ธรรมชาติของจิต-ฌาน8-นิโรจสมาบัติและอภิญญา6
อภิญญา6 นี้เกิดเฉพาะพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ที่ท่านชำนาญในญานเท่านั้น หามีได้แก่พระสาวกทั่วไปไม่ แต่ถึงกระนั้นอภิญญา6 ก็มิได้วิเศษวิโสอะไร เพียงเป็นแค่วิหารธรรมเครื่องอยู่ของท่านเท่านั้น การชำระจิตใจให้บริสุทธิ์เป็นของสำคัญ (หน้า82)


วิญญาณเป็นผู้รู้ทางอายตนะทั้ง6 เพราะวิญญาณมันจะเกิดขึ้นมาได้ก็ต้องอาศัยอายตนะทั้ง6 แล้วแสดงออกมาเช่นตาเห็นรูป ชอบใจ ไม่ชอบใจ ก็แสดงให้คนทั้งหลายเห็นเป็นต้น ...เมื่อสัมผัสอายตนะนั้นๆ สติก็ไปควบคุม ปัญญาก็รอบรู้ในเหตุผลว่า สิ่งนี้ดี สิ่งนี้ชั่ว แล้วสมาธิก็ตั้งมั่น มันก็ไม่เกิดจิตคือผู้คิดนึก_ปรุงแต่ง_จดจำ_อุปาทาน (เมื่อไม่มีสติไม่มีปัญญาไม่มีสมาธิ จิต สังขาร สัญญา อุปาทาน มันเกิดขึ้น สติ ปัญญา สมาธิ สิ่งทั้งสามนี้เกิดโดยลำดับกัน ย่อมไม่มีพลังสามารถดับอารมณ์ทุกข์ร้อนทั้งปวงได้) p.63


ตาเห็นรูปกว่าที่จะเกิดกิเลสได้จะต้องเข้าภวังส์ถึงเจ็ดครั้ง ตาเห็นรูปออกไปรับเอามาพิจารณาแล้วจึงรู้ว่ารูปนั้นเป็นรูปอะไร พอใจหรือไม่พอใจ แล้วจึงเกิดกิเลสความเศร้าหมองของจิต มันยากนักที่จะตามรู้ขณะของจิต.. โดย พระนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาจารย์ p.138

กรรมที่ตนกระทำไว้แล้ว ไม่ว่ากรรมดีและกรรมชั่ว ผลของกรรมย่อมเกิดที่ใจของตนเอง มิใช่ผู้ทำกรรมผู้หนึ่ง เจ้ากรรมนายเวรอีกผู้หนึ่ง( p.10)
 ใจ เพราะที่ใจนี้ตายไม่เป็น กายตายแล้วใจยังมีกิเลสอยู่ตราบใดก็ไปเกิดถือกำเนิดอีกต่อไป (p.11)

จิตเป็นของไม่มีตัวตน จะผูกมัดด้วยเชือกไม่ใด้ ต้องผูกมัดด้วยคำบริกรรมว่า พุทโธ ๆ ๆ คำว่าพุทโธ ๆๆ ที่มีความรู้สึกอยู่กับ พุทโธ นั่นแหละคือจิต เมื่อจับเอาความรู้สึกนั้นแล้วสิ่งทั้งปวงหมดนั้นก็จะหายไปสิ้น p.145

จิตนี้แหละเป็นผู้คิดผู้นึกผู้ปรุงแต่งสัญญาอารมณ์ต่างๆ ในพุทธศาสนาท่านสอนให้อบรมจิต ที่พวกเราเรียกว่าอบรมกัมมัฏฐานคือให้ตั้งสติกำหนดจิต p.145


ผมไม่ใช่นักปริยัติ ผมต้องการตัดสัญญาอารมณ์ทั้งปวงหมด ให้มันเหลือแต่จิตกับสติเท่านั้น ผลที่สุดจิตก็มารวมลงเป็นใจ สติกับใจม่รวมกันเข้าเป็นอันหนึ่งจึงหมดเรื่อง โลกนี้ทั้งหมดมีจิตอันเดียวเป็นใหญ่ p.144

จิตต้องรวมเป็นภวังค์เข้าสู่สภาพจิตเดิมเสียก่อนจึงเกิดความรู้ได้ ถ้าจิตยังคลุกเคล้าอยู่ด้วยอารมณ์ต่างๆแล้วอภิญญา ความรู้พิเศษจะไม่เกิด เหมือนกับน้ำใสสะอาดปราศจากขุ่นมัวย่อมมองเห็นเมล็ดทรายในที่ลึก 9_10 เมตรได้ (p.138)

แท้ที่จริงแล้วจิตมีอันเดียว ที่เรียกชื่อหลายอย่างนั้นเป็นเพราะอาการของจิตมันมีหลายอย่าง...ผู้อบรมจิตจนรวมลงเป็นอันเดียวได้แล้ว อธิบายอาการของจิตได้ไม่มีที่สิ้นสุด p.136

สมาบัติ กับ นิโรธสมาบัติ ไม่ใช่อันเดียวกัน สมาบัติพระสาวกบางองค์ท่านชำนาญ ท่านอยากเข้าเมื่อไหร่ ที่ใหนก็เข้าใด้ นิโรธสมาบัตินั้น ท่านต้องได้ฌานแปดแล้ว เข้าโดยลำดับฌานจนถึงนิโรธสมาบัติ p.150


เรียนรู้จิตใจ ศีล สมาธิ ปัญญา ทำได้ทุกขณะจิต แม้ว่าจะอยู่ในที่ทำงาน วัด ป่าไม้ไพรกว้าง ป่าช้า เรือนว่าง และทีบ้านในทุกขณะจิตที่รับรู้ผ่านอายตนะ 6 ...ขอความสุขสวัสดีจงบังเกิดมีแด่ทุกท่านครับ






Create Date : 03 มีนาคม 2559
Last Update : 3 มีนาคม 2559 14:09:48 น.
Counter : 693 Pageviews.

1 comments
  
สาธุค่ะ
โดย: mcayenne94 วันที่: 3 มีนาคม 2559 เวลา:12:51:30 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

surya21
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 50 คน [?]



New Comments
มีนาคม 2559

 
 
1
2
6
7
8
9
10
11
14
15
16
17
19
22
23
24
25
26
28
29
30
31
 
 
All Blog