... ^^ Welcome to suvilajamsai's world ^^...
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
11 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 
Chapter 1

“เฮ้อ อิจฉาจังเลย ตาร้อนจะลุกเป็นไฟพึ่บพั่บอยู่แล้ว…”

เสียงหวานของหญิงสาวนางหนึ่งพร่ำบ่นกับตัวเองซ้ำๆ ราวกับแผ่นเสียงตกร่องที่บริเวณล็อบบี้ของโรงแรมหรูใจกลางเมือง แม้ไม่ได้ตั้งใจจะสร้างความรำคาญให้แก่ผู้ใด หากผู้เป็นเพื่อนที่บังเอิญได้ฟังเสียงโอดครวญของสาวโสดอยากลงจากคานมาระยะหนึ่งแล้วก็อดรนทนไม่ได้จนต้องขัดขึ้น

“นี่! แกจะเป็นบ้าอย่างนี้ไปอีกนานไหม หา ยัยไวน์” คนพูดเท้าสะเอวฉับ “ฉันเห็นแกพูดแบบนี้มาตั้งแต่ก่อนเริ่มงานแต่งยัยอิงแล้ว จนป่านนี้งานเลิกแล้วแกยังไม่เลิกพร่ำเพ้ออีก”

เมื่อถูกว่า ไวน์หรือวิรินดาทำหน้ากระเง้ากระงอดก่อนจะเถียงอ้อมๆ แอ้มๆ อย่างคนที่รู้ว่าตัวเองก็ผิด …แต่ไม่วายมีเหตุผลมาแก้ต่าง

“ก็มันจริงนี่นา…แกไม่เห็นตอนที่ยัยอิงกับพี่หมอก* มองตากันก่อนตัดเค้กเหรอ ฉันนี่เคลิ้มมมมมซะตัวแทบลอยคว้าง เกือบจะละลายระเหยไปกับอากาศธาตุ ยิ่งตอนที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวออกมาพูดความในใจ โดยเฉพาะตอนที่บอกว่าพบรักกันได้ยังไงนะ ฉันนี่แทบจะกรี๊ดดดดด” คนพูดเน้นเสียง กรี๊ดดดดดด ให้คนฟังได้สัมผัสกับกับความแหลมสูงของระดับเสียงไปจนถึงรูหูชั้นในก่อนพูดต่อ “ถ้าไม่กลัวแขกในงานจะแตกตื่นกันซะหมดอ่ะนะ เฮ้อ…อะไรจะปาฏิหาริย์ โซ โรแมนติก ปานฉะนี้”

ยิ่งพูดนัยน์ตาก็ยิ่งเคลิ้มลอยขึ้น ลอยขึ้นทุกที แถมยังยิ่งหวานฉ่ำเสียจนแทบจะเห็นเป็นรูปหัวใจปิ๊งๆ ทำเอาคนเป็นเพื่อนชักจะเวียนเฮดขึ้นมาตงิดๆ

“ฮัลโหลๆ หยูฮู ยัยไวน์ กลับมาก่อน กลับมา” นริสา สาวเปรี้ยวประจำกลุ่มพยายามฉุดกระชากเพื่อนเอาไว้แม้จะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ อาการเพ้อคลั่งเรื่องรักโรแมนติกของวิรินดามักจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่เธอได้สัมผัสกับเรื่องรักของบุคคลใกล้ตัว ซึ่งหากอาการกำเริบเมื่อไร ถือเป็นเรื่องปกติที่เพื่อนๆ ในกลุ่มทุกคนทำใจไว้แล้วว่า ‘กู่ไม่กลับ’ ทางที่ดี คือ เออออห่อหมกไปก่อน เดี๋ยวก็หายคลั่งเอง…ยิ่งตอนนี้เจ้าหล่อนได้แชมเปญเข้าไปในสายเลือดก็ทำให้ยิ่งเพ้อไปกันใหญ่ อะไรก็หยุดไม่อยู่

“เฮ้อ เมื่อไรฉันจะเจอคนคนนั้นของฉันบ้างก็ไม่รู้ คนที่อยู่เพื่อจะเจอกันสักวันหนึ่งของฉันอยู่ที่ไหนบนโลกนี้กันน้า…”

วิรินดาเริ่มรำพันถึงคนรัก (ที่อาจจะยังไม่เกิด) อย่างที่ชอบทำเมื่อเกิด ‘อาการแบบไวน์ๆ’ ขึ้น นริสาอ้าปากอีกครั้ง แต่ช้ากว่านันสินี

“ไอ้สา ฉันว่าตอนนี้แกอย่าเพิ่งพูดอะไรเลยว่ะ” สาวห้าวประจำกลุ่มยั้งไว้เมื่อเห็นสาวเปรี้ยวขยับจะค้านอีกครั้ง “ไอ้ไวน์มันกำลังคลั่ง มันไม่ได้ยินสิ่งที่แกพูดหรอก ตอนนี้น่ะ ในหูมันคงมีแต่สุนทรพจน์ของไอ้อิงกับพี่หมอกนั่นแหละ อีกไม่กี่ชั่วโมง หรือไม่ก็วันสองวันมันคงหาย ไม่เป็นไรหรอก”

“เอางั้นเหรอ” นริสาถามกลับเสียงเบาทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นเลยสักนิด เพราะอย่างไรเสีย ยามนี้โสตประสาทของวิรินดาก็ทำท่าจะไม่ทำงานอยู่แล้ว “แล้วแกล่ะ หลิงหลิง แกว่าไง ส่วนตัวฉันกลัวอาการเพ้อของยัยไวน์จะทำให้มันขับรถไม่ถึงบ้านน่ะสิ”

“เฮ้ย ไม่ถึงขั้นนั้นมั้ง” หลิงหลิง หรือ รัชนรินว่า “ถึงมันจะเพ้อ แต่มันก็ไม่ได้ดื่มเท่าไรนี่หว่า เห็นแค่แชมเปญแก้วเดียวตอนโทสต์ ฉันยังห่วงแกมากกว่าเลยนัน เมื่อกี้ไวน์หมดไปกี่แก้วล่ะ ไม่นับพวกค็อกเทลอีกตั้งกี่ช็อต”

“เฮ้ย ไหวน่า” สาวห้าวโบกมือแล้วก็นึกขึ้นได้ “เออ แล้วไหงมันวกมาเข้าฉันได้วะ ไอ้สา เมื่อกี้เรายังพูดถึงไอ้ไวน์กันอยู่เลยนี่ ที่แกบอกว่ากลัวมันขับรถกลับบ้านไม่ได้หมายความว่าไง”

“อ๋อออออออออ” คนถูกถามลากเสียงยาวก่อนขยายความให้เพื่อนๆ ฟัง “ฉันไม่ได้กลัวมันเมารักจนขับรถไปชนใครเข้าหรอก แต่…ฉันกลัวมันอารมณ์เปลี่ยว ดักฉุดผู้ชายเข้าก่อนถึงบ้านอ่ะดิ”

“ไอ้บ้า!!!”

คราวนี้ทั้งนันสินีและรัชนรินร้องออกมาพร้อมกันเมื่อได้ยินคำตอบอันแสนพิลึกพิลั่นนั้น แม้จะค่อนข้างชินชากับการพูดเล่นแต่แสร้งทำหน้าตายทำเหมือนพูดจริงของเพื่อนคนนี้อยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ก็ยังไม่วายหลงกลเข้าอีกจนได้

“เออ ก็บ้าอ่ะดิ พวกแกก็ คิดเป็นจริงเป็นจังไปได้”

“อย่าทำเป็นเล่นไปนะ สา” รัชนรินพูดยิ้มๆ “เมื่อคืนฉันอ่านข่าวจากเว็บซีเอ็นเอ็น เขาบอกว่า ที่ปากีสถาน ผู้หญิงราวๆ สี่สิบเปอร์เซ็นต์แต่งงานเพราะถูกคิดแน็ป (kidnap)”

“หา!!!”

อีกสองสาวที่เพิ่งจะได้รับฟังข้อมูลอันน่าเหลือเชื่อร้องลั่น…ก็น่าจะตกใจอยู่หรอก ประชากรหญิงเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศจำต้องแต่งงานเพราะถูกลักพาตัว…โอ้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องแบบนี้ยังมีอยู่จริงในโลกยุคมิลเลเนียม

“จริงๆ นะพวกแก” คนเล่ายังยืนยัน “แล้วพอไปแจ้งตำรวจนะ ตำรวจก็ไม่ทำอะไรเลย บอกว่าเป็นเรื่องธรรมดา”

“เออ โลกเรามันเพี้ยนไปแล้วจริงๆ ว่ะ สงสารผู้หญิงในประเทศนั้นจริงๆ”


สามสาว (ที่ไม่รวมคนเพ้ออีกหนึ่ง) ยังคงถกเถียงกันถึงสถานการณ์โลกกับความปลอดภัยของผู้หญิงที่นับวันจะวิกฤตยิ่งขึ้นทุกทีอีกพอหอมปากหอมคอ ก่อนที่จะตกลงใจแยกย้ายกันขับรถกลับบ้านเพราะยามวิกาลของเมืองไทยก็เป็นอันตรายต่อสาวๆ (ที่สวยๆ) แบบพวกเธอมากเช่นกัน โดยหารู้ไม่ว่าคนที่เงียบอยู่คนเดียวได้ยินคำพูดตอนหลังๆ ผ่านหูโดยตลอด

“จะบ้าไปใหญ่แล้วยัยพวกนี้ ฉันไม่ได้ว้อนท์ถึงขนาดนั้นซะหน่อย แค่ชื่นชมชีวิตรักคนอื่นนิดหน่อยเอง ช่วยไม่ได้ ก็คนมันโสดนี่”

วิรินดาบ่นกับตัวเองขณะขับรถออกจากโรงแรมห้าดาวหรูหราใจกลางกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นประกอบพิธีแต่งงานของเพื่อนสนิทคนหนึ่งในกลุ่ม…นึกแล้วก็ใจหาย ห้าสาวแสบนิสัยต่างขั้วที่เคยเกาะกลุ่มกันโสดอย่างเหนียวแน่นสละโสดไปหนึ่งแล้ว ซึ่งหมายความว่า จำนวนผู้ร่วมชะตากรรมขาดคู่กับเธอเหลือเพียงแค่สามเท่านั้นเอง

“ว่าแต่แถวนี้มีเซเว่นไหมเนี่ย…”

หญิงสาวยังคงพึมพำกับตัวเองพลางสอดส่ายสายตาไปรอบๆ เพื่อหาร้านสะดวกซื้อ…ไม่ใช่ว่าเธอเป็นคนกระเพาะใหญ่กินจุหรืออะไรนะ เดี๋ยวจะเข้าใจผิด แต่ที่ชักจะหิวก็เพราะเมื่อตอนที่อยู่ในงานมัวแต่อินกับบรรยากาศมากไปหน่อย รู้ตัวอีกที อ้าว…ทั้งโต๊ะเหลือแต่ดอกไม้กับเทียนไขสีสวย ส่วนอาหารฟูล คอร์สถูกเก็บไปหมดแล้ว ไม่เหลือแม้แต่ของหวาน

เครื่องยนต์ถูกดับลงเมื่อดวงตากลมมองเห็น ’เป้าหมาย’ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแสงสว่างแห่งเดียวในย่านที่ค่อนข้างเปลี่ยวเช่นนี้ ทว่าหญิงสาวไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกแล้วในยามนี้นอกจากเรื่องของปากท้อง

…อืม ดึกๆ แบบนี้ สโมกกี้ ไบท์ สักอันท่าจะไม่เลว มากกว่านี้เดี๋ยวจะอ้วน คิดอย่างนี้แล้วหญิงสาวจึงหยิบเพียงธนบัตรใบละยี่สิบออกมาจากกระเป๋าสตางค์ก่อนที่จะเปิดประตูก้าวออกจากรถ


“พี่ ดึกๆ มาทำอะไรแถวนี้”

“ใช่ๆ ให้พวกผมอยู่เป็นเพื่อนเอาเปล่า”

น้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนเด็กวัยรุ่นชนิดไม่น่าคบค้าสมาคมด้วยดังขึ้นใกล้ๆ จากด้านหลังทำให้วิรินดาสะดุ้ง หันขวับไปตามเสียงอย่างหวาดหวั่น นึกว่าตัวเองเจอดีเข้าแล้ว เมื่อกี้เพื่อนๆ ยังพูดถึงภัยผู้หญิงกันอยู่แหม็บๆ จะนึกตำหนิตัวเองว่าไม่น่าประมาทตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว

…แต่ไม่ใช่ เด็กวัยรุ่นสองคนนั้นไม่ได้พูดกับเธอ หากแต่เป็นผู้ชายแต่งตัวดีคนหนึ่งต่างหาก ที่เธอรู้ว่า ‘เขา’ เป็นหญิงหรือชาย เพราะร่างตะคุ่มๆ ที่เห็นในเงามืดนั้นสูงใหญ่และถูกห่อหุ้มด้วยชุดสูทของบุรุษสีดำสนิท

“ว่าไง พี่ ผมพูดด้วยทำไมไม่พูดด้วย หยิ่งเหรอ”

คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่คนอื่นในโลกคิดจะทำ แต่ไม่ใช่วิรินดา แทนที่จะรีบหนีไปไกลๆ แบบที่คนเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ในโลกนี้เขาทำกัน หญิงสาวกลับทำตัวเป็นพวกหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่เหลือ เธอย่องเข้าไปใกล้จุดที่เด็กหนุ่มสองคนนั้นพูดกับชายคนนั้น แล้วก็เข้าใจว่าทำไมทั้งสองถึงอยากอยู่เป็นเพื่อนเขาเสียเหลือเกิน

…ก็พ่อเจ้าประคุณเล่นทรงทั้งโทรศัพท์มือถือยี่ห้อดังรุ่นใหม่ล่าสุดที่เธอกำลังอยากได้ ไหนจะปากกาด้ามหรูที่ไม่รู้ว่ายี่ห้ออะไร รู้แต่ว่าราคาน่าจะถึงตัวเลขห้าหลักที่เสียบอยู่ที่กระเป๋าเสื้อนอกราคาแพง แหวนทองวงบักเอ้กที่สวมล่อตาล่อใจโจรก็ยังโดดเด่นแวววับอยู่ที่นิ้วกลาง แถมที่คอ ดูเหมือนจะมีสร้อยทองอีกเส้นเสียด้วย
และกลิ่นแอลกอฮอล์ค่อนข้างฉุนก็โชยออกมาจากร่างเขาไม่ใช่น้อย

…แต่งตัวก็ดี หน้าตาก็เหมือนจะดี แถมยังทรงเครื่องฟูล ออพชั่น มานั่งเมาอยู่มืดๆ คนเดียวแบบนี้ อยากบริจาคเงิน แถมบริจาคเลือดนักหรือยังไงก็ไม่รู้!

“อ้าว แล้วพี่สาวล่ะเป็นใคร มายุ่งอะไรด้วยเนี่ย”

แอบยืนซุ่มเป็นไชนีส-ไทยมุงในระยะประชิดอยู่ดีๆ หนึ่งในสองวัยรุ่นก็หันมาเห็นเธอเข้าจนได้ ‘พี่สาวจอมยุ่ง’ ส่งยิ้มแหยๆ เข้าทำนองยิ้มสู้เสือไว้ก่อน เดี๋ยวก็ดีเองไปให้

“อ๋อ พี่มารับ…เพื่อนน่ะ”

“อ้าว มารับเพื่อนก็ไปรับสิพี่ มายืนอยู่นี่ทำไมล่ะ”

เด็กอีกคนหนึ่งหันมาทำหน้ากวนอวัยวะส่วนล่างสุดของร่างกาย นิ้วเรียวที่ตัดเล็บจนสั้นสะอาดเรียบร้อยจึงชี้ไปที่ชายหนุ่มในชุดสูทที่ยังนั่งซึมกระทือด้วยฤทธิ์สุราจนไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งรอบข้าง

"ก็คนที่น้องคุยด้วยอยู่นั่นแหละ เพื่อนพี่”

วัยรุ่นทั้งสองมองหน้ากันอย่างปรึกษาหารือ แต่แล้วก็หาว่าเธอโกหกตอแหล วิรินดาจึงต้องอาศัยความฉลาดจากสมองที่ไม่ถูกกัดกร่อนเพราะสุราและสารเสพติดแบบเด็กสองคนนี้เข้าช่วยในสถานการณ์เฉพาะหน้า

“โอเค ไม่เชื่อก็ตามใจนะน้อง งั้นพี่ไปล่ะ แต่ก่อนไปพี่ขอเตือน เพื่อนพี่คนนี้ไม่ใช่ธรรมดา” หญิงสาวปั้นเรื่อง แสดงสีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้น้ำเสียง ”ถ้าน้องอยากอยู่เป็นเพื่อนเขาก็ตามใจ แต่พอเขาสร่างเมื่อไรช่วยบอกเขาไปให้มอบตัวด้วยแล้วกัน”

“มอบตัว??” คนที่หน้าตากวนประสาทมากกว่าถาม “เพื่อนพี่ทำอะไรมาล่ะ ขับรถฝ่าไฟแดง แย่งอมยิ้มเด็ก จอดรถตรงที่ห้ามจอดหรือไง”

พูดแล้วทั้งสองก็หัวเราะกันราวกับเป็นเรื่องขบขันเสียเต็มประดา จนวิรินดาชักฉุน
“อ๋อ เปล่า” หญิงสาวพยายามพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ สีหน้าเฉยๆ เหมือนไม่ได้พูดเรื่องสลักสำคัญ “เพื่อนพี่แค่โดนข้อหาฆ่าคนตายมาน่ะ”

“หา อะไรนะพี่!!!”

“พวกน้องได้ยินแล้วนี่” วิรินดายังไม่เลิกทำเสียงสบายๆ เป็นปกติ “คืองี้นะ เมื่อกี้พี่กับเพื่อน เราไปงานเลี้ยงด้วยกันมา แล้วมีเจ้าพ่อหรืออาเสี่ยนักธุรกิจอะไรสักอย่างนี่แหละพูดจาไม่เข้าหูอยู่สองสามคำ เพื่อนพี่แกเมาๆ อยู่หยิบปืนขึ้นลั่นไกเลย โป้งเดียว จอด สมองงี้กระจายไปคนละทาง เลือดบางส่วนยังกระเซ็นมาโดนพี่กับคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เลย…”

เห็นสีหน้าหวั่นๆ ยามหันไปมองชายหนุ่มในชุดสูทที่มีวี่แววว่าอาจจะโหดเหี้ยมไม่ใช่เล่นยามอารมณ์เดือดพุ่งพล่านขึ้นมา แล้วหันกลับมามองเธอที่อยู่ในชุดราตรีที่มีเสื้อสูททำงานสวมคลุมอยู่อย่างเรียบร้อย หญิงสาวก็ยกมือขึ้นเลิกสาบเสื้อบริเวณใต้คางออกเล็กน้อยเหมือนกับว่าเธอใช้เสื้อคลุมปกปิดรอยเลือดที่เปื้อนเสื้อผ้าบริเวณไหล่

เพื่อให้ได้ผลอย่างแน่นอน ริมฝีปากสีสดกล่าวสำทับอีกนิด

“พี่ยังเคยเตือนเลยว่าอย่าทำแบบนี้อีก ฆ่าคนตายน่ะมันเป็นบาป ถึงแม้คุกจะขังไม่ได้เพราะเพื่อนพี่อิทธิพลเยอะ เส้นใหญ่ แต่ก็วุ่นวาย ต้องไปเคลียร์เรื่องอะไรยุ่งยากหลายอย่าง แต่เขาก็ไม่เชื่อ ยังชอบยิงคนเป็นว่าเล่น ยิ่งคนไหนเข้ามากวนๆ ให้รำคาญนะ ไม่มีเหลือ…เฮ้อ พี่ล่ะเบื่อจริงๆ นี่เดี๋ยวก็ต้องไปโรงพักกันอีกแล้ว”


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผลที่ออกมาจะเป็นยังไง หลังจากทั้งสองเห็นวิรินดาพูดราวกับการไปโรงพักด้วยข้อหาฆ่าคนตายไม่ต่างจากการไปเดินซื้อของใช้จำเป็นที่ห้างสรรพสินค้าก็ขอตัวขึ้นมอเตอร์ไซค์หนีไปแทบไม่ทัน…หญิงสาวยังอุตส่าห์ใจดีให้แบงก์ยี่สิบที่ถือมาเป็นค่าสโมกกี้ ไบท์ แถมท้ายไปด้วย

“ไม่ใช่อะไรนะ เงินนี่พี่ให้เอาไปกินข้าว จะได้มีแรงออกหางานดีๆ ทำ เข้าใจไหม”

“ครับ พี่ ผมเข้าใจซาบซึ้งมากเลยครับ ไปแล้วครับ”

ว่าแล้วทั้งสองก็รีบบึ่งมอเตอร์ไซค์ไป ทิ้งให้คนที่ยังมีสติอยู่คนเดียว ณ ที่นั้นส่ายหน้าช้าๆ

…โธ่เอ๊ย มุกโกหกตื้นๆแค่นี้ก็เชื่อ หลอกง๊ายยยยยง่าย เชื่อแล้วว่ายาเสพย์ติดทำให้คนสมองฝ่อลงจริงๆ

ว่าแต่…จะทำยังไงกับอีตานี่ดีล่ะเนี่ย หญิงสาวคิดอย่างกลุ้มๆ หลังจากเพิ่งจะโล่งใจมาได้ไม่ทันไร จริงอยู่ เธออาจช่วยเขามาได้ครั้งหนึ่ง แต่ไม่มีอะไรรับประกันว่าเขาจะอยู่รอดปลอดภัยไปจนสร่างเมานี่นา

จะให้ทิ้งไว้อย่างนี้คงไม่ดีแน่ ประเดี๋ยวก็มีคนอยากลอกคราบอีก วัตถุติดตัวพ่อเจ้าประคุณยิ่งล่อตาล่อใจน้อยอยู่เสียที่ไหน

หลังจากพินิจดูชายหนุ่มที่นั่งง่วงซึมอยู่เงียบๆ ตลอดเวลาที่เธอโม้แตกหลอกเด็กอีกสักครู่ก็ตัดสินใจได้ ขายาวๆ จึงก้าวเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา

“คุณ คุณ” เธอเอื้อมมือไปสะกิดหากไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง หญิงสาวจึงใช้สองมือประคองใบหน้าเขาให้เงยขึ้นสบตา ก่อนจะพูดชัดๆ ช้าๆ “คุณได้ยินฉันไหมคะ”


“ก้าวอีกหน่อยสิคุณ ก้าว ก้าว นั่นแหละ เข้าประตูมา นั่น ถึงสักที!”

พลเมืองดีสาวร้องอย่างดีใจขณะพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเล็กอย่างหมดแรงหลังจากกลับมาถึงห้องพักส่วนตัวบนคอนโดมิเนียมหรู…ก็โซฟาตัวยาวเธออุทิศให้ร่างของเขาขึ้นไปนอนเหยียดแล้วนี่

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอทำอย่างที่นริสาว่าจริงๆ หญิงสาวซบใบหน้าลงกับพนักพิงอย่างเหนื่อยอ่อน…ก็น่าอยู่หรอก แบกวัตถุที่มีน้ำหนักมากกว่าตัวเองกลับมาได้ก็นับว่าอึดนักหนาแล้ว

อาจเป็นเพราะความเหน็ดเหนื่อยปนความกลัดกลุ้มทำให้เธอไพล่ไปนึกโทษเพื่อนผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย

บ้าจริงๆ ยัยสา ยัยปากพระร่วง ยัยปากศักดิ์สิทธิ์ ดูเถอะ…พูดอะไรออกมาก็เป็นจริงทุกทีสิน่า คราวยัยอิงก็ทีแล้ว ใครๆ ก็บอกว่าไม่มีทางที่ยัยอิงจะเจอนายหมอก คนที่นอกจากชื่อแล้วก็ไม่รู้จักอะไรเลยอีกครั้งแน่ๆ มีแต่ยัยสานี่แหละที่บอกว่าไม่แน่นะ นายหมอกคนนั้นอาจจะเป็นคนที่บิดาของเธอบัญชาให้กลับมาพบกันก็ได้ แล้วมันผิดไปจากที่พูดเสียที่ไหนล่ะ

ดูซิ คราวนี้แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังเผลอพาผู้ชายที่ไหนไม่รู้ติดมือกลับมาบ้านด้วยจนได้!

เจ้าของห้องเพ่งพิศ ‘ผู้ชายที่ไหนไม่รู้’ ที่ยังคงนอนสลบไสลไม่ได้สติแล้วคลายใจเล็กน้อยเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะได้สติก่อนถึงรุ่งเช้า เวลานี้เขาคงไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน…ดูเหมือนเขาจะเป็นพวกเมาแล้วง่วงซึม พอถึงตอนนี้ก็เลยหลับสนิทไปเลย

…ยังดีนะ ไม่หลับไปก่อนที่จะพาขึ้นมาจนถึงห้อง ไม่อย่างนั้นผู้หญิงตัวผอมบางอย่างวิรินดาคงแบกร่างเขาขึ้นมาไม่ไหวแน่ คงจะต้องอาศัยแรงสมหมาย ซีเคียวริตี้ การ์ด ประจำตึก ที่เธอมักจะให้สินน้ำใจที่เขาคอยดูแลรถให้เธอเป็นอย่างดี แถมยังช่วยนั่นช่วยนี่จิปาถะเป็นผู้ช่วยจำเป็น

…พูดแล้วก็นึกขึ้นได้ เหมือนเมื่อกี้เห็นแวบๆ ว่าสมหมายจะมองเธอยิ้มๆ เมื่อเธอกึ่งลาก กึ่งแบก กึ่งจูง บุรุษนิรนามเข้ามาในล็อบบี้ของคอนโด และกดลิฟท์พาขึ้นมาถึงในห้องพัก

ตายละวา สงสัยพรุ่งนี้ได้เป็นข่าวลือกระฉ่อนไปทั้งตึกแหงๆ ว่าคุณไวน์ห้อง 1407 เกิดอาการหื่นขนาดหนักถึงขนาดมอมเหล้าผู้ชายมาปู้ยี้ปู้ยำถึงในคอนโด! หมดกัน ชื่อเสียงอันดีงามที่สั่งสมมา!

แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ก็ตัวเธอเองเป็นคนหาเรื่องฉกตัวเขามาเองนี่นา…แหม จะให้ปล่อยให้เขาเมาแล้วถูกรูดทรัพย์หมดตัว หรือที่แย่กว่านั้น ถูกรูดทรัพย์แล้วเชือดคอหมกป่า หรือจับไปถ่วงทะเลทิ้งให้ฉลามกินก็ทำใจไม่ได้จริงๆ ดูมันออกจะไร้มนุษยธรรมเกินไปหน่อย

นั่งพักจนหายเหนื่อย หญิงสาวตัดใจลุกขึ้นไปอาบน้ำ สวมชุดนอนจนเรียบร้อย ขณะเดินออกมาดื่มน้ำก่อนเข้านอน เธอก็เพิ่งนึกขึ้นได้

…ให้นอนทั้งอย่างนี้คงไม่ดีแน่

สภาพของเขาตอนนี้ยับยุ่งพอสมควร เสื้อเชิ้ตสีขาวเนื้อดีตอนนี้มีรอยยับทั่วไปหมด เน็คไทที่แอบเห็นว่ามีโลโก้แบรนด์เนมตัวเล็กๆ กระจายอยู่ทั่วถูกรูดลงมาจนถึงกระดุมเม็ดที่สอง เห็นอย่างนั้นเธอก็ถอนหายใจก่อนที่จะเดินเข้าห้องน้ำ หยิบกะละมังมารองน้ำอุ่นแล้วฉวยผ้าขนหนูผืนเล็กวกกลับมาที่ห้องนั่งเล่น

มือเรียวบางค่อยๆ ถอดเสื้อสูทของเขาออกอย่างเบามือ เสื้อสูทที่ตอนแรกคิดว่าเป็นสีดำ มองใกล้ๆ ถึงได้เห็นว่าเป็นสีน้ำเงินเข้มเกือบดำต่างหาก แถมตรายี่ห้อที่ปะหราอยู่ด้านในของเสื้อทำให้หญิงสาวแทบลมจับ

…ต๊ายตาย ฉันไปลักพาตัวเศรษฐีที่ไหนมาเนี่ย

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เธอตัดสินใจถอดเน็คไทราคาแพงแต่ดูน่าอึดอัดออกมาด้วย ก่อนที่จะนำไปแขวนพร้อมกับเสื้อสูท

“หลับลึกจริงๆ เลยน้า ถึงขนาดนี้แล้วยังไม่ตื่นอีก”

วิรินดาพึมพำกับตัวเองขณะใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นพอหมาดๆ เช็ดไปตามใบหน้าของเขา เมื่อเพ่งพิศใบหน้าที่ถูกเช็ดจนสะอาดถนัดชัดเจน เธอก็เห็นดีเห็นงามกับการตัดสินใจของตัวเอง

…ดีนะเนี่ย ตัดสินใจถูกจริงๆ ที่เก็บมา ขืนปล่อยทิ้งไว้แล้วเกิดอะไรขึ้นจนหน้าตาหล่อๆ แบบนี้เสียโฉมไปล่ะน่าสงสาร (และน่าเสียดาย) แย่เลย

แล้วไงต่อ…เจ้าของห้องสาวคิด ติดกระดุมเสียแน่นแบบนี้คงอึดอัดน่าดู

มือน้อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเขาออกเม็ดหนึ่ง ลากผ้าไปตามลำคอของเขา แต่ดูเหมือนจะไม่เพียงพอ หญิงสาวตัดสินใจปลุดกระดุมอีกเม็ด

สาบานได้ว่าไม่ได้คิดจะลวนลามเขาเลยแม้แต่นิดเดียว จริงๆ นะ แค่จะเช็ดตัวให้ เท่านั้นเอง!

แต่ทุกอย่างหยุดอยู่เพียงแค่นั้น วิรินดาตัดสินใจว่าเช็ดตัวแค่นี้คงจะพอ (จริงๆ แล้วคือกลัวตัวเองอดใจไม่ไหว) หญิงสาวหยิบกะละมังขึ้น ขยับลุกกลับเข้าห้อง

“…”

เสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ดังมาจากร่างที่นอนไม่ได้สติ หญิงสาวแอบเห็นว่าที่หางตาข้างหนึ่งมีน้ำตาซึม แต่ก็เพียงนิดเดียวเท่านั้น

“สงสัยจะเสียอกเสียใจอะไรมาล่ะมั้ง ถึงได้กินเหล้าเมามายไม่ได้สติขนาดนี้”

เจ้าของห้องพึมพำกับตัวเองขณะหยิบผ้าห่มมาคลุมร่างยาวเหยียดอย่างเบามือที่สุด


เช้าวันใหม่ พลเมืองดีสาวย่องออกมาจากห้องนอนส่วนตัวอย่างเงียบกริบ เธอไม่รู้ว่า ‘แขก’ จำเป็นที่เธอพาตัวมาเมื่อคืนนี้ตื่นหรือยังจึงไม่อยากทำเสียงดังรบกวนให้เขาตื่นขึ้นมากลางคัน…ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเกรงอกเกรงใจขนาดนั้นในเมื่อเธอเป็นเจ้าของห้อง

แต่เมื่อเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนโซฟายังคงอยู่ในสภาพเก่า หญิงสาวก็ตัดสินใจเดินเข้าครัว จัดการเตรียมอาหารเช้าง่ายๆ ก่อนไปทำงานเหมือนทุกวัน จนกระทั่งราวๆ สิบนาทีผ่านไป เธอถึงได้ยินเสียงคนขยับตัวอยู่บนโซฟาของเธอ

“คุณ นี่คุณ!!”

เสียงห้วนของคนแปลกหน้าที่เดินเข้ามาในห้องครัวทำให้วิรินดาละสายตาจากอาหารที่อยู่ในกระทะหันไปมองแวบหนึ่ง

“อ้าว สวัสดีค่ะ อ่า…คุณตื่นแล้วหรือคะ”

เจ้าของห้องทัก ตะกุกตะกักเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร มีคำอธิบายมากมายที่เธอจำเป็นต้องบอกเขา อย่างน้อยก็เหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ที่นี่ นอกจากนั้น เธอเองก็มีอะไรอีกมากมายที่อยากจะถามเขาเช่นกัน แต่ทว่า…

“สวัสดีบ้าอะไรล่ะ ที่นี่ที่ไหน คุณเป็นใคร แล้วผมมาที่นี่ได้ยังไง ข้าวของของผมอยู่ที่ไหน ตอบมาให้หมด!!”

ร่างที่ง่วนอยู่หน้าเตาหมุนปิดแก็สก่อนจะหันมาเผชิญหน้าบุรุษที่เธอ ‘เก็บ’ มาจากแถวร้านสะดวกซื้อเมื่อคืนนี้อย่างเต็มตา สภาพของเขายังดูยับๆ ไม่ต่างจากเมื่อคืน ผมเผ้ายุ่งเหยิง คิ้วคมได้รูปขมวดมุ่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย ขัดกับบุคลิกที่ท่าทางจะเป็นหนุ่มเนี้ยบแบบสุดขั้ว แถมยังท่าทางจะชอบวางอำนาจเสียด้วยสิ ดูจากประโยคแรกที่เอ่ยกับเธอก็พอจะเดาได้

ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังใจเย็นพอจะโต้ตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล…ซึ่งอาจเป็นเพราะความเคยชินกับการรับมือคนเอาแต่ใจตัวเองที่ต้องทำอยู่เป็นนิจ

“ถามทีละคำสิคะ เล่นถามเป็นชุดแบบนี้ใครจะไปตอบคุณทันล่ะ”

“ไม่เป็นไร ตอบทีละอย่างก็ได้ แต่ต้องตอบให้ครบ!”

ชายหนุ่มยังคงสั่ง วิรินดาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ผู้มาเยือนฟัง

…อ้อ แต่เล่าข้ามๆ ในส่วนที่เธอหลอกเด็กวัยรุ่นดมกาวสองคนนั้นไป เพราะดูจากท่าทางของเขาในวันนี้ หญิงสาวกลัวว่าตัวเองจะถูก ‘วิสามัญ’ เข้าจริงๆ

“เรื่องทั้งหมดก็เป็นอย่างนี้ล่ะค่ะ ทีนี้เข้าใจหรือยังว่าฉันไม่ได้มีเจตนาจะอุ้มคุณมาลอกคราบ ข้าวของคุณฉันก็วางเอาไว้ที่โต๊ะรับแขกนั่นแหละ ส่วนสูทกับเน็คไทฉันไม่อยากให้มันยับเลยเอาไปแขวนไว้ที่หน้าตู้เสื้อผ้าในห้องฉัน ถ้าคุณต้องการฉันจะไปหยิบมาให้เดี๋ยวนี้เลย”

“อ้อ…” ใบหน้ายุ่งๆ ของชายหนุ่มมีสีระเรื่อแต่งแต้มเล็กน้อยหลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมด เขาคงรู้สึกผิดที่โวยวายใหญ่โตก่อนที่จะรู้ต้นสายปลายเหตุจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงว่า “ถ้าอย่างนั้น…เอ่อ ผมก็ขอบคุณ”

แม้จะกล่าวขอบคุณ หากหางเสียงนั้นก็ยังฟังดูยโสเหมือนกับว่าเขาไม่ค่อยได้ใช้คำนี้บ่อยนัก แต่คนฟังกลับไม่ถือสา จะว่าชินก็อาจจะใช่

“ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่คุณหิวหรือเปล่าคะ”

ชายหนุ่มสั่นหน้า ความรู้สึกเดียวของเขาในตอนนี้คือปวดหัวตุ้บๆ เหมือนข้างในศีรษะจะระเบิด วิงเวียนจนตาลาย และคล้ายๆ ว่า…

“ห้องน้ำอยู่ไหน”

หญิงสาวรีบชี้บอกทางไปห้องน้ำส่วนตัวให้เขา ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะรีบวิ่งไปอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องบอกวิรินดาก็พอจะเดาได้ว่าเขาคงจะ ‘คายของเก่า’ ออกมาจนหมดไส้หมดพุงเป็นแน่แท้

เฮ้อ…ห้องน้ำแสนสวย ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้

ชายหนุ่มนิรนามหายตัวไปนานพอสมควร จนวิรินดาเตรียมอาหารเช้าให้ตัวเองและทำเผื่อเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว แถมกำลังคิดจะแอบชิงลงมือเล็มๆ นิดๆ หน่อยๆ ก่อนแล้วด้วยซ้ำ (ช่วยไม่ได้ สุดท้ายเมื่อคืนนี้เธอก็ไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องสักคำเลยนี่) เขาก็เดินเข้ามาหาเธอในสภาพที่อ่อนล้าและยับยุ่งมากกว่าเดิม

“ดีขึ้นบ้างไหมคะ”

เจ้าของห้องสาวถามด้วยความห่วงใย ก็เธอเคยเป็นที่ไหนกันเล่าอาการเมาค้างแบบนี้ แค่ดื่มจนมึนยังไม่เคยเลยด้วยซ้ำ

คนถูกถามพยักหน้านิดๆ แทนคำตอบ หากวิรินดาไม่รู้สึกถึงคำว่า ‘ดีขึ้น’ เลย อย่างน้อยท่าทางของเขาก็บอกเช่นนั้น เธอจึงเปิดซุปไก่สกัดที่มีติดห้องไว้แล้วส่งให้

“มันอาจจะเหม็นคาวสักหน่อย แต่ดื่มให้หมดนะคะ”

คนเมาค้างรับไปด้วยสีหน้าเคลือบแคลงใจ หญิงสาวจึงต้องอธิบายเพิ่มเติม

“ยัยนัน…เอ่อ เพื่อนสนิทฉันน่ะค่ะ เป็นนักดื่มตัวยงเลย เลยมักจะมีอาการแบบนี้บ่อยๆ เขาเคยบอกว่าถ้าตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วยังปวดหัว มึนๆ ให้ดื่มพวกซุปไก่เข้าไปจะทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นน่ะค่ะ”

“อ้อ”

ชายหนุ่มส่งเสียงแสดงอาการรับรู้ ก่อนจะกระดกมันเข้าไปทั้งหมดรวดเดียว ซึ่งคำแนะนำของนันสินีดูเหมือนจะได้ผลดี เพราะใบหน้าขาวๆ ของคนแฮงก์โอเวอร์แลดูสดใสขึ้นเล็กน้อย

ไม่หรอก…อาการของเขาดีขึ้นมากพอควรเลยต่างหาก เพราะเขาเริ่มจะสนใจสิ่งอื่นๆ นอกเหนือจากอาการปวดหัวได้แล้ว อย่างเช่น สุขอนามัยของตัวเอง เพราะเขาเริ่มใช้ดวงตาคมๆ ที่ยังมีรอยแดงปรากฏอยู่สำรวจพิจารณาสภาพ ‘ขี้เมา’ ของตัวเองสลับกับหญิงสาวเจ้าของห้องที่สะอาดเรี่ยมเร้เรไรและหอมกรุ่น…

“คุณอยากอาบน้ำใช่ไหมล่ะคะ” วิรินดาเอ่ยขึ้น ก่อนจะเสนออย่างเต็มอกเต็มใจว่า “ถ้าอย่างนั้นเชิญตามสบายนะคะ…เอ้อ คือ ยังไงฉันก็ไม่ปล่อยให้คุณอยู่ในสภาพนี้อยู่แล้ว คือ…ฉันว่าบางทีถ้าได้อาบน้ำคุณอาจจะรู้สึกดีขึ้น หรือไม่ก็…”

ยิ่งอธิบาย หญิงสาวก็รู้สึกเหมือนตัวเองพูดเพ้อเจ้อ สับสนวกวน แต่จะให้ทำยังไงได้ ก็วิรินดาคุ้นเคยกับผู้ชายที่อายุมากกว่า 12 ปีเสียที่ไหน ยิ่งชายหนุ่มจ้องหน้าเธอเหมือนเจ้านายที่จ้องจับผิดลูกน้อง เธอก็ยิ่งพูดตะกุกตะกัก ผิดๆ ถูกๆ …หากวิรินดาก็บอกตัวเองว่าดูเหมือนเธอจะคิดมากไปเอง เพราะนอกจากชายหนุ่มจะขออนุญาตใช้ห้องน้ำด้วยน้ำเสียงที่สุภาพขึ้นแล้ว เขายังหันมาขออนุญาตอะไรอย่างหนึ่งที่ทำให้เธอถึงกับอึ้ง

“ถ้างั้น…ผมขอยืมใช้โฟมล้างหน้ากับครีมบำรุงผิวของคุณด้วยก็แล้วกันนะ”

เพราะในห้องครัวไม่มีกระจก เจ้าของห้องจึงไม่รู้ว่าสีหน้าของตัวเองขณะนี้เป็นอย่างไร แต่มันคงจะเหวอและเอ๋อน่าดูทีเดียว

“…ค่ะ ได้ค่ะ”

จนเขาเดินไปตั้งหลายก้าวแล้ว หญิงสาวถึงเพิ่งจะมีสติร้องบอกตามไป

“โฟมล้างหน้าอยู่ข้างอ่างล้างมือนะคะ ส่วนครีมอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง เอ๊ะ…ฉันว่าฉันหยิบให้คุณเองดีกว่า”

เจ้าของห้องสาวเท้าตามไปอย่างรวดเร็ว กวาดสารพัดครีมบำรุงผิวหลากชนิดโดยไม่ดูว่าอะไรเป็นอะไรจากโต๊ะเครื่องแป้งมายัดใส่มือคนที่ถามหา จากนั้นก็หยิบผ้าขนหนูผืนใหม่สะอาดส่งให้เขา

…เอ หรือว่าจะเป็นเกย์หว่า

ดวงตากลมใสมองตามร่างสูงที่หายเข้าไปในห้องน้ำอย่างแสนเสียดาย…ว่าแล้วไหมล่ะ ผู้ชายหน้าตาดีๆ แต่งตัวเนี้ยบๆ แบบนี้ ถ้าไม่มีเจ้าของแล้วก็ต้องเป็นเกย์แหงๆ มันน่าเจ็บใจแทนประชากรผู้หญิงในโลกนี้ทุกคนจริงๆ ให้ตายสิ!!

แล้วสาวโสดอย่างเธอ จะเหลืออะไรไว้ให้หวังอีกล่ะนี่…





* อิงกับหมอกเป็นพระเอกนางเอกของเรื่องสั้น ‘สารภาพ (ไม่) รัก’ ใน ครสด 23


Create Date : 11 ตุลาคม 2550
Last Update : 13 ตุลาคม 2550 1:58:58 น. 14 comments
Counter : 722 Pageviews.

 
สวัสดีค่า ทุกท่าน ^^

อย่าตกใจหรือคิดว่าโน้ตขยันนะคะ แหะๆ จริงๆ ก็ยังงานยุ่งและพร้อมจะดองนิยายเหมือนเดิมค่ะ (ฮา...) แต่เรื่อง Kidnap Love นี้เป็นเรื่องที่โน้ตเริ่มไว้นานแล้วและค้างเติ่งอยู่ในอีกบล็อกมานานข้ามปี เลยเอามาปัดฝุนกวาดหยากไย่เล็กน้อยแล้วย้ายมาแปะในบล็อกศุวิลาค่า

ยังไงก็เอาใจช่วยกันด้วยนะค้า โน้ตก็อยากเขียนนิยายให้จบไวๆ เน้อ


โดย: ...ศุวิลา... วันที่: 11 ตุลาคม 2550 เวลา:2:38:54 น.  

 
นั่นสิ จำได้ว่าเหมือนจะอ่านแล้วนี่นา แต่อยากอ่านต่อน่ะ จะมาอัพจนจบใช่มะคะ


โดย: ไก่ IP: 222.123.132.240 วันที่: 11 ตุลาคม 2550 เวลา:3:25:38 น.  

 
เดี๋ยวพี่ช่วยทวงให้ หุหุ
ถามเอ้ยจังได้ว่าได้ผลไหม ฮา

หุหุ ว่าแล้วก็แว๊บไปอ่าน


โดย: จริง IP: 58.136.193.250 วันที่: 11 ตุลาคม 2550 เวลา:9:02:51 น.  

 
ตอนใหม่อ่ะตอนใหม่

อิอิ ไม่ได้เร่งรัดอะไรเล้ย...แค่ขอตอนใหม่



โดย: อันติกา วันที่: 12 ตุลาคม 2550 เวลา:17:00:31 น.  

 
มาเยี่ยมจ้า รออ่านแบบเป็นเล่มน้า


โดย: วลีวิไล วันที่: 12 ตุลาคม 2550 เวลา:18:53:28 น.  

 
สวัสดีค่า ขอบคุณทุกๆ ท่านที่มาติดตามอ่านและคอมเมนต์ให้นะคะ แอบบอกว่าโน้ตแอบแวบมาแก้ตอนท้ายด้วยค่ะ เพราะมีพวกพี่ๆ ที่เป็นขาดริ๊ง แอนด์ แดนซ์ เขากระซิบบอกมาว่าคนเมาค้างนะ เกือบร้อยทั้งร้อยเขาปวดหัวกันทั้งนั้นนะน้องเอ๋ย เพียงแต่ใครจะปวดแบบไหน ปวดตุ้บๆ มึนตึ้บๆ หรือปวดจี้ดๆ เหมือนมีเข็มแทง ฯลฯ เท่านั้นเอง ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดที่ช่วยได้คือซุปไก่สกัด ดื่มแล้วสดชื่นขึ้นทันตาเห็น จากนั้นก็ให้กินยาแก้แฮงก์ (หรือยาแก้ปวดธรรมดาก็ได้ถ้าไม่มี) แล้วนอนหลับอีกสักงีบถึงจะหายค่ะ ดังนั้นโน้ตเลยต้องแก้ไขในส่วนหลังจากพระเอกตื่นมาเล็กน้อยเพื่อความสมจริงสมจังยิ่งขึ้น

คุณไก่คะ ฮั่นแน่ จับได้แล้วน้าว่าแอบซุ่มอ่าน อยากอ่านต่อก็มาเป็นกำลังใจให้ด้วยนะค้า ตอนนี้เดินหน้าเต็มกำลัง ตั้งใจจะปั่นเอามาลงให้จบค่ะ

พี่จริงคะ กร๊ากกกก กิตติศัพท์ของพี่นั้นเป็นที่เลื่องลือไปทั่วยุทธภพ แต่ขอความกรุณาทวงหนูด้วยก็ดีค่า เพราะหนูมันเจ้าแม่ไหดองมืออาชีพเลยค่ะ (แต่ก็อยากเขียนจบนะคะ งือๆ)

เจ้าบ๊วย ดีๆ ทวงเข้าไป พี่จะได้ขยันขันแข็ง อิอิ

คุณครูพี่กี้ ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมค่า ซ๊าธุ...ขอให้หนูได้มีมันเป็นเล่มจริงๆ เถ๊อะ ขอให้เขียนจบไวๆ ด้วย



โอเช ตอบครบแล้วแวบไปปั่นต่อแล้วค่า ...

สำหรับผู้ที่อ่าน รบกวนขอคำแนะนำติชมด้วยนะเคอะ ตรงไหนผิดพลาดแย้งได้ โน้ตจะได้ปรับปรุงต้นฉบับให้ดีขึ้น และบางทีการรีบร้อนปั่นมาแปะก็อาจจะทำให้มีจุดที่ผิดพลาดหลงหูหลงตาไปด้วยค่ะ ซึ่งก็ต้องขอความกรุณาผู้อ่านในการช่วยกันสอดส่องด้วยนะค้า ขอบคุณล่วงหน้าเลยค่า


โดย: ...ศุวิลา... วันที่: 13 ตุลาคม 2550 เวลา:2:12:52 น.  

 
สวัสดีค่า ขอบคุณทุกๆ ท่านที่มาติดตามอ่านและคอมเมนต์ให้นะคะ แอบบอกว่าโน้ตแอบแวบมาแก้ตอนท้ายด้วยค่ะ เพราะมีพวกพี่ๆ ที่เป็นขาดริ๊ง แอนด์ แดนซ์ เขากระซิบบอกมาว่าคนเมาค้างนะ เกือบร้อยทั้งร้อยเขาปวดหัวกันทั้งนั้นนะน้องเอ๋ย เพียงแต่ใครจะปวดแบบไหน ปวดตุ้บๆ มึนตึ้บๆ หรือปวดจี้ดๆ เหมือนมีเข็มแทง ฯลฯ เท่านั้นเอง ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดที่ช่วยได้คือซุปไก่สกัด ดื่มแล้วสดชื่นขึ้นทันตาเห็น จากนั้นก็ให้กินยาแก้แฮงก์ (หรือยาแก้ปวดธรรมดาก็ได้ถ้าไม่มี) แล้วนอนหลับอีกสักงีบถึงจะหายค่ะ ดังนั้นโน้ตเลยต้องแก้ไขในส่วนหลังจากพระเอกตื่นมาเล็กน้อยเพื่อความสมจริงสมจังยิ่งขึ้น

คุณไก่คะ ฮั่นแน่ จับได้แล้วน้าว่าแอบซุ่มอ่าน อยากอ่านต่อก็มาเป็นกำลังใจให้ด้วยนะค้า ตอนนี้เดินหน้าเต็มกำลัง ตั้งใจจะปั่นเอามาลงให้จบค่ะ

พี่จริงคะ กร๊ากกกก กิตติศัพท์ของพี่นั้นเป็นที่เลื่องลือไปทั่วยุทธภพ แต่ขอความกรุณาทวงหนูด้วยก็ดีค่า เพราะหนูมันเจ้าแม่ไหดองมืออาชีพเลยค่ะ (แต่ก็อยากเขียนจบนะคะ งือๆ)

เจ้าบ๊วย ดีๆ ทวงเข้าไป พี่จะได้ขยันขันแข็ง อิอิ

คุณครูพี่กี้ ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมค่า ซ๊าธุ...ขอให้หนูได้มีมันเป็นเล่มจริงๆ เถ๊อะ ขอให้เขียนจบไวๆ ด้วย



โอเช ตอบครบแล้วแวบไปปั่นต่อแล้วค่า ...

สำหรับผู้ที่อ่าน รบกวนขอคำแนะนำติชมด้วยนะเคอะ ตรงไหนผิดพลาดแย้งได้ โน้ตจะได้ปรับปรุงต้นฉบับให้ดีขึ้น และบางทีการรีบร้อนปั่นมาแปะก็อาจจะทำให้มีจุดที่ผิดพลาดหลงหูหลงตาไปด้วยค่ะ ซึ่งก็ต้องขอความกรุณาผู้อ่านในการช่วยกันสอดส่องด้วยนะค้า ขอบคุณล่วงหน้าเลยค่า


โดย: ...ศุวิลา... วันที่: 13 ตุลาคม 2550 เวลา:2:15:32 น.  

 
โอ้โห มีเรื่องใหม่อีกแล้วเรอะ

emo


โดย: พิมลพัทธ์ วันที่: 13 ตุลาคม 2550 เวลา:12:35:29 น.  

 
เย้ๆๆๆ พี่อังมาเยี่ยม

ขอแอบบอกว่าไม่ใหม่เท่าไรหรอกค่า ของปัดฝุ่นมาจากบล็อกเก่าค่ะ ^^ อิอิ แต่แลดูเหมือนใหม่

มาใหม่ไม่สำคัญเท่าจบเมื่อไร ฮา...


โดย: ...ศุวิลา... วันที่: 14 ตุลาคม 2550 เวลา:21:35:34 น.  

 
ตามมาอ่านแล้วจ้า...

อยากอ่านตอนต่อไปเร็ว ๆ แล้วเนอะ

อิอิ


โดย: เชอร์เบต จี๊ดด ด IP: 58.8.109.34 วันที่: 16 ตุลาคม 2550 เวลา:14:27:49 น.  

 
ตอนใหม่มาแล้วจ้า เฟิร์น ไม่รู้จะถูกใจเปล่า ลองอ่านดูเน้อ ^^ ถ้ามีข้อเสนอแนะยิ่งดีใหญ่เลยจ้า ตอนนี้ need มากเพราะมึนงงไปหมด


โดย: ...ศุวิลา... วันที่: 17 ตุลาคม 2550 เวลา:1:28:35 น.  

 
ชอบจังเลยค่ะ
พระเอกดูท่าทางเอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย


โดย: unna_nk IP: 58.10.102.191 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2550 เวลา:20:59:49 น.  

 
พาหนุ่มเข้าห้องซะล่ะ
หนูไวน์


โดย: ลูกเห็บยักษ์ วันที่: 26 ธันวาคม 2550 เวลา:12:41:07 น.  

 
เพิ่งมาตามอ่านค่ะ

คุณไวน์นี่ไม่กลัวโดนแผนมิดีมิร้ายจากคนเมาเลยนะคะนี่
เรื่องน่าสนใจ
รู้สึกอึ้งกับเรื่องคิดแน็ปในปากีฯค่ะ

จะติดตามอ่านต่อไปนะคะ ^^


โดย: มิด IP: 125.24.173.42 วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:10:21:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

...ศุวิลา...
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




'ศุวิลา' นักเขียนแนว LOVE (ความรู้สึกดี...ที่เรียกว่ารัก) สนพ. แจ่มใส ♥








Friends' blogs
[Add ...ศุวิลา...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.