือความรู้สึกเสียดสีประชดประชัน ด้วยทั้งอารมณขัน และอารมณ์คัน (อันพิลึกๆ)
ทั้งฉากหมอรักษาพระ...หมอทำฟันพระ...พระอยากเล่นกีต้าร์ (แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย) ..หมอฟันบ้าร้องเพลง..รวมทั้งพฤติกรรมต๊องๆ ของหมอพระเอกและนางเอก ...บลาๆๆ อีกมากมายที่คนดูต้องมาปะติดปะต่อเอาเอง...
ความน่าสนใจของเรื่องคือ ตัวแสดงที่ Cast มาได้ดูเป็นบ้านๆ ดี ดูไม่เป็นดารา แต่ก็แสดงกันได้เนียนๆ เข้ากัน พูดจาเป็นธรรมดาเหมือนคนทั่วไป ไม่ดูประดิษฐ์เหมือนหนังไทยที่เคยดู ด้วยบทพูดที่ดูธรรมชาติสมจริงไม่ต้องคอยรอจังหวะพูดเหมือนละครหลังข่าวหรือหนังตลกดาดๆ
หากแต่ความเป็น Realistic เหล่านี้ กลับนำไปใช้บนความเป็น Surreal (สไตล์หนังที่เหนือจริง) งงแมะ...
มันเป็นสไตล์การทำหนังที่เสมือนเทรดมาร์คของอภิชาตพงศ์ชัดเจนอยู่ เขาทำอย่างนี้มาทุกเรื่อง แต่เรื่องนี้จะโดดเด่นกว่าเพื่อน
แรกๆ ของการเล่าเรื่องในช่วงโรงพยาบาลชนบท.. ยังดูมีความเป็นธรรมชาติของชีวิตจริงต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ทั้งแอ็คชั่นและบทไดอะล็อค
แต่ครั้น..อยู่ดีๆ ..ตัดฉับมาที่โรงพยาบาลในกรุง และเล่าเรื่องซ้ำด้วยเหตุการณ์เดิมๆ อาการความหนืดในการแช่ภาพนิ่งๆ เริ่มเพิ่มมากขึ้น และมากขึ้น จนข้าพเจ้าเผลองีบไปสองสามตลบ...5555
กว่าจะดูจบให้ต่อเนื่องกันก็ครบสามวันพอดิบพอดี ...
ช่วงท้ายๆ เรื่องก็วนเวียนกับพฤติกรรมของหมอๆ ที่อยู่ในมิติแห่งความเซอร์ โดยเราเองก็ปล่อยใจดูเหตุการณ์นั้นไปเช่นเดียวกับภาพฝัน (เข้ากันดีมะ) ก็เลยไม่ค่อยทุรนทุรายกระไรนัก
อยู่ดีๆ เขาก็ตัดไปดูมุมโน้นมุมนี้ในโรงพบาล จนมาถึงห้องใต้ดิน...นอนดูภาพเจ้าท่อประหลาดดำๆ ในห้องใต้ดินนั่นไปสักห้านาที มันกำลังดูดควัน..อะไรไม่รู้...(ใครได้ไปดูกรุณาช่วยมาอธิบายหน่อยจะเป็นพระคุณ)
แล้วอยู่ดีๆ ก็ดำมืดไปหมด...(แหะๆ...ไม่มีอะไร...เผลองีบไปนิด)
สะดุ้งตื่นอีกที..ตัดไปสวนสาธารณะมีคนมาออกกำลัง ทำกิจกรรม เต้นแอโรบิค กรอกลับไปดู..เอ มันก็ต่อกับไอ้ท่อดำๆ นั่นมาเฉยๆ นี่นา....
อ้าว เฮ้ย...เครดิตไตเติลขึ้น จบแล้วคร้าบบบ
เกือบลืม...ที่น่าสนใจอีกอย่าง...คือดนตรีประกอบ ทำได้เซอร์สมเรื่องซะไม่มี แม้กระทั่งเพลงร้อง Smile ที่อุปโลกว่าหมอฟันนักร้องแต่ง ก็ยังเป็นเพลงร้องเซอร์ๆ ทั้งเนื้อและเมโลดี้ (แถมยังกล้าเอาขึ้นเวทีร้องให้คนบ้านนอกฟัง)
ขอบคุณที่ตามอ่านรีวิวอาร์ตๆ ของข้าพเจ้า...จบมันยังงี้แหละ
ฉากที่ถูกตัดไปตอนฉายในโรง แต่ตอนนี้ได้ข่าวว่าโดนตัดเพิ่ม อะไรมั่งก็ไม่ทราบ...ถ้าถามความรู้สึกส่วนตัว อิสระในการนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ย่อมห้ามกันไม่ได้ ...
แต่ในแง่มุมของคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ ก็ให้รู้สึกพิกลๆ อยู่ ประเด็นของพระ+หมอ+จินตนาการข้ามมิติ+ความเป็นปุถุชน ฯลฯ มันปนเปกันจนไม่มีอะไรเด่นชัด ซึ่งคงเป็นวัตถุประสงค์ของคนทำ และเป็นสัญชาตญาณในการด้นบทในสไตล์ Script on Location แล้วนำมายำอีกทีในห้องตัดต่อทีหลัง
ประเด็นคาบลูกคาบดอกพวกนี้มันเลยผสมผเสยิ่งกว่าขนมผสมน้ำยา ให้รสชาติที่พิลึกพิลั่น จะว่าขำก็ไม่ใช่ จะว่าเกร๋ก็ไม่นึกไม่ออก จะว่ารำคาญ..ก็เป็นบางที
และยังมีสไตล์ของความล่อแหลม(ทางเพศ)ที่ ผกก.ชอบแฝงไว้ในหนังทุกเรื่องของเขา ตั้งแต่ฉากเสพสมกันโจ๋งครึ่มในสุดเสน่หา ความสัมพันธ์(ทางเพศ)ของสองชายในสัตว์ประหลาด และอารมณ์รักอารมณ์ใคร่แบบหมอๆ กับฉากไอ้นั่นแข็งตัวในแสงศตวรรษ
สไตล์คาบลูกคาบดอกแบบนี้ อภิชาตพงศ์เข้าใจดีว่ามันทุบหัวคนดูทั่วโลกได้ดี (ซึ่งหนังอินดี้มักจะทำกัน) ทำให้หนังของเขาดูแนวๆ และมีอะไรๆ ให้ชวนติดตาม แต่บางประเด็น อย่างมุกที่เล่นกับพระสงฆ์องค์เจ้า (รวมทั้งพระพุทธรูปสีขาว) หรือ แม้แต่ช็อทที่ดอลลี่ผ่านอนุสาวรีย์เจ้าๆ นายๆ หน้าโรงพยาบาลนั้นมี subtext อะไรแอบแฝง? โดยส่วนตัว..โดยเฉพาะวัยวุฒิ..และความเป็นคนไทย..ก็รู้สึกแหม่งๆ อยู่ ซึ่งความรู้สึกพวกนี้จะแรงกว่า ประเด็นที่กองเซ็นเซอร์สังเกตเห็นเสียอีก
คนต่างชาติอาจมีมุมมองที่แตกต่าง เพราะเขาไม่ concern เรื่องวัฒนธรรมความเชื่อแบบเดียวกับเรา ก็คงเหมือนกับเราดูหนังบาทหลวงปล้ำเด็กวัดใน Bad Education อะไรทำนองนั้น มันไกลตัวก็เลยไม่รู้สึกกระเทือนอะไรกี่มากน้อย ...............................................................................................
และนี่คือข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้มาจากเว็บของนิตยสาร "สารคดี" โดย ไกรวุฒิ จุลพงศธร ซึ่งคงจะช่วยทำให้เข้าใจอะไรมากขึ้นได้บ้าง เพราะถ้าดูแต่หนังเปล่าๆ เบลอๆ แบบข้าพเจ้า ก็คงไม่เก็ตอะไรเลยฉะนี้แล
แสงศตวรรษ เป็นหนังในโครงการ New Crowned Hope ของประเทศออสเตรีย เพื่อเฉลิมฉลองวันครบรอบ ๒๕๐ ปีของโมสาร์ต หนังในโครงการนี้ไม่ต้องถ่ายทอดประวัติชีวิตหรือใช้ดนตรีของโมสาร์ต แต่ท้าทายให้ ทดลองดูว่าจะถ่ายทอดวิญญาณของโมสาร์ตในงานของคุณได้อย่างไร ? เปรียบเทียบง่าย ๆ ก็คือ ถ้าเปลี่ยนโมสาร์ตเป็นสุนทรภู่ แทนที่จะถ่ายหนังเรื่อง นิราศเมืองแกลง คุณสามารถทำหนังเกี่ยวกับการเดินทางสุดขอบโลกก็ย่อมได้
อภิชาติพงศ์เลือกอุปรากร The Magic Flute ของโมสาร์ต ซึ่งมีธีมเกี่ยวกับการเฉลิมฉลองความมหัศจรรย์ของมนุษย์ มาเป็นแรงบันดาลใจในการทำหนังเรื่องนี้ สิ่งวิเศษสุดของมนุษย์ในสายตาของเขาก็คือ การเกิดมาอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งแน่นอนว่ามนุษย์คนหนึ่งเกิดจากพ่อและแม่
อภิชาติพงศ์ตั้งคำถามว่าช่วงเวลาก่อนที่พ่อและแม่จะมาเจอกัน พวกเขามีชีวิตอย่างไร ? ความรักก่อนหน้าเป็นอย่างไร ? นี่ไม่ใช่หนังชีวประวัติ เขาใช้ชีวิตของพ่อแม่มาเป็นจุดกำเนิดแรงบันดาลใจ แล้วพัฒนาไปสู่ไอเดียอื่น ๆ มันยังผสมไปด้วยความทรงจำวัยเด็กในโรงพยาบาล (ทั้งพ่อและแม่ของเขาเป็นแพทย์) ความทรงจำที่มีต่อขอนแก่น (บ้านเกิด) และทัศนคติต่อชีวิตในปัจจุบันที่กรุงเทพฯ
ผลลัพธ์ออกมาได้หนังเรื่องหนึ่งที่ถูกแบ่งเป็น ๒ ส่วน เป็นหนังที่ดูคล้ายภาพคอลลาจของหลากชีวิต ไม่มีเนื้อเรื่องอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่สิ่งโดดเด่นก็คือหนังครึ่งแรกเน้นที่คุณหมอผู้หญิง (หมอเตย) ครึ่งหลังเป็นหมอผู้ชาย (หมอหน่อง) ครึ่งแรกเป็นหนังตลก ครึ่งหลังมีกลิ่นไซ-ไฟ ครึ่งแรกเกิดในชนบท ครึ่งหลังเกิดในเมือง ครึ่งแรกดูคล้ายอดีต ครึ่งหลังคล้ายอนาคต
อย่างไรก็ดีทั้งครึ่งแรกและหลังไม่ได้เกิดในโลกแห่งความจริง มันเป็นเพียงพื้นที่แห่งจินตนาการที่ทุกสิ่งในข้างต้นมาปะทะสังสรรค์กัน
แสงศตวรรษยังมีความสัมพันธ์กับหนังเรื่องก่อน ๆ ของอภิชาติพงศ์ นั่นคือ ถ้า สัตว์ประหลาด คือความทุกข์ แสงศตวรรษ ก็คือความสุข ถ้า สัตว์ประหลาด คือความมืดมิด แสงศตวรรษ ก็คือความสว่างไสว
สัตว์ประหลาด เหมือนเมฆดำหมองหม่น ส่วน แสงศตวรรษ บางเบาล่องลอยราวกับหมอกจาง ๆ หรือแสงสว่างยามเช้า
อภิชาติพงศ์เป็นนักด้นสด นักทดลอง และนักสัญชาตญาณ การทำหนังโดยปรกติเริ่มจากการเขียนบทภาพยนตร์แล้วถ่ายทำทุกอย่างตามบท แต่อภิชาติพงศ์เขียนบทเพื่อเป็น เข็มทิศ เท่านั้น จากนั้นเมื่อ ปิ๊ง ในสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง สถานที่ถ่ายทำ บทสนทนาที่พูดกันเล่น ๆ ฯลฯ เขาจะปรับรื้อบทและถ่ายทำมัน ด้วยเหตุนี้หนังของอภิชาติพงศ์จึง สด อยู่เสมอ หลายประโยคที่ตัวละครพูดอาจเกิดจากการด้นสดของนักแสดงหรือมาจากชีวิตของนักแสดงเอง
สิ่งเหล่านี้เริ่มต้นตั้งแต่ ดอกฟ้าในมือมาร หนังขนาดยาวเรื่องแรก อภิชาติพงศ์กับทีมงานเดินทางท่องเหนือจรดใต้เพื่อถ่ายทำหนังสารคดี โดยให้ชาวบ้านในแต่ละพื้นที่ แต่งเรื่องต่อกันไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องมีตรรกะใด ๆ ต่อมาเขานำเรื่องที่ชาวบ้านแต่งนี้ไปถ่ายทำเป็นหนังอีกเรื่อง สุดท้ายก็นำหนังเรื่องแรก (สารคดี) และหนังเรื่องหลัง (เรื่องแต่ง) มาตัดต่อรวมกัน ผลลัพธ์กลายเป็นหนังประหลาดเรื่องหนึ่งของโลก
การด้นสดนี้ยังคงอยู่ในแสงศตวรรษ เขาเขียนบทขึ้นมาครึ่งเรื่อง จากนั้นเมื่อเจออะไรที่เข้ามาดลใจก็แก้บทและถ่ายทำไปเรื่อย ๆ เมื่อถ่ายไปได้ครึ่งเรื่องก็หยุดพักไปเขียนบทอีกครึ่งที่เหลือ การ รื้อสร้างใหม่ เกิดขึ้นในทุก ๆ ส่วนไปจนถึงห้องตัดต่อ ผลลัพธ์ที่ออกมาคือเขาได้หนังที่ห่างไกลจากบทดั้งเดิมอย่างยิ่ง แต่ไม่เห็นเป็นไร ทำไมเราต้องปล่อยให้สิ่งที่เราเขียนขึ้นมาในเวลาก่อนหน้า กลายเป็นกรอบจำกัดความคิดสร้างสรรค์ด้วยเล่า ?
Create Date : 15 เมษายน 2551 |
|
15 comments |
Last Update : 17 เมษายน 2551 10:02:05 น. |
Counter : 4708 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: พี่หมี (Bkkbear ) 15 เมษายน 2551 8:08:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: Fight_on 16 เมษายน 2551 12:32:11 น. |
|
|
|
| |
โดย: baconbkk IP: 58.8.86.251 16 เมษายน 2551 23:41:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: หมีบางกอก (Bkkbear ) 17 เมษายน 2551 2:10:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: ดอง IP: 119.42.64.20 17 เมษายน 2551 10:10:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: Nagano 19 เมษายน 2551 1:19:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: หมีบางกอก (Bkkbear ) 19 เมษายน 2551 7:15:25 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]
|
งานเขียนบทความ บทหนัง เรื่องสั้น และนวนิยายในบล็อกนี้สงวนลิขสิทธิ์โดย Bkkbear (หมีบางกอก) ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539 ห้ามมิให้ดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
|
|
|
|
|
|
|
แต่กระนั้นก็เถอะ... เวลากลับจากที่ทำงานเหนื่อยๆ อยากดูหนัง ก็อยากดูหนังมันๆ สนุกๆ ไม่อยากคิดมาก
ว่างจริงๆ ถึงจะเอามาดูกันที...
ไปหาเก็บไว้มาดูมั่งดีกว่า
ขอบคุณที่มาเล่าให้ฟังคร้าบบบบ