... ^^ Welcome to suvilajamsai's world ^^...
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
9 พฤศจิกายน 2550
 
All Blogs
 
Chapter 5

เสียงคลื่นที่ซัดสาดเข้ามากระทบผืนทรายที่ชายฝั่งผสมกับเสียงหวีดหวิวของลมทะเลทำให้หญิงสาวที่กำลังนั่งหลับสบายขยับตัวไปมา ร่างบางยืดแขนไปด้านหน้า บิดขี้เกียจทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่

…นี่เธอผล็อยหลับไปจนไม่รู้ตัวเลยว่ามาถึงทะเลตั้งแต่เมื่อไร

วิรินดาค่อยๆ เผยอเปลือกตาขึ้นช้าๆ มือน้อยๆ ถูกยกขึ้นมาขยี้ดวงตากลมๆ ให้หายพร่ามัว และภาพที่อยู่เบื้องหน้าก็ทำให้เธอตื่นขึ้นเต็มตา รีบถอดเข็มขัดนิรภัย เปิดประตูรถอย่างลุกลน

เขากำลังจะฆ่าตัวตาย!

“เดี๋ยวค่ะคุณ”

หญิงสาวร้องเสียงหลงเมื่อร่างสูงของบุคคลที่เธอเดินทางมาด้วยกำลังมุ่งหน้าสู่ท้องทะเลที่มืดมิดราวกับพร้อมที่จะดูดกลืนทุกอย่างให้หายวับไปกับสายน้ำ มือบางรีบรั้งข้อมือหนาเอาไว้

“อย่าเพิ่งคิดสั้นอย่างนั้นสิคะ ใจเย็นๆ ค่ะ ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้นะคะ ฉันว่า…”

หากสายตาของ ’คนคิดสั้น’ ที่จ้องกลับมองมาเหมือนกับว่าเธอเป็นบ้าไปแล้วทำให้หญิงสาวชะงักริมฝีปากทันควัน เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแหยๆ พร้อมกับค่อยๆ ชักมือออกจากข้อมือของเขาแล้วเก็บไปซ่อนไว้ด้านหลังให้รู้ว่าเธอไม่ได้มีเจตนาที่จะหลอกแต๊ะอั๋งเขาเลยสักกะติ๊ดดดด เมื่อกี้มือใครที่ไหนก็ไม่รู้…

“บ้าไปแล้วหรือคุณ ใครจะฆ่าตัวตายกัน ผมแค่จอดรถเพราะอยากแวะเดินมาดูทะเลใกล้ๆ …ใครจะนึกว่าคุณจะตื่นขึ้นมาแล้วคิดอะไรบ้าๆ แบบนี้”

อ้าว! จะไปรู้เหรอ ก็เรื่องมันมีมูลนี่นา วิรินดาเถียงในใจ โธ่เอ๊ย…ใครที่ได้พบผู้ชายคนหนึ่งในสภาพกินเหล้าเมามายไม่ได้สติ แถมยังละเมอร้องไห้…โอเค ไม่ได้ร้อง แค่น้ำตาซึมนิดหน่อย แล้ววันต่อมาก็มีพฤติกรรมแปลกๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ เป็นต้นว่า ยึดรถและลักพาตัวคนอื่นมาทะเลดื้อๆ แถมระหว่างทางยังเผลอเหยียบคันเร่งจนมิดเหมือนไม่เสียดายชีวิต มาเดินดุ่มๆ เข้าหาทะเลแล้วไม่คิดอย่างเธอบ้างก็ให้มันรู้ไป!

“ว่าแต่ตอนนี้เราอยู่ที่ไหนคะ”

“แล้วคุณเห็นอย่างอื่นนอกจากทะเลหรือไง”

กรอด… รู้งี้ตอนตื่นขึ้นมารีบชิงขับรถกลับบ้านเสียก็ดีหรอก เสียดายที่ไม่ทันคิดก่อนหน้านี้!

สีหน้าขุ่นเคืองของผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ กับสายตาที่เมียงมองไปยังรถยนต์คันเล็กทำให้ภัทรวรรธน์ลอบยิ้ม นึกรู้เลยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่จึงรีบดักคอ

“ถ้าคุณคิดจะยึดรถคืนล่ะก็เลิกคิดได้เลย กุญแจอยู่กับผม”

เพื่อเป็นการประกอบคำอธิบาย มือใหญ่ล้วงกุญแจรถขึ้นจากกระเป๋ากางเกงแล้วชูขึ้นแกว่งไปมาตรงหน้าอย่างตั้งใจจะยั่วคนตัวเล็กกว่า ซึ่งเขาคิดผิดที่คิดว่าเธอคงไม่กล้าเข้าชิงมันคืน เพราะพริบตาเดียวร่างบางก็กระโจนเข้ามาใส่เขาโดยหมายว่าจะหยุดอยู่แค่ตรงหน้า แต่หญิงสาวลืมนึกไปว่าพื้นทรายมันทั้งนุ่มและยวบยาบทำให้การทรงตัวไม่ค่อยดีนัก ผลคือเธอเสียหลักล้มคะมำก่อนที่มือน้อยๆ จะสัมผัสกับกุญแจที่อยู่ในมือเขาเพียงนิดเดียว

…เท่ากับว่าเธอล้มลงไปกองอยู่บนตัวเขาเต็มตัวเลยนั่นล่ะ

“อูย…”

วิรินดาครางขณะนอนนิ่งอยู่บนพื้นผิวอุ่นๆ ที่สะท้อนขึ้นลงเป็นจังหวะ แรงกระแทกทำให้เจ็บจนลุกไม่ขึ้น แต่การที่เธอกับเขาอยู่ในท่าทางแบบนี้นานๆ คงไม่ดีเท่าไร หญิงสาวจึงพยายามยันกายลุกขึ้นอย่างยากเย็นแต่ไม่สำเร็จจึงตัดสินใจกลิ้งตัวไปด้านข้างแทน

“เจ็บชะมัด โถมเข้ามาได้”

ภัทรวรรธน์บ่นเพราะเขาโดนแรงกระแทกจากทั้งสองทาง โชคดีที่เม็ดทรายค่อนข้างละเอียดและอ่อนนุ่มจึงไม่ทำให้เขาเจ็บตัวมากนัก …ครั้งนี้ชายหนุ่มยอมรับว่าคิดผิดเองที่นึกสนุกอยากแกล้งยั่วเธอด้วยอารมณ์เพียงวูบเดียว ลืมนึกไปว่าผู้หญิงคนนี้ไม่เคยระแวดระวังอะไรเหมือนคนอื่นเขา

...ว่าแต่เธอไม่รู้จักความกลัวบ้างหรือไงนะ ถ้าเมื่อกี้เขาคิดจะหลอกให้เธอเข้ามาใกล้เพื่อทำมิดีมิร้ายเธอก็คงหนีไปไหนไม่รอด เพราะบริเวณนี้ค่อนข้างมืดเนื่องจากเป็นช่วงคืนเดือนมืดแถมยังค่อนข้างเปลี่ยว ความจริงถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่าไม่มีใครอาศัยอยู่เลยต่างหาก

…แหงล่ะ ก็นี่เป็นไปรเวท บีช ที่เขาซื้อมาเองนี่

“ขอโทษค่ะ ฉันก็แค่หมั่นไส้ที่คุณเอาแต่แกล้งฉัน ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณเจ็บ” วิรินดาเอ่ยเสียงอ่อยๆ ขณะยันกายขึ้นนั่งคุกเข่า “เจ็บมากไหมคะ”

“ก็พอตัว…น้ำหนักคุณก็ไม่ใช่น้อยๆ”

เพราะเรื่องน้ำหนักเป็นเรื่องที่เซนซิทีฟสุดๆ ของผู้หญิง เมื่อถูกทักเช่นนั้น วิรินดาก็ปล่อยความรู้สึกผิดทั้งมวลให้หายไปกับเกลียวคลื่นที่ม้วนกลับลงสู่ทะเลได้ทันที …ถ้าเจ็บหนักคงไม่มีปัญญาตอบได้ขนาดนี้หรอก นี่คงโอดโอยไปอย่างนั้นเอง เธอจึงตอบเสียงสะบัดๆ ว่า

“หึ ถ้าฉันผอมกว่านี้เมื่อวานฉันคงไม่มีปัญญาแบกคุณไปถึงห้องหรอกค่ะ แล้วก็คงไม่ลากยาวถึงขนาดมานั่งคลุกทรายอยู่ที่นี่กับคุณในตอนนี้ด้วย”

ที่หญิงสาวพูดเช่นนั้นเพราะเนื้อตัวของเธอและเขามีแต่เม็ดทรายเกาะอยู่เต็มไปหมดไม่เว้นแม้แต่เส้นผม สำหรับเธอการเลอะเทอะมอมแมมมันไปบ้างก็พอทน แต่สำหรับเขานี่สิ…

ไม่ต่างจากที่เธอคิดเพราะทันทีที่ลุกขึ้นนั่ง ชายหนุ่มก็รีบปัดทรายออกจากเส้นผมและเสื้อผ้าเป็นการใหญ่ ซึ่งทำให้วิรินดานึกขึ้นมาได้ว่าการแก้แค้นเขานอกจากชิงกุญแจคืนแล้วหนีกลับบ้านก็ยังมีอีกตั้งหลายวิธี ยกตัวอย่างเช่น…

“นี่แน่ะ”

หญิงสาวหัวเราะร่าหลังจากฉวยทีเผลอวักทรายใส่เข้าไปในคอเสื้อเชิ้ตของเขาได้สำเร็จ ซึ่งแน่นอนว่าคุณชายที่ไม่ชอบการเลอะเทอะเปรอะเปื้อนอย่างภัทรวรรธน์ย่อมไม่ชอบใจ

“โอ๊ย อะไรกันคุณ เล่นอะไรเหมือนเด็กๆ หยุดเดี๋ยวนี้นะ หยุดๆๆๆๆๆ”

ลูกชายคนเล็กของคุณหญิงภาพิตร้องโวยวายลั่นเพราะหลังจากปฏิบัติการแรกสำเร็จ หญิงสาวก็เอาแต่กอบทรายมาเทใส่ที่คอของเขาไม่ยอมหยุด เขาพยายามปัดป้องและบอกให้เธอเลิกเล่นเสียที แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกถึงเม็ดทรายกุบๆ กับๆ ที่เข้ามาในปาก แถมยังทำท่าจะเปลืองน้ำลายเปล่าๆ

ซึ่งชายหนุ่มคิดถูก วิรินดาหรือจะยอม ถูกเขาทั้งแกล้งหลอก สั่งให้ทำโน่นทำนี่ แถมยังพูดจาน่าโมโหใส่สารพัด แกล้งให้เลอะเทอะนิดหน่อยแค่นี้ยังน้อยไป

“เรื่องอะไรจะหยุด อยากมาทะเลนักไม่ใช่เหรอคะ มาทะเลก็ต้องแบบนี้ ...แค่เดินรับลมอยู่บนชายหาดจะรู้ซึ้งถึงคำว่าทะเลได้ยังไงคะ มันต้องลองสัมผัสด้วย …แบบนี้”

ขณะพูด มือเล็กก็หยิบทรายปาดเข้าที่แก้มของชายหนุ่มไปด้วย ซึ่งทำให้คนที่หวงใบหน้าสุดชีวิตชักจะไม่พอใจ ริมฝีปากบางเฉียบขยับเม้มเป็นเส้นตรง คนที่กำลังคึกคะนองอยู่จึงหน้าจ๋อยลงเมื่อเห็นว่าดวงตาของคนตรงหน้าวาววับขึ้นมาในความมืด

“อุ๊ย…แหะๆ ลืมไปว่าคุณคงไม่ชอบให้หน้าเลอะ…” หญิงสาวพูดพลางใช้ปลายนิ้วนุ่มค่อยๆ เกลี่ยเม็ดทรายออกให้อย่างแผ่วเบาโดยไม่รู้ตัวเลยว่าสัมผัสนุ่มนวลนั้นก่อความรู้สึกอย่างไรให้อีกฝ่ายบ้าง...

เพราะเป็นสิ่งที่จู่โจมเข้ามาโดยไม่คาดคิดทำให้ชายหนุ่มทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยกมือหนาขึ้นกำข้อมือของหญิงสาวไว้แน่นเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวที่ชวนให้หัวใจคันยุบยิบนั้น

“พอเสียที”

…ให้ตายเถอะ ที่เขาว่าคนอกหักมักหวั่นไหวง่ายเป็นอย่างนี้เอง!

หากวิรินดากลับตีความหมายว่าเขาโกรธเธอมาก หญิงสาวจึงชะโงกหน้าบางใสเข้าไปใกล้ๆ ใบหน้าขาวที่ตอนนี้เปื้อนทรายเต็มไปหมด ตาแป๋วๆ จ้องมองเขาด้วยแววตาขอลุแก่โทษ ซึ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิม และการที่ข้อมืออุ่นๆ ของเธออยู่ในอุ้งมือของเขาก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเลย

ภัทรวรรธน์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อตาสบตาก่อนจะได้สติเบือนหน้าหนี ดันหญิงสาวออกห่างจากตัวแล้วขยับลุกขึ้น เมื่อยืนได้เขาก็หันหลังออกเดินลิ่วๆๆๆ ในขณะที่คนที่ไม่รู้เรื่องและไม่ได้คิดอะไรเลยได้แต่นั่งงง จนเมื่อตั้งสติได้วิรินดาก็ลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งตามเขาไปอย่างลำบากยากเย็นบนผืนทราย

“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ คุณโกรธจริงๆ เหรอคะ” วิรินดาตะโกนถามเมื่อร่างสูงก้าวยาวๆ ต่อไปโดยไม่หันมามองเธออีกเลย “คือ...ฉันอาจจะมือบอนไปหน่อย แต่ฉันไม่รู้จริงๆ นะคะว่าคุณจะหวงใบหน้าของคุณมากขนาดนี้ ถ้ารู้ฉันก็คงจะไม่...”
“จะหยุดพูดได้หรือยัง”

น้ำเสียงฉุนเฉียวของอีกฝ่ายทำให้เสียงแจ้วๆ หยุดลงในทันที เท้าเล็กๆ หยุดการเคลื่อนไหว พร้อมๆ กับที่มือน้อยๆ ถูกเจ้าตัวยกขึ้นเกาหัวแกรกๆ

จะโกรธอะไรกันนักกันหนาหว่า เรื่องแค่นี้…มันก็แค่ทรายนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง ล้างน้ำออกก็จบแล้ว ไม่เห็นจะต้องโมโหซะขนาดนี้ นี่ถ้าเธอโกรธง่ายแบบเขาสงสัยคงฆ่ากันตายไปเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครรอดชีวิตมาเห็นทะเลหรอก!

เอาล่ะ ในเมื่อเขาอยากให้เงียบนักเธอก็จะไม่พูดเลยสักคำ อยากเดินทางกับคนใบ้นักใช่ไหม เดี๋ยวจัดให้…

หญิงสาวแลบลิ้นใส่หลังของคนที่เดินดุ่มๆ จากไปแล้วหันหลังย้อนกลับทางเดิม ย่ำเท้าบนผืนทรายละเอียดที่ค่อนข้างนุ่มและเย็นสบายไปเรื่อยๆ …เป็นสัมผัสที่เธอห่างหายมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แม้ภายนอกจะดูเหมือนคนที่สดใสร่าเริงและไม่กลัวอะไร หากหญิงสาวกลัวท้องทะเลยามค่ำคืน ความมืดและเงียบสงัดของมันมักจะทำให้เธอนึกถึงสิ่งลี้ลับในทะเลที่ซุกซ่อนอยู่ หุบเหวลึกที่ไม่อาจหยั่งถึง ภูติผีปิศาจ หรือไม่ก็แบล็กโฮลที่พร้อมจะดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปสู่โลกแห่งความมืดมนอันธการ นอกจากนั้น ทุกครั้งที่มองออกไปยังท้องทะเลสีเข้มเวิ้งว้างที่เหมือนกับถูกท้องฟ้ายามราตรีย้อมให้เป็นสีเดียวกัน เธอรู้สึกเหมือนถูกตอกย้ำอย่างโหดร้ายว่าอยู่ตัวคนเดียวในโลกอันกว้างใหญ่

...แม้ตอนเป็นเด็กเธอจะเคยหวังนักหวังหนา ให้บุคคลอันเป็นที่รักทั้งสองเดินขึ้นจากทะเลกลับมาหาเธอในสักวันหนึ่ง...



‘ไวน์ ไวน์’

วิรินดารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงร้องเรียกมาจากที่ไกลแสนไกล เธอลุกขึ้นวิ่งไปตามเสียงเรียกนั้น ซึ่งสิ่งที่มองเห็นอยู่ตรงหน้าคือท้องทะเลสีดำท่ามกลางความมืดที่มีซากเครื่องบินที่ค่อยๆ จมลมสู่ผืนน้ำ บิดามารดาของเธอกำลังเกาะอยู่ที่ริมหน้าต่างพลางส่งสายตาเศร้าสร้อยมายังเธอ และนั่นทำให้เสียงเล็กๆ กรีดร้องออกมา

‘พ่อขา...แม่ขา...’

หากซากนกเหล็กไม่ฟังเสียงวิงวอนของเด็กน้อยตาดำๆ กลับทิ้งตัวจมดิ่งอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเสียงโหยหวนที่ติดอยู่ที่ปลายโสตประสาท

‘ไม่... ไม่นะ อย่าไป...’

ร่างเล็กๆ วิ่งลงไปในทะเล พยายามจะลงไปช่วยชีวิตของคนสำคัญทั้งสองของเธอ แต่ผืนทะเลก็หดตัวหนีทำให้วิ่งเท่าไรก็ไปไม่ถึงเสียที เด็กหญิงวิ่งจนหมดแรงแต่ท้องทะเลก็ยังไม่ปราณีเธอ ยังเลื่อนตัวออกไปทุกย่างก้าวที่เท้าเล็กๆ วิ่งไล่ตาม

‘คืนพ่อแม่ของหนูมาเถอะ คืนมา...’

เด็กหญิงสะอื้นฮักๆ ทิ้งตัวลงนั่งปิดหน้าร้องไห้บนหาดทรายอย่างเหนื่อยหอบ หากท้องทะเลดำมืดก็ยังซัดสาดอย่างบ้าคลั่งเหมือนกำลังหัวเราะเย้ยหยันอยู่เบื้องหน้าราวกับต้องการจะบอกให้รู้ว่าบิดามารดาของเธอไม่มีวันกลับมาหาเธออีกต่อไปแล้ว…



ภัทรวรรธน์ชะงักฝีเท้าเมื่อรู้สึกว่าเสียงใสๆ ของคนที่เขา ‘ลักพาตัว’ มาเงียบหายไปได้สักระยะหนึ่ง ร่างสูงหันมองไปรอบๆ และได้เห็นด้านหลังของคนตัวเล็กกว่าที่กำลังยืนมองทะเลอยู่เงียบๆ ท่าทางเหม่อลอย

ฮึ! สงสัยจะคิดถึงบ้าน ไม่รู้จะคิดอะไรมากมายขนาดนั้น กลับไปก็ต้องอยู่คนเดียวแท้ๆ แถมเขาก็ไม่ได้คิดจะพาเธอมาอยู่ที่นี่ด้วยกันตลอดไปเสียหน่อย คนที่สมควรจะมายืนทอดอาลัยอยู่ริมทะเลน่าจะเป็นคนอกหักอย่างเขามากกว่า!

คิดอย่างนั้นชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างๆ คนที่ร่วมทางมาด้วยโดยคาดหวังว่าเธอจะต้องพูดอะไรสักอย่างออกมา ...อะไรคล้ายๆ รอยยิ้มพร้อมคำพูดทำนองว่า “โธ่เอ๊ย...นึกว่าคุณจะโกรธฉันได้นานสักแค่ไหน” หรือไม่ก็อาจจะก้มลงกวักทรายใส่เขาอย่างบ้าคลั่งเหมือนกะจะฝังเขาทั้งเป็นเพื่อเป็นการแก้แค้น

แต่เธอกลับนิ่งเงียบอย่างน่าประหลาดแถมยังขยับตัวออกห่างจากเขาเล็กน้อยอย่างที่ถ้าไม่ได้สังเกตอาจจะไม่ทันรู้ตัวเสียด้วยซ้ำ

เออ...คนช่างพูดอย่างยัยนี่ก็มีอารมณ์อยากจะปลีกวิเวกกับเขาเหมือนกันแฮะ

“คิดถึงบ้านหรือ”

ชายหนุ่มเริ่มบทสนทนาเมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่มีท่าทีว่าจะพูดกับเขาก่อน... ปกติเขาก็ชอบอยู่เงียบๆ แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่ามันเงียบเกินไป....สงสัยว่าจะเป็นอาการของคนอกหักเหงาปากอยากได้เพื่อนคุย

แต่คนช่างคุยกลับไม่ตอบอะไรเลย เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยให้รู้ว่ายังได้ยินเท่านั้น ทำให้เขาแปลกใจ

“เงียบเชียวคุณ เอาเสียงไปไว้ที่ไหนหมด ...หรือว่าไม่สบาย”

ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกเป็นห่วงคนที่เขาลักพาตัวมา ถึงจะไม่ได้ลงไปแช่ในน้ำทะเล แต่การตากลมแรงๆ อาจทำให้เธอไม่สบายก็ได้ แม้ว่าเธอจะดูแข็งแรงเต็มร้อย ไม่เหมือนคนที่ป่วยง่ายเลยสักนิดเดียว

คำตอบของหญิงสาวคือการสั่นหน้า ทำให้ชายหนุ่มอดรนทนไม่ได้ ต้องยื่นหน้าไปถามให้เข้าใจ

“เป็นอะไร...”

ริมฝีปากบางเฉียบขยับถามได้เพียงแค่นั้นก็ต้องหยุดชะงักด้วยความตกตะลึงเมื่อเห็นว่าดวงตากลมที่คนตรงหน้าพยายามซ่อนให้พ้นสายตาเขามีหยาดน้ำเอ่อคลอ
ให้ตายเถอะ นี่เขานิสัยแย่ถึงขนาดทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งทนไม่ได้ ทิ้งเขาไปแต่งงานกับคนอื่น แล้วยังทำให้อีกคนที่อยู่ตรงนี้ร้องไห้เชียวหรือ!

ทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนใจดีหรืออ่อนโยน แต่ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะเผลอยกมือขึ้นลูบหัวหญิงสาวที่มีน้ำตาคลอคลองเหมือนที่ผู้ใหญ่ทำกับเด็ก ความอ่อนโยนนุ่มนวลนี้ทำให้กำแพงบางอย่างในใจของวิรินดาพังทลายลง หญิงสาวร้องไห้โฮ น้ำตาไหลออกมาเหมือนน้ำในเขื่อนที่ปราศจากทำนบกั้น

ภัทรวรรธน์โอบร่างบางของคนตรงหน้าเข้ามาใกล้ ลูบหลังปลอบใจทั้งๆ ที่เขายังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุเลยว่าเกิดอะไรขึ้น …ที่แน่ๆ คงไม่ใช่ความเสียใจน้อยใจหรือโกรธที่เกิดจากเขาอย่างที่คิดเอาไว้ตั้งแต่แรก ดูจากอาการ คงเป็นอะไรที่หนักหนาสาหัสกว่านั้นมาก ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงที่ดูสดใสอารมณ์ดีตลอดเวลาเช่นนี้บทจะอ่อนไหวก็มีน้ำตาได้ง่ายดายเหมือนกัน

วิรินดายกมือขึ้นปาดน้ำตาที่รินออกมารดแก้มนวลไม่ขาดสาย ..หญิงสาวไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้ เพียงแค่คิดถึงอดีตอันแสนเศร้า น้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนก็ไหลออกมาเอง เธอไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มานานมากแล้วจนนึกว่าความเจ็บปวดทั้งหมดสูญสลายไปตามกาลเวลา แต่น้ำตาในตอนนี้ก็พิสูจน์แล้วว่าเธอเข้าใจผิด อาจเป็นเพราะเธอไม่ได้ออกมาเดินรับลมทะเลตอนกลางคืนอย่างนี้มาเป็นเวลานานมากแล้ว …ตั้งแต่ครั้งที่กลุ่มเพื่อนสาวๆ ชวนเธอมาตอนเรียนจบมัธยมปลายเพื่อฉลองการสอบเอ็นทรานส์ติดของทุกๆ คน หญิงสาวไม่เคยนึกเลยว่าเพียงแค่ได้จ้องมองทะเลสีดำมืด ความทรงจำอันเลวร้ายที่ซุกซ่อนอยู่จะระเบิดออกมาจนร้องไห้ฟูมฟายต่อหน้าทุกคนโดยไม่ได้ตั้งใจ เรียกได้ว่าทำลายบรรยากาศแห่งความรื่นเริงเสียกระเจิดกระเจิงไปหมดนั่นล่ะ งานเลี้ยงฉลองแสดงความยินดีจึงกลายเป็นปาร์ตี้ปลอบใจวิรินดาไปอย่างช่วยไม่ได้ และหลังจากนั้นถ้าเลี่ยงได้ก็แทบไม่มีใครอยากชวนเธอมาทะเลอีกเลยเพราะกลัวว่าจะไป ‘สะกิด’ ความเจ็บปวดขึ้นมาอีก

อันที่จริงหญิงสาวเคยเข้าร่วมกิจกรรมของคณะสมัยที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยและมาที่ทะเลบ้างเหมือนกัน หากเป็นเพราะจำนวนคนที่ค่อนข้างมากและไม่ได้ออกมายืนมองท้องทะเลที่เงียบสงัดตรงๆ หญิงสาวจึงคิดว่าตัวเองไม่เป็นอะไรแล้ว จนกระทั่งวันนี้ เมื่อเธอได้มาอยู่ต่อหน้าทะเลสีดำที่ซัดสาดไปมา มีเวลาอยู่กับตัวเองตามลำพัง เธอถึงได้เข้าใจว่าพิษของความเจ็บปวดที่คิดว่าสลายไปหมดแล้ว ความจริงแค่กลายเป็นตะกอนที่นอนก้นอยู่หัวใจของเธอเท่านั้น และเมื่อถูกกวน มันก็พร้อมที่จะฟุ้งขึ้นมาให้ต่อมน้ำตาของเธอได้ทำงานหนักอีกครั้ง

หญิงสาวยืนหลั่งน้ำตาโดยไม่พูดอะไรเลยอยู่นาน จนเมื่อกลุ่มตะกอนทิ้งตัวจมลงสู้ก้นบึ้งอีกครั้งถึงได้ถอนสะอื้น และเมื่อรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังยืนทำอะไรที่ไหนอยู่กับใคร หญิงสาวก็ค่อยๆ ปลดมือที่กำลังลูบหลังของเธอออกอย่างนุ่มนวลแล้วดึงตัวออกห่างจากคนตรงหน้านิดหนึ่ง

“ขอโทษค่ะ” นั่นเป็นคำแรกที่เธอเอ่ยอกมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ก่อนจะใช้หลังมือปาดป้ายใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาไปมาเหมือนเด็กๆ “คุณคงตกใจที่อยู่ดีๆ ฉันก็ร้องไห้ออกมาแบบนี้ แต่อย่าใส่ใจเลยนะคะ ฉันไม่ได้เป็นอะไร”

“ไม่เป็นอะไรแล้วคุณจะร้องไห้ได้ยังไง” ภัทรวรรธน์เถียงด้วยน้ำเสียงที่ถ้าเขาและเธอสังเกตสักนิดจะรู้ว่ามันเจือแววร้อนรนอยู่ไม่น้อย “บอกมาตรงๆ เถอะ ผมใช่ไหมที่ทำให้คุณร้องไห้”

“คะ?”

แม้กำลังอยู่ในอารมณ์เศร้าหมอง หากคิ้วเรียวบางยังขมวดมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ
“ผมรู้ว่าผมทำตัวไม่ค่อยดีเท่าไรที่หลอกบังคับให้คุณมาทะเลโดยที่คุณไม่ได้เต็มใจ แถมยังตวาดใส่คุณอีก ทั้งๆ ที่คุณก็ดีกับผมถึงแม้ว่าเราไม่เคยรู้จักหรือพบกันมาก่อน แต่ผมกล้าสาบานนะว่าผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไรอย่างที่คุณคิดเลยแม้แต่นิดเดียว…”

“จริงหรือคะ”

วิรินดาถาม ถึงแม้จะไม่รู้หรอกว่าไอ้ ‘เจตนาไม่ดีอะไรอย่างที่คุณคิด’ ที่เขาว่าน่ะคืออะไร แต่หญิงสาวก็ยินดีที่จะฟังคนสารภาพผิดพูดไปเรื่อยๆ

ส่วนน้ำตาน่ะหรือ…แห้งไปตั้งแต่ตรงที่ ‘ผมใช่ไหมที่ทำให้คุณร้องไห้’ แล้ว!

“ผมอาจจะทำอะไรแปลกๆ ที่คุณไม่เข้าใจหลายอย่าง…เหมือนๆ กับที่ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจคุณนัก แต่ผมขอยืนยันอีกครั้งว่าผมไม่ได้คิดร้ายกับคุณจริงๆ นะ ที่ผมพาคุณมาที่นี่ก็เพราะอยากได้เพื่อนคุยเท่านั้นเอง ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำคงทำให้คุณตกใจ ไม่พอใจ และอะไรอีกหลายอย่าง แต่ผมไม่นึก…นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะทำให้คุณเครียดหนักถึงขนาดร้องไห้ออกมาแบบนี้ ถ้ารู้…ผมคงไม่ทำ”

ท่าทีเสียใจและสำนึกผิดของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าทำให้วิรินดาค่อนข้างพอใจ…ไม่สิ หญิงสาวพอใจมากเลยต่างหาก แถมการได้ร้องไห้ออกมาจนสต็อกน้ำตาหมดเกลี้ยงก็ทำให้สมองและจิตใจปลอดโปร่งยิ่งนัก เธอจึงเริ่มนึกขำที่เขาเข้าใจผิดว่าการร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่าของเธอมีสาเหตุมาจากตัวเขา ซึ่งความจริงแล้วไม่ได้ใกล้เคียงเล้ย…

แม้ว่าจะเป็นหญิงสาวที่แทบจะไม่มีจริตมารยา แต่วิรินดาก็ยังเป็นผู้หญิงและมีนิสัยแบบผู้หญิงเต็มร้อย เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ คนที่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาอย่างวิรินดาก็รู้จักคำว่า ‘มารยาหญิงร้อยเล่มเกวียน’ เหมือนกัน ดังนั้น แทนที่จะแก้ไขข้อเข้าใจผิด หญิงสาวจึงใช้ใบหน้าที่เปรอะไปด้วยคราบน้ำตาเป็นอาวุธในการต่อรอง ใบหน้านวลก้มหน้านิ่งเพื่อซ่อนแววตาที่อาจกลายเป็นผู้ทรยศบอกความจริงแก่เขาโดยไม่ได้ตั้งใจ เอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงที่ยังสั่นเครือโดยไม่ต้องปรุงแต่ง

“แล้ว…คุณจะให้สัญญาได้ไหมคะ ว่าคุณจะไม่หลอกฉันอีก จะพูดดีๆ กับฉัน ฉันถามอะไรก็จะตอบดีๆ ไม่กวนประสาทกลับมา”

“ได้ ผมสัญญา”

“ไม่เอา ฉันไม่เชื่อ ตอนนี้คุณก็พูดได้ แต่เดี๋ยวลืมคุณก็ทำอีก เอาอย่างนี้ดีกว่า…ทวนข้อความทั้งหมดที่คุณสัญญาสิ ถ้าคุณจำได้ ฉันถึงจะเชื่อ”

พูดแล้ว เธอก็ยกมือทั้งสองขึ้นปิดหน้าเหมือนพร้อมจะปล่อยโฮอีกครั้ง ซึ่งวิธีนี้หญิงสาวจำได้ว่าละครส่วนมากนำมาใช้และมักจะได้ผลเสียด้วย ไม่มีผู้ชายคนไหนหรอกที่จะทนเห็นผู้หญิงร้องไห้ได้…ตราบใดที่ผู้หญิงคนนั้นไมใช่นางร้ายในเรื่องที่พระเอกฉลาดมากจนไม่หลงเล่ห์มารยา หรือนางเอกเจ้าน้ำตาที่ร้องไห้ฟูมฟายบ่อยจนพระเอกเอือมระอาเสียแล้ว

แต่เพราะว่าวิรินดาดูยังไงก็ไม่เหมือนนางอิจฉาห้าร้อยเล่มเกวียน และยังห่างไกลจากความเป็นนางเอกเจ้าน้ำตามากนัก (แม้ว่าจะถูกเขาลักพาตัวมาเหมือนนางเอกในหลายๆ เรื่องก็เถอะ) ภัทรวรรธน์จึงตกหลุมพรางอย่างง่ายดาย

“ตกลง…ผมสัญญาว่าผมจะไม่ทำให้คุณร้องไห้เสียใจอีก จะไม่แกล้งหลอกให้คุณตกใจ จะพยายามพูดดีๆ กับคุณให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เท่านี้พอหรือยัง”

แม้ว่าข้อหลังๆ จะฟังดูผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่แค่เขารับปากว่าจะ ‘พยายาม’ เธอก็พอใจแล้ว …หากข้อแรกนี่สิ เป็นสิ่งที่เธอไม่ได้ใส่เอาไว้ในข้อสัญญาต้นแบบเสียหน่อย…

ผมจะไม่ทำให้คุณร้องไห้เสียใจอีกงั้นหรือ…ไม่เลวเลย เธอชอบคำนี้

ชะรอยความชอบของวิรินดาจะแสดงออกมาทางสีหน้าชัดเจนไปหน่อย และเมื่อรู้สึกดีใจหญิงสาวเผลอลดมือลง เงยหน้าขึ้นมองหน้าคนให้สัญญาโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มที่กระจ่างเต็มหน้าจึงปรากฏแก่ดวงตาคมกริบเข้าเต็มเปา

“นี่คุณหลอกผมหรือนี่”

อุ๊ยโหย… วิรินดาร้องอุทานในใจ ตายล่ะ พลาดไปหน่อย…ถูกจับได้อย่างนี้เขาจะโกรธเธออีกไหมเนี่ย

“เปล่านะคะ” ริมฝีปากอิ่มรีบแย้งกลับเพื่อป้องกันตัว “ฉันกำลังร้องไห้เพราะเรื่องอื่นอยู่ จู่ๆ คุณก็ทะเล่อทะล่าเข้ามายอมรับความผิดของคุณเอง …และในเมื่อคุณอยากพูด ฉันก็เลยทำตัวเป็นผู้รับฟังที่ดี ไม่ขัดเลยสักคำ”

ฟังแล้วชายหนุ่มอยากกระทืบเท้าด้วยความเจ็บใจ จะเถียงก็เถียงไม่ออกเพราะมันก็จริงอย่างที่เธอว่า เขาเป็นฝ่ายด่วนสรุปไปเองทั้งหมด แค่เห็นเธอร้องไห้ก็เผลอทึกทักไปเองเสียแล้ว

…แต่จะว่าเขาด่วนสรุปก็ไม่ถูกเสียทีเดียวเพราะเขาก็มีหลักการเหมือนกัน ก็เขาถามสาเหตุจากเธอแล้วและเธอก็ไม่ยอมบอกว่าร้องไห้ทำไม ซึ่งสาเหตุที่คนถูกถามไม่ยอมปริปากส่วนมากก็เพราะเป็นเรื่องของอีกฝ่ายแทบทั้งนั้น…และก่อนหน้านั้นเขาก็เพิ่งจะตวาดใส่หน้าเธอเองด้วย จึงไม่ผิดที่เขาจะคิดว่าเธอน้อยใจเสียใจถึงขั้นเก็บเอาไปร้องไห้ฟูมฟาย …ก็ขนาดเขาไม่ได้พูดอะไรเลย แค่ดุหรือตำหนิใครด้วยสายตายังทำให้ฝ่ายนั้นร้อนๆ หนาวๆ หรือน้ำตาคลอเลยนี่ แม้จะไม่ใช่เรื่องน่าชื่นชมนักแต่กิตติศัพท์ความน่ากลัวของเขาก็เป็นที่เลื่องลือจนไม่มีใครกล้ามาแหยมหรือไม่อยากตอแยด้วยเหมือนกัน

…คงจะมีแต่ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขานี่แหละที่ดื้อ น้ำอดน้ำทนสูง เป็นคนอื่น เจออิทธิฤทธิ์ของเขาตั้งแต่เช้าวันแรกที่ตื่นขึ้นมาก็คงแทบจะอัญเชิญเขาออกไปจากห้องแล้วด้วยซ้ำ แล้วก็…

ดวงตาคมกล้าหม่นลงเล็กน้อยเมื่อนึกถึง ‘ผู้หญิงอีกคน’ ที่สามารถต่อกรกับเขาได้ ผู้หญิงที่เหมือนเนรเทศให้เขาต้องออกจากบ้านของตัวเองเพราะไม่อยากกลับไปเผชิญหน้าเธอที่เป็นของคนอื่น…คนอื่นที่เป็นพี่ชายคนเดียวของเขาเอง

เพราะไม่อยากจะคิดถึงเรื่องที่เป็นดั่งหนามคอยตำหัวใจให้ปวดแปลบ ภัทรวรรธน์สะบัดศีรษะเบาๆ ก่อนจะถามหญิงสาวตรงหน้าเสียงเข้ม

“ถ้าคุณไม่ได้โกหก งั้นบอกผมมาสิว่าเมื่อกี้คุณร้องไห้เรื่องอะไร”

ท่าทางของชายหนุ่มคล้ายจะข่มขู่ว่า ถ้าโกหกอีกหรือตอบไม่ได้ล่ะเป็นเรื่องแน่!

เมื่อถูกถาม ตะกอนที่จมอยู่ใต้ก้นก็ทำท่าจะฟุ้งขึ้นมาใหม่อีกเล็กน้อย วิรินดาจึงไม่ค่อยอยากจะพูดถึงเพราะเกรงว่าจะร้องไห้อีกครั้ง หญิงสาวจึงพยายามบ่ายเบี่ยง
“มันไม่ใช่เรื่องที่น่าจะรู้หรอกค่ะ รู้ไปก็อาจจะทำให้คุณหดหู่เปล่าๆ”

หากอะไรก็ตามที่ถูกปิดๆ บังๆ มักจะกระตุ้นให้ผู้คนยิ่งทวีความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น คราวนี้ก็เช่นกัน ชายหนุ่มไม่ยอมให้เธอโยกโย้ เขายืนยันที่จะฟัง

“เรื่องที่ทำให้คนคนหนึ่งร้องไห้ได้มากขนาดนี้ต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมากแน่ๆ และผมอยากฟัง”

…เพราะขนาดเขาคิดว่าเรื่องของเขาเป็นเรื่องที่ชวนให้เจ็บปวดทรมานนักหนาแล้ว นอกจากอาการตื้อๆ และปวดปลาบในโพรงอก เขายังไม่มีน้ำตาสักหยด ซึ่งบางทีการได้ร้องไห้ออกมาอาจจะเป็นการระบายความเจ็บปวดให้ออกไปจากใจก็ได้ แต่เขาทำไม่เป็น…ตั้งแต่เกิดมาเป็นเด็กชายภัทรวรรธน์ ก้องเกียรติธารา เขาแทบไม่เคยร้องไห้เลยตั้งแต่จำความได้ คุณหญิงภาพิตสอนเขาเสมอว่าชื่อเสียงและสถานะทางสังคมของบิดามารดาของเขายิ่งใหญ่เพียงใด และสายเลือดของผู้ที่มีอำนาจกว้างขวางในวงสังคมจะแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็นไม่ได้เป็นอันขาด …หรือถ้าจะทำ ก็ต้องไม่ให้ใครรู้

“ก็ได้…ถ้าคุณอยากรู้จริงๆ ฉันก็จะเล่าให้ฟัง” วิรินดายินยอมทำตามแต่โดยดี แต่เธอก็มีเงื่อนไข “แต่คุณจะต้องเล่าเรื่องของคุณให้ฉันฟังด้วยเหมือนกัน เพื่อความเสมอภาค”

ข้อต่อรองของเธอทำเอาชายหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อย ภัทรวรรธน์ไม่ได้ต้องการจะเปิดเผยตัว เขาจึงปฏิเสธทันที

“ทำไมอยู่ดีๆ ถึงโยนมาที่ผมได้ล่ะคุณ …แล้วเรื่องของผมก็ไม่มีอะไรน่าสนใจสักนิด คุณไม่อยากรู้หรอก”

พูดไปแล้ว ชายหนุ่มถึงได้รู้สึกว่าเขาและเธอพูดอีหรอบเดียวกันเป๊ะ ซึ่งแน่นอนว่าวิรินดาต้องย้อนเขากลับด้วยคำพูดทำนองเดียวกัน

“แต่ฉันว่าเรื่องที่ทำให้คนคนหนึ่งดื่มเหล้าเข้าไปเสียขนาดนั้น แถมยังลักพาตัวคนอื่นมาดื้อๆ ได้ ต้องไม่ใช่เรื่องไม่น่าสนใจอย่างที่คุณออกตัวแน่ๆ ค่ะ และในฐานะคนที่ติดร่างแหมากับคุณ ฉันคิดว่าฉันมีสิทธิ์ที่จะได้รับคำอธิบายนะคะ ...และฉันไม่ปฏิเสธว่าฉันอยากรู้”

“ก็ได้ งั้นคุณเล่าก่อน”

ชายหนุ่มลองหยั่งเชิงดู เพราะคนเล่าทีหลังอาจไม่ต้องทำตามหลังจากได้ฟังแล้วก็ได้ หากหญิงสาวตรงหน้าเหมือนจะรู้ทัน เพราะเธอเอียงคอนิดๆ ถามกลับว่า

“ฉันจะรู้ได้ยังไงคะว่าคุณจะไม่โกงฉัน”

“อะไรทำให้คุณคิดอย่างนั้น”

ภัทรวรรธน์ถามกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ ในใจก็คิดจะเบี้ยวเธออยู่แล้วนั่นล่ะ ดูซิว่าเธอจะทำอะไรได้ …ชายหนุ่มไม่นึกเลยว่าตัวเองกำลังประเมินผู้หญิงคนนี้ต่ำเกินไป

“แหม พูดอย่างกับฉันไม่รู้จักนิสัยคุณอย่างนั้นแหละ แค่วันเดียวฉันก็พอจะเดาได้แล้ว …เอาอย่างนี้ดีกว่า ถ้าคุณไม่ทำตามที่พูด ฉันจะแอบขับรถหนีกลับกรุงเทพฯ แล้วทิ้งคุณไว้ที่นี่คนเดียว”

หา??

เป็นทีที่ภัทรวรรธน์จะต้องอุทานในใจแบบนี้บ้าง และเมื่อเห็นสิ่งที่แกว่งไกวอยู่ในมือเล็กๆ เขาก็เพิ่งนึกออกว่าตัวเองพลาดไปถนัด

เฮ้ย บ้าน่า!!

“นึกออกแล้วใช่ไหมคะว่าเมื่อกี้คุณปล่อยให้กุญแจรถตกอยู่ที่เดิมไม่ได้เก็บขึ้นมา ฉันก็เลยจัดการทวงของฉันคืนซะ” พูดแล้วเธอก็รีบเก็บกุญแจเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอย่างรวดเร็ว ไม่ทำพลาดให้ถูกชิงคืนได้เหมือนคนประมาทบางคนหรอก “ทีนี้คุณจะว่ายังไงคะ ยังคิดจะเกเรอยู่หรือเปล่า”

กรอด… ร่างสูงกัดฟันเมื่อเขาเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำบ้าง ไม่นึกเลยว่าคนตัวเล็กตรงหน้าที่เหมือนจะซื่อๆ ว่าง่าย ตามเขาไม่ทัน บทจะเอาคืนก็แสบสันน่าดูเหมือนกัน

…ช่วยไม่ได้ ตัวประกันของเขาก็กลับไปอยู่ในมือเธอแล้วนี่ ถ้าขืนโยเยมาก เธออาจะหนีกลับไปคนเดียวอย่างที่พูดจริงๆ ก็ได้

แล้วอีกอย่างหนึ่ง เขาจะหาเรื่องพาเธอมาด้วยทำไม...ถ้าไม่ได้ต้องการใครสักคนที่จะพูดคุยกัน...






Create Date : 09 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2550 9:47:59 น. 13 comments
Counter : 286 Pageviews.

 
มาแล้วนะคะตอนที่ 5 เชื่อว่าตอนนี้หลายคนอาจจะดีใจที่ในที่สุดนางเอกก็เอาคืนอีตาคุณชายได้บ้างแล้ว อิอิ แถมยังมีโมเมนต์ที่วูบไหวด้วย

ตอบคอมเมนต์ตอนที่แล้วนะคะ

คุณ pixie อิอิ จะได้ kidnap สมชื่อไงคะ ตอนนี้ลักพาตัวไปก่อน ยังไมได้ลักพาใจเลย

เฟิร์น 5555 นั่นน่ะสิ แต่ถ้าถูกลักพาตัวแล้วได้เจอพระเอก หลายคนเขาว่าคุ้มล่ะ
เรื่องเพลงเพิ่งคิดได้ตอนเขียนนี่แหละ แอบฮาเองเหมือนกัน

คุณไก่ 555 แหม เดาได้ถูกเหมือนเห็นพล็อตมาก่อนเลยทีเดียว จริงๆ แล้วก็เป็นแบบนั้นล่ะค่ะ หนูไวน์เธอเริ่มปฏิบัติการแล้วด้วยค่ะ

พี่นก GLF ขอบคุณค่า อย่าลืมสัญญานะเออ... หนูจะรอ ^^

น้องแพม อิอิ มาต่อแล้วๆ จริงๆ จะแปะเมื่อวานแต่กลับดึก หมดสภาพอย่างแรงค่ะ ^^'''

คุณ Kwan555 เรื่องเพลงก็นึกได้ตอนเขียนนั่นแหละค่ะ พอดีวันสิองวันนั้นนั่งรถไปทำงานแล้วดีเจเปิดขึ้นมาพอดี เลยเอามาเขียนซะ...
ตอนนี้พระเอกเริ่มเสียฟอร์มไปหน่อยๆ แล้วล่ะ ฮี่ๆ

หนูบ๊วย อิอิ เดี๋ยวค่อยๆ รู้ไปเน้อ

คุณชีสเค้ก ขอบคุณค่า ตอนใหม่มาแล้วนะคะ ^^



แล้วพบกันตอนที่ 6 ค่า จุ๊บๆ



โดย: ...ศุวิลา... วันที่: 9 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:07:58 น.  

 
เย้ มาแล้ว ตอนนี้พระเอกเริ่มมือตก 555 เรื่องของไวน์น่าจะร้องไห้กว่าเรื่องของคุรชายมาดจัดตั้งแยะ

จะเล่าไหมนะ อยากฟังด้วยคนค่า


โดย: Kwan IP: 221.127.47.160 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2550 เวลา:14:21:22 น.  

 
55 หนูไวน์น่ารักง่ะ แถมยังฉลาดด้วย พระเอกควรเริ่มหลงรักได้แล้ว


โดย: ไก่ IP: 124.157.162.81 วันที่: 10 พฤศจิกายน 2550 เวลา:9:42:13 น.  

 
ไม่คิดเลยว่านางเอกของเราก็จะมีปมในใจกับเขาเหมือนกัน

จะเป็นยังไงต่อล่ะทีนี้

รอตอนต่อไปค้า


โดย: อันติกา วันที่: 11 พฤศจิกายน 2550 เวลา:20:11:12 น.  

 
ตอนต่อไปนี่จามาเมื่อไหร่อ่ะ อยากอ่านต่อ
น่าสงสารไวน์จังเลย


โดย: pixie IP: 58.9.78.93 วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:1:16:25 น.  

 
แวะมาเยี่ยมบ้านใหม่ ฮี่ๆ
(แต่รู้สึกว่าตัวเองจะมาช้าไปหน่อยนะ แหะๆ)

แหมๆ เพลงเพราะเชียว
อย่างกับว่าเจ้าของบล๊อกกำลังอินเลิฟอย่างนั้นแหละ

คิดถึงจ๊ะ


โดย: กิ๊ฟ (cupflower ) วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:3:34:08 น.  

 
แวะมาเยี่ยมค่ะ จำกันได้ไหมเอ่ย หลายวันก่อนแอบหนีงานมา mail คุยกันทั้งวันไงคะ

เขียนนิยายได้ตั้งเยอะ อิจฉาจังค่ะ


โดย: ชัชชมนต์ IP: 203.209.97.157 วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:22:21:54 น.  

 
ชอบมากๆๆๆๆ นางเอกน่ารักจัง เป็นคนเพ้อฝัน มองโลกในแง่ดี อัพต่อไวไวนะคะ


โดย: unna_nk IP: 58.10.102.11 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2550 เวลา:21:44:04 น.  

 
ปล่อยให้รอนานจังเลยนะค้า
รออยู่นะคะ
อัพด่วนๆ


โดย: เอ็นเอ IP: 61.90.249.246 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2550 เวลา:23:14:07 น.  

 
ประกาศค่า...


เนื่องจากช่วงนี้ศุวิลาจะยุ่งถึงขีดสุด ประกอบกับกำลังจะไปต่างจังหวัด ดังนั้น ต้องขอโทษนักอ่านที่กำลังรอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อด้วยนะค้า...แล้วสัปดาห์หน้า (ถ้ายังมีชีวิตรอดจากตารางงานสุดโหด) จะมาแปะต่อค่ะ


ต้องขอโทษที่ทำให้รอนะคะ และ Have a nice weekend ค่ะ


โดย: ...ศุวิลา... IP: 81.255.154.129 วันที่: 16 พฤศจิกายน 2550 เวลา:18:59:52 น.  

 
จารอนะค้า


โดย: ไก่ IP: 222.123.128.224 วันที่: 17 พฤศจิกายน 2550 เวลา:21:07:56 น.  

 
สนุกมากคะ อย่าลืมมาอัพบ่อยๆน้า


โดย: Rose IP: 124.121.39.10 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2550 เวลา:12:40:26 น.  

 
แอบมานั่งรอตอนต่อไป

แม้ว่าโน้ตจะยุ่งแค่ไหนก็ตาม

เราก็จะตามมาอ้อนต่อไป

55555555555555


โดย: เชอร์เบต จี๊ดด ด IP: 58.8.231.98 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2550 เวลา:22:32:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

...ศุวิลา...
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




'ศุวิลา' นักเขียนแนว LOVE (ความรู้สึกดี...ที่เรียกว่ารัก) สนพ. แจ่มใส ♥








Friends' blogs
[Add ...ศุวิลา...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.