|
ตัดสินใจหยุดชีวิตความรักกับเธอเสียที
ความรัก ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2553
ตี 4 กว่าๆ ได้ยินเสียงตาตี่เปิดประตูห้องนอนเล็ก จากนั้นก็เปิดทีวี ได้ยินเสียงเดินเข้าห้องน้ำ ล่ะก็เสียงข้าวสารกระทบหม้อหุงข้าว อืม...ตาตี่หุงข้าวเอง
ตอนเช้าที่ตาตี่กลับมากินข้าวเช้าก็ไม่ได้คุยอะไรกันนะ อารมณ์เสียใจมันค้างมาตั้งแต่เมื่อคืน ก็เลยไปนั่งร้องไห้อยู่หลังบ้าน ตาตี่กินข้าวเช้าเสร็จก็ขี่รถออกไป
เกือบๆ 10 โมงเช้า ตาตี่กลับมาอีกครั้ง คงจะท้องเสียเห็นกลับมาก็ตรงไปเข้าห้องน้ำ เสียงโทรศัพท์ตาตี่ดังนานมากๆ ตาตี่รีบออกมาจากห้องน้ำและโทรกลับไป ฟังจากการพูดคุยก็คงคุยกับ ต. นัดกันไปไหนสักแห่ง หัวเราะกันระรื่นเชียวล่ะ อารมณ์เมื่อคืนยังคงค้างอยู่ไงเราอ่ะ ปี๊ดแตก....หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรไปหา ต. แต่จำเสียงได้นะ ต. ไม่ได้เป็นคนรับสาย น้องสาว ต. เป็นคนรับสาย แต่เราก็ทำเป็นเนียน พูดไปทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ว่าไม่ได้คุยกับ ต. พูดไปเยอะเหมือนกัน สิ่งที่รับรู้คือ ผู้หญิงคนนี้หน้าด้าน ไม่ยอมรับว่ากำลังแย่งสามีเรา หาประโยคที่เจ็บไม่ได้เสียทีเลยพูดคำนี้ออกไป "แล้วเธอมาให้สามีพี่ล้วงลูบคำทำไมเมื่อช่วงเข้าพรรษาตอนที่เธอเอาเบียร์มาส่ง" ได้ผลแฮ่ะ หล่อนบอกว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะมาหาเราที่บ้าน เราตอบไปว่า "มาก็ได้อยากมาก็มา" เราพูดจบประโยค ตาตี่ขี่รถมาถึงบ้านพร้อมกับเปิดประตูยืนมองเราด้วยสายตาโกรธ โมโห ถามเราว่า "มึงกำลังทำอะไร กูบอกมึงแล้วใช่มั้ยว่าไม่ให้โทรไปกวนเค้าอีก แล้วนี่มึงโทรไปด่าเค้าทำไม" เราใส่กลับไปทันที ดีนะที่แค่พูดแค่นี้ อย่างนั้นเค้าไม่เรียกด่าหรอกนะ เพราะตาโตด่าคนไม่เป็น ผู้หญิงแบบนั้นสมควรจะได้รับมากกว่าคำด่าเสียด้วยซ้ำไป
ตาตี่ไม่ฟังเสียงเราพูดอีกต่อไป เดินตรงไปยังห้องนอนหยิบเสื้อผ้าจากตู้พร้อมกับเดินไปหน้าบ้าน ใช่ค่ะ ตาตี่โยนเสื้อผ้าเราออกไปจากบ้าน พร้อมกับพูดว่า "มึงออกไปจากบ้านกูเลยนะ มึงจะไปอยู่ไหนมึงก็ไปเลย ไม่ต้องมาอยู่บ้านกู กูบอกมึงแล้วใช่มั้ยว่าอย่าไปกวนใจเค้า มึงก็ไม่เชื่อกู" หลังจากโยนเสื้อผ้าหมด ก็มาจับตัวเราจะให้เราออกไปจากบ้านให้ได้ เราก็ขัดขื่นเต็มที่พร้อมกับพูดออกไปว่า "ทำไมต้องออกไปนี่ก็บ้านตาโตเหมือนกัน แล้วอะไรล่ะตัวเองทำผิดแต่จะมาบังคับให้คนอื่นเค้าออกไป คิดบ้างหรือเปล่าที่สิ่งที่ทำอยู่ ณ ตอนนี้มันถูกหรือผิด หรือว่าคิดไม่ได้แล้ว หรือว่าไม่รู้แล้วว่าอะไรผิดอะไรถูก" ตาตี่ไม่ตอบ.... เงียบ พร้อมกับเดินออกไปจากบ้าน และล็อคแม่กุญแจบ้าน
เรากดโทรศัพท์โทรหาอาแปะ พร้อมๆ กับ ต. มาถึงบ้านเราพอดี อาแปะก็มาถึงพอดี ต. ถามเราว่าตาตี่ล่ะ เราบอกว่าก็ไปทำงานไง ต. ก็เลยโทรหาตาีตี่ให้กลับมาที่บ้าน
ต. เค้าฉลาดที่จะพูดต่อหน้าผู้ใหญ่ว่าเค้าไม่ได้คิดจะแย่งและพยายามพูดให้ทุกคนเปลี่ยนประเด็นจาก ต. มาที่เรา โดยการพูดถึงครั้งที่เราเดินออกไปจากชีิวิตตาตี่และบอกว่าตาตี่ก็เข้าไปจีบ ต. เองและก็ขอ ต. แต่งงาน เราใส่ไปเหมือนกันนะ ว่าอย่าเอาเรื่องที่เราเดินออกไปจากบ้านมาพูด เพราะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอๆ เป็นคนอื่น เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องของตาโตกับตาตี่ หล่อนก็เงียบไป ต. ไม่ค่อยได้พูดนะ ส่วนมากแล้วน้องสาว ต. จะเป็นคนเถียงแทน
อาโกมาถึงพร้อมหลานสาวของตาตี่ มาถึงก็ตรงไปที่ตาีตี่พร้อมกับพูดว่า "มึงทำอะไรเนี่ย ฮ่ะ กูถามว่าถึงทำอะไร มึงเอาเสื้อผ้าเค้าโยนออกมาข้างนอกบ้านแบบนี้ได้ยังไง มึงทำไม่ถูกนะ กูว่ามึงไม่สมควรที่จะทำแบบนี้" พร้อมกับชี้หน้าไปที่ ต. นี่เหรอ คนนี้เหรอ คนนี้ใช่มั้ย เถียงกันอีกนานไม่มีสาระอะไรเพราะ ต. ก็เถียงน้ำขุ่นๆ แบบเอาตัวเองรอดไปหน้าด้านๆ เรานิ่งไม่พูดเพราะรู้สึกว่าเปลืองน้ำลายและเปลืองตัวที่จะต้องไปเถียงกับผู้หญิงประเภทนี้ที่ไม่มีความคิดและไม่มียางอาย
อาโกพยายามทำให้ทุกอย่างเป็นกลาง อาโกถามตาตี่ออกไปว่า บอกมาเลยว่ามึงจะเลือกใคร ตาตี่บอกว่า "กูไม่เอามันแล้ว กูเคยบอกมันไปหลายแล้ว มันก็ยังจะฝืนอยู่ได้ กูไม่ได้รักมันแล้ว" อาโกหันมาทางเรา "แล้วจะเอายังไงล่ะ มันบอกว่ามันไม่ได้รักเธอแล้วๆ เธอจะเอายังไง" ตาตี่พูดขึ้นมาว่า "ก็เคยบอกไปแล้วว่าถ้าอยากจะอยู่ก็แยกกันอยู่ แล้วนี่มันก็โทรไปด่า ต. เค้า" เราตอบกลับทันทีว่า "ถ้าประโยคแบบนั้นเรียกว่าด่า ก็ไม่รู้ว่าประโยคแบบไหนเป็นประโยคที่ดีแล้วล่ะ" ทุกคนเงียบ อาโกถามอีกครั้ง "แล้วจะเอายังไงกัน ถ้าจะอยู่ก็ต่างคนต่างอยู่ หรือว่าจะแยกย้ายกันไป ถ้าจะแยกย้ายกันไปก็คุยเรื่องทรัพย์และก็หนี้สิน ตกลงกันให้เรียบร้อย" ตาตี่กับเราเห็นด้วย แต่เราก็เสียเปรียบอยู่ดี เพราะสิ่งที่เราได้มามันไม่ได้เรียกว่าครึ่งๆ แต่ก็ไม่ได้แคร์อะไรล่ะ จบๆ กันไปเสียที พอกันทีกับผู้ชายเห็นแก่ตัว ไม่มีน้ำใจแบบนี้ ไม่มีความเป็นผู้ชายเอาเสียเลย
เสียดายเวลาที่อยู่ด้วยกันมา 7 ปีกว่า และก็เสียความรู้สึก มากกว่าเสียใจ ถามว่า รักตาตี่อยู่มั้ยก็ยังรักอยู่นะ แต่ทำยังไงได้ล่ะก็ตาตี่ไม่ได้รักเราแล้ว ตาตี่ไม่ได้อยากจะใช้ชีวิตคู่กับเราแล้ว ตาตี่ไม่ได้อยากจะดูแลเราอีกต่อไปแล้ว อีกอย่างเรารับไม่ได้กับการที่ผู้ชายทำกิริยามารยาทแบบที่โยนเสื้อผ้าผู้หญิงออกจากบ้านเพียงเพราะโมโหที่โทรไปว่าผู้หญิงคนใหม่ของตัวเอง เราว่ามันเป็นเรื่องที่ทุเรศสิ้นดีเลย เราคิดว่ามันเป็นการไม่ให้เกียรติกันนะ จริงๆ แล้วควรจะให้เกียรติในฐานะเพื่อนมนุษย์ก็ได้ ถ้าไม่มีฐานอะไรที่จะให้เกียรติ เพราะเราให้เกียรติตาตี่กับ ต. มาตลอดเวลา จนถึงวินาทีสุดท้ายที่จะต้องจากกันเราก็ยังให้เกียรติ 2 คนนี้ แต่ 2 คนนี่คงคิดอะไรไม่ได้หรอก เพราะถ้าคิดได้คงไม่ทำแบบนี้กัน
ตอนแรกคิดแค่ว่าจะไปนอนบ้านเพื่อนก่อนช่วงวันทำงานจันทร์ถึงศุกร์แล้วเสาร์อาทิตย์จะกลับมานอนที่บ้าน แต่คิดไปคิดมาจิตใจเราแย่เกินกว่าที่จะรับอะไรๆ ได้อีกแล้ว เพราะสิ่งที่ 2 คนนี่ทำกับเรามันสุดจะรับ ตัดสินใจว่าไม่อยู่แล้วดีกว่า
เราจัดการให้ตาตี่เซ็นต์โอนลอยรถยนต์และใบมอบอำนาจ พร้อมกับหยิบเล่มทะเบียนรถยนต์กับรถมอเตอร์ไซค์มาเรียบร้อยแล้ว แต่ยังขาดทะเบียนบ้านพร้อมลายเซ็นต์ของตาตี่ เพราะทะเบียนบ้านที่มีอยู่ตาตี่ยังเป็นผู้อาศัย แต่ตอนนี้ตาตี่เค้าไปเปลี่ยนเป็นเจ้าบ้านแล้ว (ไปเปลี่ยนตอนที่เราออกไปจากบ้านครั้งก่อน)
2 ทุ่มกว่าแล้ว น้องสาวกับแฟนน้องสาวมารับที่บ้าน เราตัดสินใจที่จะเก็บเสื้อผ้าออกไปให้หมด เหลือแต่หนังสือกับเตียงของเราที่เรายกมาจากบ้านแม่ ฝากเค้าไว้ก่อนเดี๋ยวจะกลับไปเอาอีกที ช่วงนี้ขอหาหอพักก่อน แต่ในใจก็แอบคิดว่าตาตี่คงจะเก็บเตียงกับหนังสือของเอาโยนออกมานอกบ้านอีกนั่นแหละ ต้องรีบๆ ไปย้ายมาแล้วล่ะ
ก่อนจะออกมาเราโทรศัพท์หาตาตี่ซึ่งไปนั่งกินเหล้าที่บ้านเพื่อนฝั่งตรงข้ามตั้งแต่ตอนเย็น เราบอกว่า เราจะเอาไมโครเวฟกับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะไปด้วยนะ ตาตี่ย้อนกลับมาทันทีว่า "เอาแล้วสิ ไม่เห็นจะพูดเหมือนตอนกลางวันเลย ทีนี้จะมาเอาของในบ้านไปด้วยแล้วสิ" จากนั้นตาตี่ก็เงียบ เราก็เลยกดวางสาย พร้อมกับขนของออกมาจากบ้าน
ช่วงเวลาที่เราขนย้ายของออกมาจากบ้าน หลานสาวของตาตี่มาเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ตลอดเวลา พอเราขนย้ายของออกมาเกือบหมดแล้ว อาแปะเดินมา ซึ่งจริงๆ แล้วก็จะมาดูนั่นแหละว่าเราเอาทรัพย์สินสิ่งของอะไรออกไปบ้าง แต่ทำเป็นเดินไปเปิดไฟพร้อมกับพูดว่า "จะติดไฟทำไม ไม่ต้องปิดหรอก เปิดไว้ แล้วอะไรที่เป็นของตาโตก็เก็บไปให้หมดนั่นแหละ เพราะถ้ากลับมาอีกตาตี่มันคงไม่ให้เข้าบ้านแล้วล่ะ เพราะก็เก็บของออกไปหมดแล้วนิ แล้วเดี๋ยวก็มาเอารถยนต์ไป" เราก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่ก็พูดว่า "ก็จะต้องกลับมาอีก เพราะยังไม่ได้เอาหนังสือ กับเตียงนอนไป เดี๋ยวจะมาขนย้ายอีกที" อาแปะเงียบ เราก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกมา
ถึงหอน้องสาวประมาณ 5 ทุ่ม กว่าจะทำนู้นนี่นั่นเสร็จก็ปาเข้าไปตี 1 กว่าจะได้ล้มตัวลงนอน
ช่วงตอนกลางวันที่ตกลงเรื่องทรัพย์สิน หนี้สินกันเราร้องไห้เพราะเสียความรู้สึกกับตาตี่มากๆ แต่ตั้งแต่ออกมาจากบ้านจนถึงหอน้องสาวเราไม่ได้ร้องไห้เลยนะ ไม่ได้มีความรู้สึกว่าอยากจะร้อง
ถ้าวันนี้ตาตี่กับ ต. ยังคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่เค้า 2 คนทำอยู่ตอนนี้ทำกับเรามันถูกหรือผิด แต่เราคิดว่าสักวันนึงเค้า 2 คนต้องได้รับรู้อย่างแน่นอน เวรกรรมมีจริงนะเราว่า.........
Create Date : 15 สิงหาคม 2553 |
|
31 comments |
Last Update : 16 สิงหาคม 2553 13:31:59 น. |
Counter : 546 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: pps_n 15 สิงหาคม 2553 21:31:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: BeCoffee 15 สิงหาคม 2553 22:15:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: nootikky 15 สิงหาคม 2553 22:29:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: nuuna (nanajazz ) 15 สิงหาคม 2553 22:37:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: GiBzAres (numwan_kie ) 15 สิงหาคม 2553 23:54:25 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
เราเองก็รู้นะว่าการที่การกำก้อนหินไว้ในกำมือของเราเอง มันจะเจ็บมือเรา แต่ทำบางครั้งมันยากที่จะแบมือ
หากคุณรักใครสักคนด้วยชีวิตที่คุณมีคุณนั้นจะยินดีอภัยให้เขา จะเลวร้ายสักเท่าใดก็จะเห็นว่ามันเบาเพราะรักที่คุณมีให้เขามันมากมาย ให้ไปแล้วหมดหัวใจเท่าชีวิตที่คุณมี...
|
|
|
|
|
|
|