เตรียมตัวเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ
จากบล็อกที่แล้วที่ได้บอกเล่าอาการป่วยเป็นมะเร็งของคุณพ่ออีกครั้ง หลังจากที่ได้พบคุณหมอด้านมะเร็งวิทยาโดยตรง คุณหมอได้สอบถามอาการของคุณพ่อว่า มาหาครั้งล่าสุด เมื่อ 3 ปีที่แล้ว มีอาการผิดปกติอย่างไรบ้าง เพราะคุณพ่อไม่ได้มาตรวจร่างกายครั้งใหญ่ตามหมอนัดเป็นประจำทุกปี คุณพ่อไปรักษาโรคความดันโลหิตสูงที่ร.พ.ประสาทอีกที่หนึ่ง และได้ไปบอกคุณหมอที่ร.พ.ประสาทให้ช่วยเช็คร่างกายให้ด้วย จะได้ไม่ต้องไป 2 แห่ง คุณหมอทางร.พ.ประสาทก็ตรวจสุขภาพให้ ซึ่งผลก็ปกติดี ไม่มีอะไร แต่ไม่แน่ใจว่าตรวจลึกลงไปเหมือนที่ทางแผนกมะเร็งวิทยานัดตรวจหรือไม่ ซึ่งก็อาจจะเป็นความประมาทด้วยที่ไม่ได้ไปตรวจเช็คร่างกายตามที่คุณหมอนัดทุกปี ซึ่งจากการได้บอกเล่าอาการให้คุณหมอฟัง ก็เริ่มมีความผิดปกติตั้งแต่เดือนเมษายนปี 52 ต้นปีนี่เอง เริ่มจากเวียนหัวบ่อยๆ ไปพบแพทย์ที่ร.พ.ประสาท ก็บอกว่าอาจจะมาจากหูชั้นในหรือชั้นกลางไม่แน่ใจผิดปกติ ให้ยามาทานก็ไม่ดีขึ้น ก็เลยเปลี่ยนมาพบคุณหมอที่ร.พ.พระมงกุฎ ก็ได้ตรวจเช็คอีกครั้งก็ยังบอกว่าเป็นที่หูเหมือนเดิม แต่ให้ยามาทานก็ยังไม่หาย จนเริ่มมีอาการอย่างอื่นตามมา อาการที่คุณหมอตั้งข้อสังเกตุว่าอาจจะเป็นมะเร็งที่แพร่กระจายที่ปอด ตับ สมอง และไขกระดูก คุณหมอได้สั่งให้เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ทั้งหมด ยกเว้นที่ตับ เมื่ออาทิตย์ก่อน คุณหมอกังวลว่าจะลุกลามไปที่สมอง เพราะคุณพ่อเริ่มมีอาการพูดไม่ค่อยชัด ลิ้นแข็ง ซึ่งเป็นอาการล่าสุด หลังจากนั้น 1 อาทิตย์คุณหมอนัดฟังผล ซึ่งก็เป็นวันจันทร์ที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมานี่เอง ผลเอ็กซเรย์คุณหมอบอกดีใจด้วย ไม่ได้เป็นมะเร็งที่สมองและที่ปอด พวกเราดีใจกันมาก แต่พบความปกติที่ไขกระดูกซึ่งคุณหมอบอกว่า หมอยังไม่พบความผิดปกติอะไร แต่รายงานผลว่าผิดปกติ แต่วันนั้นคุณหมอมีคนไข้เยอะมากๆ ได้ตรวจตอนนั้นก็เป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว คุณหมอขอเบรคไปทานอาหารได้ซัก 10 นาที มาตรวจคนไข้ได้ไม่กี่คน มาตรวจคุณพ่อเป็นคนสุดท้าย ก่อนที่คุณหมอจะเบรคไปสอนหนังสืออีก 1 ช.ม. ตอนนั้นพวกเรารู้สึกโล่งที่ไม่ต้องรอไปอีก 1 ชั่วโมง ซึ่งโดนคนไข้อีกคนแซงตัดหน้าไปอีก ทั้งๆที่เรียกหลังคุณพ่อ แล้ววางแฟ้มประวัติจองเก้าอี้ตัดหน้าที่นั่งเรา แล้วก็ไปหยิบกระเช้าผลไม้มาให้คุณหมอแซงตัดหน้าเราไป ตอนนั้นจขบ.ไม่ทราบ แต่น้องสาวมาเล่าให้ฟังภายหลังจากที่เค้าเข้าไปพบคุณหมอนานมากๆ เกือบครึ่งช.ม.ได้ เล่นเอาหงุดหงิดเลยเพราะคุณพ่อก็ยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงทั้งที่เลยไปเกือบจะบ่ายโมงแล้ว ตอนเช้าก็ดื่มนมมากล่องเดียวเท่านั้น ยังนึกหงุดหงิดพยาบาลเลยที่ไม่เรียงลำดับคนไข้อย่างเคร่งครัด จขบ.เองก็ตรวจโรคภูมิแพ้ที่ร.พ.นี้เหมือนกัน แต่แผนกนั้นเค้าจะเรียกคนไข้มาและวางแฟ้มประวัติเรียงลำดับไว้ให้เลย (อันนี้ขอบ่นยาวหน่อยค่ะ กับบริการของร.พ.รัฐบาล ซึ่งจขบ.จะเกลียดคนที่ไม่มีระเบียบวินัยเอามากๆ) สรุปแล้วหลังจากคนไข้ทีแซงหน้าเราไปตรวจออกมาแล้ว คุณหมอเหลือเวลาไม่มากค่ะ และมีแพทย์จบใหม่มาปรึกษาคุณหมออีก 2 คน พอปรึกษาเสร็จคุณหมอ มาตรวจคุณพ่อไม่ถึง 10 นาทีหรืออาจจะไม่ถึง 5 นาทีเลยด้วยซ้ำ แบบตรวจรีบๆ เพราะต้องรีบไปสอนหนังสือ เราก็เลยไม่ได้รับความกระจ่างมากนัก และก็ยังคาใจผลเอ็กซเรย์ที่ปอดด้วย เพราะหมอที่เอกชนทักมาว่ามีฝ้าที่ปอด แต่เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์บอกไม่มีอะไร เราไม่อยากให้เหมือนเมื่อหลายปีก่อนที่ เอ็กซเรย์เจอก้อนที่ตับซึ่งตอนนั้นคุณหมอบอกเป็นน้ำ แต่นิ่งๆอยู่กับที่ยังไม่มีอาการอะไร และยังบอกไม่ได้ว่าเป็นอะไรก็เลยยังไม่ได้รักษาในตอนนั้น ซึ่งเราก็คิดเอาเองว่า ก้อนน้ำนั้นมันกลายมาเป็นมะเร็งในตอนนี้ค่ะ ส่วนที่ไขกระดูกคุณหมอก็ไม่ได้ว่าอะไรอีกเหมือนกัน แต่คุณหมอได้สั่งให้เจาะชิ้นเนื้อที่ตับไปตรวจ แล้วค่อยมาคุยกันอีกทีค่ะ ไอ้ที่เราเตรียมยิงคำถามก็เลยอ้าปากค้างอยู่แค่นั้น คุณหมอก็ดูนาฬิกาแล้วก็ลุกเดินออกจากห้องไปเลยค่ะ เล่นเอาเราพูดไม่ออกค่ะ
หลังจากนั้นก็ได้ไปแผนกรังสี เพื่อนัดเจาะตรวจชิ้นเนื้อค่ะ ซึ่งต้องมานอนที่ ร.พ.ก่อน 1 คืน นัดเจาะในวันจันทร์ที่ 5 ต.ค.นี้ ทางแผนกรังสีบอกว่า เป็นก้อนเนื้อแค่ 2 ซ.ม.เอง คนอื่นเค้าตั้ง 10 ซ.ม. เหมือนจะปลอบใจเราค่ะ แต่อย่างไร เราก็วางใจไม่ได้อยู่ดีกับโรคร้ายนี้ ซึ่งจนท.คนนี้อธิบายดีมากๆในการรักษา ประทับใจค่ะ ตอนนั้นเราก็เริ่มยิ้มได้เมื่อมาเจอจนท.ดีๆ ก็ทำใจว่า มันก็ต้องเจอทั้งดีและไม่ดีปะปนกันไป
ช่วงนี้เองจขบ.ก็ป่วยเป็นหวัดด้วยค่ะ และมีอาการหอบหืดด้วย ไม่ได้เป็นมาหลายปีแล้ว อาจจะโดนฝน ไม่ก็ติดจากน้องแปงแปงมาค่ะ น้องแปงแปงมีน้ำมูกมาได้ 3 อาทิตย์แล้ว ทานยาลดน้ำมูกก็ไม่หาย ค่อนข้างจะดื้อยาเหมือนกัน เพิ่งพาไปหาคุณหมอได้ยาฆ่าเชื้อเพิ่มมาทานอีกตัว แต่ยังมีไออยู่บ้าง เลยค่อนข้างจะเหนื่อยๆอยู่เหมือนกันช่วงนี้
ช่วงนี้คงจะมาอัพเดทเรื่องอาการป่วยของคุณพ่อแทนการอัพเรื่องไดเอทของตัวเองค่ะ ซึ่งตอนนี้น้ำหนักเหมือนจะนิ่งๆค่ะ อยู่แถว 59-60 กว่าๆ ก็เลยคิดว่า รักษาน้ำหนักให้ได้ระดับนี้ไปก่อนค่ะ ยังไม่ได้คิดจะสู้ต่ออะไร เพราะต้องสู้กับโรคร้ายของคุณพ่อซึ่งสำคัญที่สุดก่อนค่ะ ตอนนี้ก็ต้องกลับไปศึกษาทางชีวจิตอีกครั้งค่ะ ได้ไปซื้อหนังสือมาอ่านเพิ่มเติมค่ะ แต่รู้สึกไม่ประทับใจ จนท.ประชาสัมพันธ์รึเปล่าไม่ทราบของนิตยสารชีวจิตเลยค่ะ เราก็โทรไปปรึกษา เรื่องการทำน้ำอาร์ซี หรือบำบัดด้วยแนวทางชีวจิต ปรากฎว่า จนท.ย้อนถามมาว่า คุณเข้าใจคำว่าชีวจิตดีแล้วหรือยัง ถ้ายังให้ไปซื้อหนังสือ สุขภาพดี ราคาถูก ด้วยชีวจิตมาอ่านก่อน ถ้าสงสัยแล้วค่อยโทรมาถาม จบข่าวเลยค่ะ ไอ้เรารึหวังเค้าเป็นที่พึ่ง บอกอาการคุณพ่อด้วยว่าเป็นมะเร็งระยะแพร่กระจาย เค้าบอกให้ไปซื้อหนังสืออ่าน พอเราถามมีคอร์สเทรนโดยเฉพาะโรคมะเร็งมั้ย เค้าบอกว่าให้ไปดูโฆษณาให้หนังสือชีวจิตเอา เป็นคอร์สรวมไม่จำเป็นต้องเป็นโรคมะเร็ง สรุปแล้ววันนั้นคือ ต้องไปหาอ่านเอาเองค่ะ ประทับใจจ๊อดจริงๆเลย ไม่น่ามาอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์เลยค่ะ บอกตรงๆ
สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณกำลังใจทุกกำลังใจจากเพื่อนๆน้องๆชาวบล็อกแกงค์ ที่ส่งกำลังใจมาให้มากมายค่ะอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะได้รับในโลกไซเบอร์แห่งนี้เลยค่ะ จะพยายามสู้เพื่อให้พ่อหายจากโรคร้ายนี้ให้ได้ค่ะ
Create Date : 29 กันยายน 2552 |
|
101 comments |
Last Update : 2 ตุลาคม 2552 15:32:52 น. |
Counter : 1347 Pageviews. |
|
|
|
หนี่ฯ ขอเป็นกำลังใจให้พี่แป๋วนะคะ สู้ ๆ ค่ะ
และขออวยพรให้คุณพ่อพี่แป๋ว
เข้มแข็ง หายป่วยในเร็ววันค่ะ