เมื่อหมอบอกว่า ฉันเป็นมะเร็ง
ห่างหายจากการเขียนบล็อกไปไม่รู้กี่ปี เพราะไม่มีวัตุดิบจะเขียน ไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไร ยังไง ตั้งแต่มีเฟส ก็แทบจะเลิกเขียนบล็อกไปเลย
วันนี้ขอพื้นที่ของตัวเองในการเขียนเรื่องราวของตัวเองที่ห่างหายไปนาน ไม่คิดว่าวันนึงจะต้องกลับมาเขียน แต่ไม่ได้เขียนด้วยความสุข แต่เป็นความทุกข์ที่เกิดจากสุขภาพของตัวเอง
ไม่คิดว่าวันนึง มะเร็งโรคที่ใครได้ยินก็กลัวนักกลัวหนาจะมาเกิดกับตัวเอง ย้อนไปเมื่อวัน 21 พ.ย.57 ที่ผ่านมานี้ เป็นบทสรุปว่า ฉันเป็นมะเร็งเต้านมระยะที่ 2 หมอบอกกับฉันตั้งแต่นัดฟังผลเมมโมแกรมและอัลตร้าซาวน์แล้วเมื่อวันที่ 7 พ.ย.57 ว่าฉันมีโอกาสเป็นมะเร็ง คำว่ามีโอกาสของหมอ ฉันคิดว่านั่นคือคำตอบแล้ว แต่เพื่อให้แน่ใจอีกที หมอเลยให้ไปเจาะชิ้นเนื้อตรวจเป็นครั้งสุดท้าย ตั้งแต่วันที่หมอบอกว่ามีโอกาสเป็น ฉันก็อึ้งไปพักใหญ่ และไม่พูดอะไรเลย ไม่มีแม้แต่น้ำตาจะไหล นั่งรอเอกสารเพื่อที่จะไปเจาะชิ้นเนื้ออยู่ราว ครึ่งชั่วโมง ฉันก็ยังอยู่ในอิริยาบทเดิม คือนิ่งมาก ฉันคิดว่าตอนนั้น ฉันยังมีสติอยู่มาก อาจจะเป็นเพราะด้วยวัย 50 ปี ของฉันที่อีกไม่กี่วันจะเต็ม 50 ปีบริบูรณ์ในวันที่ 24 พ.ย. อาจจะด้วยความที่ฉันผ่านการสูญเสียมามากพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนตกต่ำ เรื่องความรักที่ไม่สมหวัง สมัยนั้นเวลาฉันเสียใจ จะแทบสติแตก คิดสั้น หมกตัวอยู่แต่ในห้องเป็นอาทิตย์ ข้าวปลาไม่กิน อยู่เงียบๆคนเดียว ความคิดวนเวียนซ้ำๆซากๆ มาจนกระทั่งสิ่งที่ทำให้เสียใจที่สุดในชีวิตคือ แม่และพ่อเสีย นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดว่า เป็นการเสียใจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของฉันแล้ว ร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือดเป็นอย่างไร ฉันเข้าใจความหมายดีในวันที่พ่อและแม่เสีย หลังจากนั้นมาฉันรู้สึกว่าฉันกลายเป็นคนเข้มแข็ง ไม่ค่อยเสียใจอะไรง่ายๆ เหมือนน้ำตาไม่มีจะไหล ขอบคุณในวันนั้นที่ทำให้ฉันแกร่งในวันนี้
คืนนั้นฉันนอนหลับๆตื่นๆ แค่น้ำตาซึมๆ แว่บนึงที่คิดถึงพ่อที่จากไปด้วยโรคมะเร็งปอดเมื่อ 4 ปีก่อน และลูกชายวัย 7 ขวบ ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายอะไรเกี่ยวกับโรคมะเร็ง พอตื่นเช้าขึ้นมาฉันคิดว่า ฉันจะมามัวเสียน้ำตาไม่ได้ น้ำตาไม่ได้ช่วยอะไร สิ่งที่ฉันต้องทำเวลานี้คือลุกขึ้นสู้กับมัน ลูกฉันยังเล็กวัย 7 ขวบ ยังต้องการแม่อย่างฉันอยู่ ฉันเคยสัญญาไว้กับพ่อก่อนจะเสียว่า ฉันจะดูแลลูก หลานของพ่อให้ดีที่สุด ฉันจะมาตายได้อย่างไร และฉันต้องก้าวข้ามผ่านความกลัวนี้ไปให้ได้ ขอสู้จนถึงที่สุดก่อน อย่างมากก็แค่ตาย ถ้าดวงเราจะหมดอายุขัยจริงๆก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกรรม มันรู้สึกปลงได้อย่างประหลาด ทั้งๆที่ฉันห่างวัดห่างวามาก เช้ารุ่งขึ้นฉันตรงดิ่งไปหาอาหารด้านชีวจิต หาน้ำอาร์ซีมาต้มดื่มกิน อย่างที่พ่อเคยทำ และอยากปฏิบัติตัวทุกอย่างตามรอยพ่อ พ่อไม่เคยกลัวกับโรคมะเร็งเลย
วันนี้ฉันได้รับการผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว รอพบหมอตามนัดเพื่อคุยเรื่องการรักษาต่อไป ในอาทิตย์หน้า อ้อ จะว่าไป ฉันคิดว่า การที่ฉันได้รับการผ่าตัดได้รวดเร็วจนฉันตั้งตัวแทบไม่ทันในครั้งนี้มาจากลูกแท้ๆ ถ้าลูกไม่ป่วย แอดมิทเข้าร.พ.ก็คงไม่เจอกับพยาบาล คุณหน่อย ที่ร.พ.เมโย ในวันนั้น แปลกมากที่ดูทุกอย่างประจวบเหมาะกันไปหมด แปงแปงป่วยแอดมิทเข้าร.พ. จนวันจะออกจากร.พ.พยาบาลคือคุณหน่อย ได้เข้ามาถอดสายน้ำเกลือให้แปงแปง และได้แนะนำเรื่องการเลี้ยงดูแลเด็กจนถูกคอ คุยไปคุยมาแฟนฉันถามว่า พอจะแนะนำได้มั้ยว่าที่ไหนเก่งเรื่องมะเร็งเต้านม พยาบาลบอกว่า ถ้าเต้านมต้องไปที่ ร.พ.จุฬาภรณ์ หรืออีกที่คือ ร.พ.จุฬาลงกรณ์ ถามไปถามมาจนแฟนบอกว่า เนี่ย แม่แปงแปงเป็น พยาบาลบอกอ้าว งั้นแม่รีบไปเลย ที่ร.พ.จุฬาภรณ์ก็ได้ แต่ไม่มีใครรู้จักเลย จนพยาบาลตัดสินใจติดต่อที่ร.พ.จุฬาให้พอจะรู้จักเจ้าหน้าที่อยู่บ้าง และนัดฉันให้ไปพบหมอในอีก 3 วันถัดไป จนกระทั่งได้พบคุณหมอ จนคุณหมอตรวจอะไรเสร็จเรียบร้อยคุยกัน ถามฉันว่า ฉันพร้อมสำหรับการผ่าตัดเมื่อไหร่ ฉันบอกเร็วที่สุด คุณหมอบอก งั้นเป็นพรุ่งนี้เลย
คือทุกอย่างดูมันลงตัว ทางโล่งสะดวกไปหมดเลย ให้เจ้าหน้าที่เช็ค มีเตียงว่างพอดีอีก สรุปว่าวันที่ฉันมาพบคุณหมอ ฉันก็เลยได้แอดมิทไปนอนรอผ่าตัดในวันรุ่งขึ้นเลย ทุกอย่างรวดเร็วกว่าที่คิด ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เหมือนโชคชะตาทำให้มามีเรื่องในเวลาที่พอดีกัน
นับจากนี้ไปฉันต้องเข้มแข็งอย่างมากกับการทำเคมีบำบัด ขอความเข้มแข็งให้ได้ครึ่งของพ่อฉันก็พอ
Create Date : 04 ธันวาคม 2557 |
|
25 comments |
Last Update : 4 ธันวาคม 2557 15:23:11 น. |
Counter : 1700 Pageviews. |
|
|
|
อย่าลืมนะคะ กำลังใจ อยู่กับตัวเรา นะคะ ^o^
สวดมนต์ นะคะ จะ ทำให้ เรา รู้สึกดี ค่ะ ^^