อู้วว์ลัลล้า
วันเดียวเที่ยวกรุงเทพฯ
7.30 น. @ สนง. เขตบางกอกใหญ่ มาถึงปุ๊บเซ็นต์ชื่อลงทะเบียน และรับของว่างเป็นขนมปัง น้ำส้มตามภาพ และน้ำดื่ม 1 ขวด
กิจกรรมล่องเรือไหว้พระ จากคลองบางกอกใหญ่ แม่น้ำเจ้าพระยา และคลองบางกอกน้อยจนถึง เขตภาษีเจริญ มีเรือทั้งหมด 3 ลำๆละ 40 คน เรากะลูกไปลำนี้ค่ะ
มีวิทยากรบรรยายให้ความรู้ด้วย โอ้วววเริ่ด
วัดที่ 1 วัดสังข์กระจายวรวิหาร
สร้างสมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นพระอารามหลวง รัชกาลที่ 1 ทรงสร้าง
สิ่งที่น่าสนใจมี พระวิหารหลวงพ่อกัจจายน์ ภาพจิตรกรรมฝาผนังในอุโบสถ 4 ด้าน บุษบกธรรมาสน์ทำด้วยไม้แกะสลักปิดทองล่องชาต สมัย ร. 3 ตั้งในศาลาการเปรียญ หอระฆัง ลักษณะเป็นซุ้มเก๋งจีน และต้นตะเคียนทอง อายุแก่กว่า 115 ปี
ขออภัยถ่ายได้เฉพาะป้ายท่าน้ำ เพราะกล้องถ่ายรูปของเราพิการ ให้ลูกใช้มือถือถ่ายก็ไม่ได้ดั่งใจอ่ะ ไม่ชอบถ่ายรูปวัดซะงั้น
บรรยากาศริมน้ำ บ้านทรงไทยสวยๆ
ผ่านพิพิธภัณฑ์บ้านคุณหลวงฤทธิณรงค์รอน เป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ทรงยุโรป ที่มีความงดงามของลวดลายศิลปะร่วมสมัยแบบตะวันออก จุดเด่นคือ บันไดเวียนไม้สักโค้งกลมตามผนังโค้งของตัวอาคาร โดยไม่มีเสาค้ำแต่อย่างใด
ขออภัยถ่ายที่วัดไรก็จำไม่ได้อ่ะ
วัดที่ 2 วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร เป็นอารามหลวงชั้นโท สร้างสมัยอยุธยา มีชื่อเสียงในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช เนื่องจากทรงปฏิสังขรณ์และยกย่องให้เป็นวัดหลวง
สิ่งที่น่าสนใจมี พระพุทธรูปทองโบราณ (หลวงพ่อสุข) พระพุทธรูปสัมฤทธิ์นวโลหะ (หลวงพ่อแสน) และศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน มีเรื่องเล่าว่า พระโลหิตพระเจ้าแผ่นดินตกที่ใดให้สร้างศาลขึ้น ซึ่งในการเคลื่อนศพลงทางเรือ คาดว่าพระโลหิตได้ตกบริเวณดังกล่าว
ตอนที่ไปเค้าปิดไม่ให้เข้าพอดีเลยถ่ายจากระยะไกล
ไปชมสระน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์กันค่ะ
หลังจากนั้นเดินเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาประมาณ 1 กม. เพื่อไปวัดที่ 3 คือ วัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร
ทางผ่านจะเจอมัสยิดต้นสน เป็นมัสยิดเก่าแก่สมัยอยุธยา ตั้งอยู่บริเวณคลองบางกอกใหญ่ จุดเด่นคือ โดม ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมทรงอียิปต์สมัย ฮ.ศ. 800 ภายในแกะสลักเป็นรูป วิหารกะบะห์ และผังมัสยิดในนครเมกกะ ตอนนี้อยู่ในช่วงถือศีลอดพอดี
วัดโมลีฯ เป็นพระอารามหลวงชั้นโท เดิมเรียกวัดท้ายตลาด
สิ่งที่น่าสนใจมี พระวิหารฉางเกลือ ซึ่งพระเจ้าตากสินโปรดให้สร้างเพื่อเก็บเกลือ และใช้เป็นเสบียงกรัง และใส่แผลฆ่าเชื้อโรค
หอสมเด็จ (หอแดง) และหอพระไตรปิฎก (หอเขียว) สมเด็จพระเทพฯ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงทอดพระเนตร และให้ทรงอนุรักษ์ไว้
รูปปั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินอีก
ภายในวัดกำลังก่อสร้างอยู่
รูปปั้นทหารฝรั่งเศสที่มาช่วยบูรณะวัด (เค้าว่างั้น)
ทางเข้าด้านหลังพระวิหารฉางเกลือมีพระพุทธรูปนี้
มีทวารบาน (อ่านว่า ทะ-วาน-ระ-บาน วิทยากรบอกว่าให้ออกเสียงให้ถูก ไม่งั้นแป่วว) เป็นตุ๊กตาจีน เรียกอีกอย่างว่า อับเฉา (พ้องเสียงมาจากภาษาจีนอ่ะ/ ออกเสียงไม่ถูกจำไม่ได้ด้วย อิอิ) เป็นผู้อารักขาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวิหารนะค่ะ
*ตุ๊กตาหิน คนจีนใช้ใส่ในเรือเพื่อถ่วงเรือให้มีน้ำหนัก เรือจะไม่ล่ม ไทยค้าขายกับจีน ในสมัย ร. 2 ได้มาเยอะ แต่สมัย ร. 3 ไม่ทรงโปรดเลยพระราชทานให้กับอารามหลวงต่างๆ*
พอวิทยากรบอกให้ดูเล็บตุ๊กตาจีน (เป็นผู้ชาย) เล็บสวยงามมาก เลยมุงดูกันใหญ่
อ่ะชัดๆอีกรูป
ภายในอุโบสถวัดโมลีฯ จิตรกรรมฝาผนังเป็นภาพเขียนสีโบราณ เป็นลายพรรณพฤกษา อายุเป็นร้อยๆปี สวยงามได้อีก
ลงเรือต่อค่ะ ผ่านป้อมวิชัยประสิทธิ์ เดิมชื่อ ป้อมวิไชยเยนทร์ หรือ ป้อมบางกอก สร้างในสมัยพระนารายณ์มหาราช เพื่อป้องกันข้าศึกทางทะเล สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระราชทานนามใหม่ว่า "ป้อมวิชัยประสิทธิ์" เป็นสถาปัตยกรรมแบบก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น ขนานกันเป็นรูปแปดเหลี่ยม ประดับปืนใหญ่โบราณโดยรอบ (กว่าลูกจะควักกล้องมาถ่ายก็ผ่านมาไกลแล้วอ่ะ)
ถึงแล้ววัดที่ 4 เป็นวัดที่เราอยากมามากที่สุด เพราะไม่เคยไปกะเค้าซักทีอ่ะ วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร เป็นอารามหลวงชั้นเอก เดิมสมัยกรุงศรีอยุธยา เรียกว่า วัดมะกอก แล้วเปลี่ยนมาเป็นวัดแจ้ง ในสมัยพระเจ้าตากสินฯ และสมัย ร. 4 เปลี่ยนอีกครั้งเป็น "วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร" พระปรางค์วัดอรุณฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ ที่รู้จักกันทั่วโลก
พระปรางค์เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ
พระอุโบสถ ประดิษฐานพระพุทธธรรมมิศรราชโกลธาตุดิลก ซึ่งพระพักตร์เป็นฝีพระหัตถ์ของ ร. 2
พระระเบียงคตหรือพระวิหารคต ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย 120 องค์
รูปปั้นยักษ์ 2 ตน คือ สหัสเดชะ และทศกัณฐ์ สร้างในสมัย ร. 3 ที่เรียกกันติดปากว่า ยักษ์วัดแจ้ง นะแหละ ชักรูปซะหน่อย ส่วนรูปเราม่ายล่ายดูเพราะดูม่ายล่ายยย 5555
พระอุโบสถวัดอรุณฯ (ให้ลูกถ่ายขาดๆเกินๆตลอด)
รอบๆโบสถ์มีรูปปั้นเยอะๆค่ะ
พอไปถึงถ่ายรูปยักษ์ได้แค่รูปเดียว อีก 5 นาทีฝนเทกระหน่ำ รีบวิ่งเข้าไปในโบสถ์ รอฝนซาประมาณ 40 นาที ทำให้ไม่มีเวลาได้ขึ้นไปบนพระปรางค์เลยอ่ะ เสียดายมาก ไม่ได้ดูไรเลย (ทำไมโชคดีอย่างนี้) ทุลักทุเลรีบลงเรือ พอลงเรือปุ๊บฝนหยุดคับท่าน แง๊ๆๆๆๆๆๆๆสวรรค์กลั่นแกล้ง เราตั้งใจมาวัดนี้มากเลยนะเนี่ย
ไปต่อค่ะวัดสุดท้ายวัดที่ 5 วัดประดู่ฉิมพลี
สร้างในสมัย ร. 3 เดิมชื่อ วัดฉิมพลี แต่ชาวบ้านนิยมเรียก "วัดประดู่นอก" คู่กับวัดประดู่ในทรงธรรม วัดแห่งนี้เลื่องชื่อในเรื่องหลวงปู่โต๊ะ ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของประชาชนทั่วไปจนกระทั่งปัจจุบัน
ทางคณะที่เราไปได้จัดถวายสังฆทานที่วัดนี้ด้วย และเจ้าอาวาสได้แจกรูปในหลวงที่ถ่ายรูปคู่หลวงปู่โต๊ะด้วย เราก็ไปแทรกไปเบียดกะเค้าได้มา 1 ใบ
รูปปั้นหลวงปู่โต๊ะ (ซูมระยะไกล รูปมัวเลย) ด้านหลังขวามือรูปคู่อันนั้นล่ะได้รับแจกมา
ปิดท้ายด้วยรูปนี้ค่ะ คนที่โดนแม่บังคับมา แถมบอกอีกน่ะว่า คราวหลังหนูไม่มาแล้ว แน่ะ เด็กๆควรมาได้ความรู้ประวัติศาสตร์ การไปครั้งนี้ทำให้สำนึกรักแผ่นดินเกิดขึ้นมาอีกเยอะ และรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของ พระมหากษัติย์ไทยที่ทรงรักษาบ้านเมืองไว้ด้วยความยากลำบากขนาดไหน
ขอบอกว่าของฟรียังมีในโลก เพราะฟรีตลอดรายการเราไม่เสียเงินซักบาท (นอกจากค่าแท็กซี่ไป-กลับบ้าน 485 บาทเท่านั้น) แถมเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี ดีมากกว่าปูเสื่ออีกเพราะอาหารกลางวันเค้าเลี้ยงโต๊ะจีน OMG!! ตอนแรกเราคิดว่าเค้าคงปล่อยให้เราหากินเอง หรือถ้าเลี้ยงข้าวกล่องก็หรูแล้ว พอเห็นโต๊ะจีนงง ได้อีกคับ เพราะอาหารก็จัดว่าดีเลย แถมขากลับแจกเฉาก๊วยชากังราวอีกคนละแก้ว น้ำเย็นฟรีตลอดทั้งวัน
งานนี้ต้องขอขอบคุณ สนง. เขตบางกอกใหญ่ที่จัดกิจกรรมดีๆอย่างนี้ (ถึงไม่ฟรีเราก็อยากไป) และขอขอบคุณ ผอ.และ เจ้าหน้าที่ทุกๆท่าน (ถ้าบังเอิญมาอ่าน) ดูแลดีมากๆ ส่วนวิทยากรก็น่ารัก แทรกมุขตลอด ขำขำไม่ง่วงดี
ปกติเค้าต้องไปจองด้วยตัวเองแต่บังเอิญเรามีญาติอยู่ที่เขตนี้ เลยให้เค้าจองให้สบาย ไม่ต้องไปเอง ขากลับขึ้นจากเรือ สี่โมงเย็นยังมีเวลาไปเดินอีก 2 ห้างคือ เดอะมอลล์บางแคกะ โลตัสศาลายา กลับถึงบ้านสามทุ่มโดยสวัสดิภาพ.....
Create Date : 30 สิงหาคม 2554 |
|
32 comments |
Last Update : 30 สิงหาคม 2554 12:00:55 น. |
Counter : 1333 Pageviews. |
|
|
|
เหนื่อย แน่ ๆ ไปนอนกลางวันได้เลย ....