Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
4 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 
ขอสปอยล์แหลกด้วยคน Transformers 2 “หนัง Cult”?



ศึกแม่นาคยังไม่ทันซา..ศึกหุ่นยนต์ประกาศศักดาต่อเนื่อง

ย้ายจากห้องเฉลิมกรุงมาฟัดกันต่อที่เฉลิมไทย กลายเป็นตำนานสงคราม “คัลต์” ให้กระหน่ำกันต่อ

จากแค่รสนิยมชอบ..ไม่ชอบ กลายเป็นกองโจรขุดโคลนมาสาดกันให้เปรอะเปื้อนกันไปทั้งสองฝ่าย

เอาเถอะ...ถึงยังไง บรรดาสาวกหุ่นยนต์ (เช่นข้าพเจ้า) ต่างก็รอตอนต่อของทรานสฟอร์เมอร์อย่างใจจดใจจ่อมาข้ามปี

ขอให้ได้เข้าไปชมความตระการตาของ Visual Effect ของหุ่นขาประจำก็ปลื้มกันแระ เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง....

อย่าว่ากระไรเลย ไมเคิล เบย์ยังเวิร์คงานนี้ผ่านความเห็นของบรรดาสาวก Cult ทรานส์ฟอร์เมอร์อยู่ตลอดเวลา นึกถึงที่ท่านมุ้ยทำกับเพชรพระอุมาในห้องเฉลิมไทย ก็กลยุทธ์เดียวกันยังไงยังงั้น



แต่แรก..กะว่าขอชม IMAX สักหนึ่งเพลาเถิด หากมัวยงโย่ยงหยกอยู่นั่นแล้ว ที่ดีๆ โดนจองไปเรียบ จากประสบการณ์ที่เคยเวียนหัวมาแล้ว ก็มิอาจหาญจองที่ด้านล่างๆ ยอมกลับมาชมโรงดิจิทัลธรรมดาๆ จะได้ไม่เสียประสาทลูกกะตา ซึ่งก็คุ้มค่าอยู่ ความแจ่มความละเอียดของภาพทำให้แยกแยะความอีรุงตุงนังของฉากหุ่นยนต์ฟัดกันได้ง่ายขึ้นกว่าดูโรงฟิล์มธรรมดา

ดูแล้วก็ต้องยอมรับว่า CG ของ ILM นั้นก้าวหน้าในเชิงสุนทรียภาพได้ล้ำเกินคาดคิด ถึงรายละเอียดตัวหุ่นอันยิบยับมากมายจะสร้างความสับสนอยู่บ้าง แต่แอ็คชั่นและการสร้างสถานการณ์ฉากต่อสู้นั้นถือว่าเหนือชั้นแสดๆ สวิงมุมกล้องกันยิ่งกว่าถ่าย Live action สามารถเก็บสไตล์ของไมเคิล เบย์ที่เคยทำกับหนังดังๆ ของเขามาได้ครบ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์กราฟฟิกส์เดี๋ยวนี้มันก้าวไปเกินคาดคิด ชอบฉากออพติมัสฟาดฟันกับดิเซปติคอนในป่า โชว์ความยากได้อารมณ์ดีพิลึก

ซึ่งในฐานะคนทำหนังก็ยังต้องอ้าปากค้าง...เพราะการรวม Physical Effect ระเบิดตูมตามข้าวของแตกหักวินาศสันตะโร เข้ากับ Digital Effect ของตัวหุ่นยนต์ได้อย่างเนียนนั้น ต้องผ่านการทำการบ้านอย่างหนัก และต้องพัฒนาซอฟต์แวร์ในการทำงานไปด้วยพร้อมๆ กัน ฝรั่งมันดีตรงนี้แหละ เขายอมลงทุนพัฒนาในทุกด้าน ไม่ใช่แค่ครูพักลักจำแบบบ้านเรา ซึ่งผลตอบแทนที่ได้กลับมามันยิ่งกว่าเกินคุ้ม ทั้งในแง่สติปัญญา และการค้า



สิ่งที่สังเกตได้จากสไตล์การทำงานของสปีลเบิร์กในฐานะผู้อำนวยการสร้าง (ซึ่งมีอิทธิพลต่อผู้กำกับ) ยังคงไว้ครบถ้วน..นั่นคือ การคิดฉากโปรดไว้ล่วงหน้าเป็น Showcase ของหนังเลยก็ว่าได้ ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ผู้กำกับจะต้องร้อยมันเข้าด้วยกัน ถ้าทำแล้วลื่นก็เป็นบุญ แต่ถ้าผลเป็นตรงกันข้าม หนังอาจจะหัวทิ่มเอาได้ง่ายๆ ซึ่งภาคต่อของทรานสฟอร์เมอร์ดูจะเจอปัญหาเดียวกัน

ปัญหาของกระบวนการทำงานก็มีส่วน เนื่องจากทุกอย่างมี Deadline โดยเฉพาะกับหนังสตูดิโอระดับพระกาฬ จากคนเขียนบทที่มีถึงสามคน ถูกจับเข้าโรงแรมปิดตายให้พัฒนาบท (ด้วยค่าจ้าง 8 ล้านดอลล่าร์...กรี๊ดดดส) โครงร่างเสร็จทันก่อนการสไตรค์ของสหภาพนักเขียนบทอเมริกันอย่างเฉียดฉิว ที่เหลือเลยเป็นภาระของตาเบย์ ผู้กำกับที่จะต้องร่าง Treatment (เรื่องย่อเล่าแบบหนัง) ขึ้นมาเองเพื่อจำลองฉาก animatic ในการทำงานกับคอมพิวเตอร์กราฟฟิกส์ เพราะต้องใช้เวลาทำงานอีกมากมายในการสร้างโมเดลหุ่นยนต์และ animate การเคลื่อนไหว ซึ่งการทำงานระบบนี้อาจส่งผลให้หนังขาดเอกภาพได้ และก็ได้เห็นอยู่มากมายในทรานสฟอร์เมอร์ภาคนี้

วิธีเล่าเรื่องอาศัยความเขี้ยวของผู้กำกับโดยแท้ โดยการโปรยมุกฮาเชื่อมต่อกับแอ็คชั่นชนิดไม่ให้หายใจ แต่ก็ช่วยให้คนดูไม่ต้องมีเวลามาคิดหาเหตุผลของความต่อเนื่องแต่ละฉากมากนัก กระนั้น สัญชาตญาณคนดูหนังเป็นอาชีพ (อย่างเรา) ก็ยังรู้สึกแหม่งๆ กับการผูกเรื่องพ่อแม่พระเอกลากเข้ามาในเหตุการณ์ตะลุมบอนจนถึงจบ (โดยไร้ความจำเป็น) แล้วจังหวะการหนีของพระเอกในแต่ละซีนนั้น ดูกระท่อนกระแท่นขาดความสมจริงจนรู้สึกได้ ด้วยเหตุเพียงต้องการเก็บเหตุการณ์ฟาดฟันของหุ่นซึ่งมากมายแคแรคเตอร์ให้ครบถ้วน แหม ไหนๆ ก็อุตส่าห์ถ่ายเกือบตาย(ห่า) จะตัดทิ้งไปก็เสียดายอะนะ



ไหนยังจะฉากหลุดๆ เช่น หุ่นยนต์แปลงร่างเป็นนิสิตสาวตามมาปล้ำพระเอก (ภาคหน้าจะรวม X Men เข้ามาด้วยกันเลยดีมั้ย ..เหอๆ) หรือ Gimmick เจ้าหุ่นตัวน้อยฝ่ายดีเซปติคอนที่กลายพักตร์มาติดนางเอกแทน (อย่างลอยๆ) แถมด้วยแฝดหุ่นยนต์ปากมากที่ทำท่าจะโชว์ออฟซัดกับดีวาสเตเตอร์ได้สมน้ำสมเนื้อ แต่กลับหายไปเฉยๆ ไม่รู้ว่าลงเอยกันอีท่าไหน

โฮ้ย ทั้งตัวละครคน ทั้งตัวละครหุ่น ตามเก็บกันไม่หวาดไม่ไหวอะนะ ยังไม่รวมเรื่องราวที่ซับซ้อนซ่อนปมกันนัวของความเป็นมา Fallen (ที่บทจะตายก็ง่ายดาย) คนเขียนคงปวดเฮดไม่เบา (เพราะต้องตามใจ ผกก.) มิน่าถึงใช้เวลาร่วม 4 เดือนในการพัฒนาโครงเรื่อง ครั้นพอเล่าออกมาเป็นบทละเอียด ฉากแอ็คชั่นที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าก็ต้องเอามาเฉลี่ยให้ได้น้ำหนักอีก Continuity ในช่วงการต่อเหตุการณ์เลยทะลุ่มๆ อยู่พิกล เดี๋ยวหุ่นแปลงกายในคราบรถจีเอ็มต้องวิ่งไปโน่นทีนี่ที จนจังหวะมันยืดๆ ไม่สมเหตุสมผล

ใครว่าหนังแอ๊คชั่นทำง่าย?...มาดูเรื่องนี้แล้วจะ get ทันที แอ็คชั่นที่ขาดแรงจูงใจ (Motivation) ย่อมทำให้น้ำหนักความสนุกสนาน การลุ้นเอาใจช่วยของคนดูต้องด้อยถอยลงอย่างน่าเสียดาย



ออกจะเห็นใจไมเคิล เบย์ที่ต้องแบกความคาดหวังมากมายของทั้งนายทุน และบรรดาแฟน “คัลต์”ของเขา เพราะไหนจะต้องเล่นเกมส์กะนายทุน กับสปีลเบิร์ก กับแฟนพันธุ์แท้ กับมาร์เก็ตติ้ง? มิน่า เจมส์ คาเมรอน ถึงหยุดทำหนังไปเป็นสิบปี เพราะต้องผจญภัยเรื่องพรรค์นี้จาก “ไททานิค” จนกรอบเป็นข้าวเกรียบ (มโนราห์) กำลังรอดูหนังใหม่ “อวตาร” (Avatar) ของเขาอยู่นี่แหละ เห็นคุยนักคุยหนาว่าเป็นการเปลี่ยนโฉมเทคโนโลยีการนำเสนอของโลกภาพยนตร์ประจำสหัสวรรษเลยทีเดียว

แต่กระนั้น ข้าพเจ้าก็ต้องยอมรับว่าความตื่นตาในฉากโชว์ของทรานสฟอร์เมอร์ภาคนี้เหนือชั้นกว่าภาคแรกอยู่หลายขุม สมกับเวลา 2 ปีที่ผ่านไป ความยากของการวางไลน์แอ็คชั่นมีให้เห็นอยู่ตลอด กล้องไม่เคยอยู่นิ่ง หมุนวนเห็นทุกมุมเพื่อโชว์ความยากในการถ่ายทำ (และ CG) อย่างจะจะ เรียกว่าขุดเทคโนโลยีมาใช้กันเกินคุ้ม (ถึงแม้ฉากตาแซมวิ่งทะเล่อทะล่าพาแมททริกซ์มาให้ออฟติมัส ออกจะยืดเยื้อแสนยาวเยิ่นเย้อจนนึกไม่ออกว่ารอดมาได้ไง..ก็เหอะ)

ในฐานะสาวก Cult ของ Transformers ข้าพเจ้าขอถวายบังคมด้วยใจจริงมิได้สตอแต่ประการใด ว่าข้าพเจ้ายังคงจะติดหนึบเหนียวแน่นรอดูภาคต่อไป (แบบเอาใจช่วย) อย่างไม่สร่างซา ขอเพียงเลิกตามใจสปิลเบิร์ก แล้วกลับมาเล่นกับความเข้มข้นของบทหนังแทน Gimmick ฮากระจายตามสไตล์เบย์จ๋า แค่นี้ก็เหลือจะพอ....



Create Date : 04 กรกฎาคม 2552
Last Update : 4 กรกฎาคม 2552 12:05:37 น. 13 comments
Counter : 1664 Pageviews.

 
ตอนยังไม่มีแฟน
ผมอ่านหนังสือเกินเดือนละ 50 เล่ม
ดูหนังประมาณ เดือนละ 15 เรื่อง

ตอนนี้หนังสือลดลงเหลือเดือนละ 15-30 เล่ม
ส่วนหนัง
ไมไ่ด้ดูเลยครับ 5555



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:40:24 น.  

 
อ๊ากกส..สงสัยอ่านเร็วประมาณพระเอกทรานสฟอร์เมอร์ตอนเจอพลังออลสปาร์กส


โดย: พี่หมี (Bkkbear ) วันที่: 4 กรกฎาคม 2552 เวลา:15:42:23 น.  

 
หนังห่วย


โดย: gvd IP: 202.29.109.51 วันที่: 4 กรกฎาคม 2552 เวลา:16:57:31 น.  

 
ยังไม่ได้ดู เคยคิดจะไปดูแต่เปลี่ยนใจ

เมื่อวานไปดูนางไม้ ง่วงมาก


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 4 กรกฎาคม 2552 เวลา:19:29:27 น.  

 


มาแจ้งข่าวว่า อัพบล็อกแล้วครับ

วันนี้เสนอตอน "สัญจรตะลอนไพร"

อยู่ป่าทั้งที จะไปไหนมาไหนก็ต้องเดินสถานเดียว

แต่ละคนจะต้องเตรียมอะไรติดตัวไปบ้าง

คงต้องลองเข้าไปอ่านเสียแล้วครับ....




โดย: ลุงแว่น วันที่: 4 กรกฎาคม 2552 เวลา:21:45:45 น.  

 
ยังไม่ได้ดูเลยครับ และคงไม่ดู เพราะภาคแรกปวดหัวมากกกก


โดย: merveillesxx วันที่: 5 กรกฎาคม 2552 เวลา:3:14:14 น.  

 
น้องดอง..เจอนางไม้ยั่วยวนจนหลับไปเลยเรอะ พี่เดาได้เลยว่าหนังจะออกมาเป็นยังไง คงเอ๋อและเซอร์สนิทเหมือนเคย เราเลิกเชื่อทฤษฎีหนังอาร์ตแบบนี้มานานแร้ว.. มัน Subjective เกินเหตุจนไม่สื่อสารกับใคร ไม่มีความจำเป็นต้องทำหนังรู้เรื่องคนเดียวแล้วบอกว่านี่แหละ ศิลปะ

เราว่ามันเป็นเทรนด์ของเทศกาลหนังที่ยังขายได้อยู่ต่างหาก ถึงยังไงก็มี ผกก.อีกมากมายที่ทำหนังรางวัลแต่ยังดูรู้เรื่อง แต่เอาเหอะ..ยังไงก็ขอไปดูให้แจ้งสักครั้ง

สหายแว่นคับ..จะตามไปสัญจรเร็วๆ นี้แหละคับ

น้องเมอร์..ดูไว้ก็ไม่เสียหลายดอก อย่างน้อยก็ตามทันเทคโนโลยีของวงการ อารายกาน..เป็นเด็กเป็นเล็กริอ่านปวดหัวกะหนังแอ็คชั่น


โดย: หมีบางกอก (Bkkbear ) วันที่: 5 กรกฎาคม 2552 เวลา:7:46:12 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับพี่หมี










โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:14:37 น.  

 


โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 กรกฎาคม 2552 เวลา:19:03:30 น.  

 
แหะๆ

ช่วงแรกๆ ก็น่าติดตามดีอะครับ

แต่ครึ่งหลัง ผมหลับอะครับพี่

คือเริ่มชินกับ special effect แล้ว ไม่ตื่นตาตื่นใจอีกแล้ว

แถมเนื้อเรื่องก็ไม่มีอะไรคืบหน้าไปจากตอนต้นเลย

และอีกอย่าง เวลาหุ่นยนต์มันนัวเนียกัน

ผมแยกไม่ออกว่า ไอ้ที่กะลังเพ่งอยู่หนะ เป็นของตัวไหน เอิ๊กๆ

เอาเ้ป็นว่า ผมชอบภาคแรกมาก

ทำให้คาดหวังจากภาคนี้มากไปหน่อย

หวังมาก ก็ผิดหวังแรงอย่างนี้แหละครับ


โดย: Fight_on วันที่: 5 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:39:05 น.  

 
สวัสดีวันใหม่เช่นกัน น้องก๋า..

น้องเท่คับ พี่กลับไม่ค่อยชอบภาคแรกเท่าไร โดยเฉพาะตอนจะจบ ปัญหาของหนังพวกนี้มักจะคล้ายๆ กัน คือ การปูพื้นมักจะทำได้ดี ผูกปมให้ชวนติดตาม แต่ตอนคลายปมและจะต้องขมวดให้เข้มข้นนั้น มักกลับมาตายน้ำตื้น

อย่างว่า..ถ้าไม่ใช่ "สาวก" คัลต์มาก่อน ในความยาวของหนังขนาดนี้อาจทำให้สมาธิล่องลอยสู่สรวงสวรรค์ได้เช่นนี้แล...


โดย: พี่หมี (Bkkbear ) วันที่: 6 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:33:54 น.  

 
ผมเดาว่าตลอดระยะเวลาสี่เดือนในโรงแรม นักเขียนทั้งสามคงหมกตัวอยู่ในห้องอย่างสุขกายสบายใจสุดๆ (อาจโทรสั่งรูมเซอร์วิสกับคอลเกิร์ล จนสายพันกันมั่วไปหมด) ซึ่งผลก็ทำให้มีบทภาพยนตร์เรื่องก็เหมือนไม่มีก็เป็นได้นะ...

แต่มันอาจจะเป็นหนัง cult อย่างที่คุณหมีกรุงเทพได้ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ หรือมันอาจจะเป็นหนัง art อย่างที่นักวิจารณ์คนหนึ่งเค้าบอกเอาไว้ (ซึ่งผมก็หน้าด้านไป copy & paste มาอีกที)
v
v
I really think ROTF approaches "art movie" status — the movie's id overload reaches such crazy levels that the fabric of reality itself starts to break down. It will destabilize your limbic system, probably forever, and make you doubt the solidity of your surroundings.


โดย: BdMd IP: 124.120.67.12 วันที่: 7 กรกฎาคม 2552 เวลา:15:09:52 น.  

 
เอ่อ เล่นเอาต้องคลำกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ..

คงเป็นเรื่องของนักวิจารณ์ปากจัดคนนึงแหละคับ...

แต่เราไม่ได้เสียดสีใครน้า...


โดย: หมีบางกอก (Bkkbear ) วันที่: 8 กรกฎาคม 2552 เวลา:0:41:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Bkkbear
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




งานเขียนบทความ บทหนัง เรื่องสั้น และนวนิยายในบล็อกนี้สงวนลิขสิทธิ์โดย Bkkbear (หมีบางกอก) ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539 ห้ามมิให้ดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

Friends' blogs
[Add Bkkbear's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.