Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2560
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
22 พฤษภาคม 2560
 
All Blogs
 
"ข้อผิดพลาด" ของการศึกษาสิงคโปร์

ในสายตานักวิชาการอาวุโส "คิชอร์ มาห์บูบานี"

===========================================
ที่มา ... //news.thaipbs.or.th/content/262611
===========================================




ศาสตราจารย์คิชอร์ มาห์บูบานี คณบดีสถาบันนโยบายสาธารณะ ลี กวน ยู ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS) นักวิชาการที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของสิงคโปร์และของภูมิภาคอาเซียน ให้สัมภาษณ์ "ณัฏฐา โกมลวาทิน" ในรายการ "มีนัดกับณัฏฐา" ถึงระบบการศึกษาของสิงคโปร์

การศึกษาของสิงคโปร์กำลังเป็นม้ามืดแซงหน้าประเทศอื่นๆ ทั้งในเอเชียและยุโรป แทบทุกครั้งที่มีการจัดอันดับความเป็นเลิศด้านการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (Programme for International Student Assessment) หรือ PISA โดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ที่ล่าสุดพบว่าเด็กสิงคโปร์ทำคะแนนได้สูงสุดทั้งด้านการอ่าน วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ขณะที่การจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชีย มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS) ครองอันดับ 1 มาแล้ว 2 ปี ซ้อน ศาสตราจารย์คิชอร์บอกว่าการจัดอันดับเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันว่าระบบการศึกษาของสิงคโปร์นั้นแข็งแกร่งและสมบูรณ์แบบจริง แต่ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากสิงคโปร์ยังจัดกระบบการศึกษาแบบเดิมที่เคยทำมาตลอดช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ประเทศสิงคโปร์ก็อาจจะต้องพบกับความล้มเหลว

อาจารย์คิดว่าระบบการศึกษาของสิงคโปร์มีความพิเศษอย่างไร

สิงคโปร์โชคดีมากที่เรามีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ซึ่งยืนยันได้จากผลการประเมินของ PISA ที่แสดงให้เห็นว่านักเรียนสิงคโปร์ทำคะแนนได้เป็นอันดับหนึ่งในวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ซึ่งสิ่งนี้เป็นผลมาจากการที่รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะพัฒนาระบบการศึกษาให้ดีเลิศ ซึ่งส่วนหนึ่งก็คือ การให้ความสำคัญกับครูและผู้อำนวยการโรงเรียนต่างๆ ซึ่งมักจะได้ค่าตอบแทนสูง เพราะครูที่เก่งจะทำให้บรรยากาศการเรียนการสอนดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้เรายังเรียนรู้จากระบบการศึกษาของประเทศต่างๆ และนำสิ่งดีๆ มาปรับใช้ในระบบการศึกษาของเรา ถึงตอนนี้ผมคิดว่าเป็นเรื่องดีที่ประเทศอื่นๆ ในอาเซียนและทั่วโลกจะมาเรียนรู้จากประสบการณ์ของสิงคโปร์

อาจารย์บอกว่าระบบการศึกษาของสิงคโปร์นั้นดี แต่ทำไมเด็กสิงคโปร์จำนวนมากถึงยังต้องไปเรียนที่โรงเรียนกวดวิชา

ผมเชื่อมั่นว่าสิ่งที่โรงเรียนสิงคโปร์สอนในห้องเรียนนั้นเพียงพอแล้ว แต่มีคำหนึ่งในสิงคโปร์ที่เรามักใช้กันนั่นคือคำว่า kia-su ซึ่งแปลว่าห่วงกังวลมากเกินไป ข้อผิดพลาดอย่างหนึ่งของพ่อแม่ชาวสิงคโปร์คือ พวกเขากดดันลูกเรื่องการเรียนมาก พวกเขากังวลมากเกินไปว่าลูกๆ จะได้รับความรู้ไม่พอในห้องเรียน พวกพ่อๆ แม่ๆ ก็เลยส่งลูกไปเรียนกวดวิชา ทั้งวิชาเลข ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ฯลฯ เพราะเหตุนี้โรงเรียนกวดวิชาจึงกลายเป็นอุตสาหกรรมมูลค่านับพันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งผมเห็นว่าการเรียนกวดวิชาเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเลย มันมากเกินไป ผมคิดว่าความผิดพลาดอย่างหนึ่งของพ่อแม่ชาวสิงคโปร์คือเขากดดันลูกๆ มากเกินไป เมื่อเด็กๆ ต้องใช้เวลาไปกับการทำการบ้านหรือเรียนพิเศษมากๆ เข้า พวกเขาก็จะหมดสนุกกับการศึกษา และไม่รักการอ่านหนังสือ

ผมคิดว่ามันน่าจะดีกว่าถ้าสังคมสิงคโปร์ให้ความสำคัญกับการเรียนพิเศษน้อยลง และปล่อยให้เด็กๆ มีเวลาอ่านหนังสือมากขึ้น เพราะการอ่านหนังสือเป็นการเปิดโลกทัศน์ของเด็ก ซึ่งผมดีใจที่กระทรวงศึกษาของสิงคโปร์ตระหนักถึงเรื่องนี้แล้ว และพยายามส่งเสริมให้เด็กๆ มีเวลาว่างมากขึ้น

แสดงว่าการเรียนกวดวิชาไม่ใช่สิ่งที่เด็กๆ ในประเทศอื่นควรทำตามสิงคโปร์ใช่ไหมคะ
ใช่ครับ ผมคิดว่าการเรียนการสอนในห้องเรียนของสิงคโปร์นั้นดีมาก และเป็นอะไรที่ประเทศอื่นๆ ควรมาเรียนรู้จากเรา แต่ในส่วนที่เด็กๆ ต้องใช้เวลาไปกับการเรียนพิเศษนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าเอาอย่าง ผมคิดว่าเราต้องโน้มน้าวให้พ่อแม่ชาวสิงคโปร์กดดันลูกให้น้อยลงและปล่อยให้พวกเขาได้ใช้จินตนาการ อ่านหนังสือ และเล่มเกมมากขึ้น

ขอถามถึงเรื่องชีวิตการเรียนของอาจารย์หน่อยค่ะ ทราบมาว่าอาจารย์เปลี่ยนเส้นทางจากการเรียนเศรษฐศาสตร์มาเรียนวิชาปรัชญา เพราะอะไรคะ

สมัยที่ผมเรียนมหาวิทยาลัย ชั้นเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์น่าเบื่อมาก เพราะอาจารย์ชอบให้ท่องจำตำราเรียน แต่พอผมลองเข้าเรียนวิชาปรัชญา ผมรู้สึกสนุกมาก อาจารย์ไม่สอนให้ท่องจำ แต่กระตุ้นให้นักศึกษาตั้งคำถามและคิดอย่างท้าทาย ผมก็เลยดร็อปวิชาเศรษฐศาสตร์แล้วมาลงเรียนวิชาปรัชญา ซึ่งนั่นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของผม เพราะผมได้ใช้ทักษะในการตั้งคำถามและอภิปรายในการทำงานเป็นนักการทูตในกระทรวงการต่างประเทศของสิงคโปร์ตลอดระยะเวลา 33 ปี

ดูเหมือนว่าสิงคโปร์จะเน้นความเป็นเลิศด้านการศึกษาของเด็ก แต่ความเป็นเลิศด้านการศึกษานี้ทำให้เด็กๆ อยู่รอดในโลกแห่งความเป็นจริงหรือเปล่า

นี่เป็นคำถามที่ตรงจุดมาก สิงคโปร์ประสบความสำเร็จในการสร้างประเทศอย่างดีเยี่ยมในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา เมื่อครั้งที่สิงคโปร์ฉลองครบรอบ 50 ปี วันประกาศอิสรภาพ ผมเขียนบทความไว้ว่า สิงคโปร์เป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก เราพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างรวดเร็ว แต่ในอีก 50 ปีต่อจากนี้ ถ้าเรายังทำอย่างที่เคยทำมาในช่วง 50 ปีที่แล้ว เราจะพบกับความล้มเหลว เพราะฉะนั้นเราต้องเปลี่ยนแปลง เราต้องสมมติฐานใหม่เกี่ยวกับความสำเร็จ และต้องตั้งเป้าหมายใหม่ ในเรื่องการศึกษา เราจะต้องให้เด็กๆ ตั้งคำถามมากขึ้น อภิปรายมากขึ้นในห้องเรียน

แสดงว่าความสำเร็จของสิงคโปร์ในช่วงที่ผ่านมา ไม่อาจการันตีความสำเร็จในอนาคตได้
ถูกต้องที่สุด และสิ่งที่อันตรายที่สุดที่สิงคโปร์เผชิญอยู่ในขณะนี้คือ การยึดติดอยู่กับความสำเร็จในอดีต ผมเคยเขียนไว้ในหนังสือเรื่อง "Can Singapore Survive?" ว่าจะเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงมากถ้าสิงคโปร์ลอกสูตรความสำเร็จของในช่วง 50 ปีแรกมาใช้ในการพัฒนาประเทศในอีก 50 ปีต่อจากนี้ เพราะโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาลในช่วง 30 ปีต่อจากนี้มากกว่าในที่เคยเปลี่ยนในช่วง 3,000 ปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นสิงคโปร์ซึ่ง
เป็นประเทศเล็กๆ ต้องปรับตัวให้ทัน

แล้วระบบการศึกษาของสิงคโปร์ต้องปรับตัวแค่ไหนคะ

ผมคิดว่าเราอาจจะไม่ต้องปรับมากในเรื่องของระบบการศึกษา แต่สิ่งที่ต้องปรับตัวมากคือระบบเศรษฐกิจ เพราะตอนนี้สิงคโปร์พึ่งพาการลงทุนจากบรรษัทข้ามชาติจำนวนมากที่มาลงทุนในสิงคโปร์ แต่ตอนนี้ประเทศอื่นๆ ก็ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้ไม่แพ้สิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็นเมียนมา บังคลาเทศ กัมพูชา ฯลฯ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราควรทำก็คือ ต้องสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (entrepreneurs) ซึ่งผู้ประกอบการรุ่นใหม่จะต้องมีความสามารถเฉพาะตัวบางอย่าง หนึ่งในนั้นก็คือความพร้อมที่จะล้มเหลว เพราะก่อนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น ผู้ประกอบการจะต้องผ่านความล้มเหลวมาก่อน ตลอดเวลาที่ผ่านมา สังคมสิงคโปร์มองว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องไม่ดี แต่ตอนนี้เราต้องมองความล้มเหลวในแง่บวก คนสิงคโปร์ต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ว่า ความล้มเหลวเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ

“การเรียนการสอนในห้องเรียนของสิงคโปร์นั้นดีมาก และเป็นอะไรที่ประเทศอื่นๆ ควรมาเรียนรู้จากเรา แต่ในส่วนที่เด็กๆ ต้องใช้เวลาไปกับการเรียนพิเศษนั่นไม่ใช่สิ่งที่น่าเอาอย่าง ผมคิดว่าเราต้องโน้มน้าวให้พ่อแม่ชาวสิงคโปร์กดดันลูกให้น้อยลงและปล่อยให้พวกเขาได้ใช้จินตนาการ อ่านหนังสือ และเล่มเกมมากขึ้น”

อาจารย์คิดว่าประเทศไทยจะเรียนรู้อะไรจากสิงคโปร์ได้บ้างในเรื่องการศึกษา

สิงคโปร์ให้ความสำคัญกับความเป็นเลิศ (execellence) เรามุ่งมั่นที่จะเป็นเลิศในทุกๆ ด้าน ดีเท่าไหร่ก็ยังไม่พอ เพราะเราต้องเป็นเลิศ ความมุ่งมั่นที่จะเป็นเลิศนั้นเป็นจุดแข็งของระบบการศึกษาสิงคโปร์ อีกประการหนึ่งคือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จากความสามารถของแต่ละคน (meritocrcy) กล่าวคือ เด็กทุกคนเข้ามาเรียนอย่างเท่าเทียมกัน แต่ถ้าเด็กคนไหนเก่ง ก็จะได้รับการสนับสนุนให้เก่งยิ่งๆ ขึ้นไปเพื่อให้เขาได้ใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ สองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ประเทศไทยน่าจะเรียนรู้จากสิงคโปร์

ดูเหมือนว่าเด็กไทยจะเน้นการเรียนแบบสบายๆ มากกว่า

ผมคิดว่าคงจะดีถ้าเราผสมผสานความสบายๆ แบบไทยๆ เข้ากับความมุ่งมั่นของสิงคโปร์ อันที่จริงสิงคโปร์ก็น่าจะผ่อนคลายลงหน่อยเพื่อเปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ได้ใช้จินตนาการ แต่ถึงที่สุดแล้วผมก็คิดว่าระบบการศึกษาของสิงคโปร์นั้นดีอยู่แล้ว และเด็กๆ ก็ทำผลการเรียนได้ดี และเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกได้ เป็นเรื่องดีที่ประเทศไทยจะมาดูตัวอย่างจากระบบการศึกษาของสิงคโปร์ รวมทั้งเรียนรู้จากความผิดพลาดของเราด้วย เพื่อที่ว่าไทยจะไม่ต้องทำผิดพลาดเหมือนเรา




Create Date : 22 พฤษภาคม 2560
Last Update : 22 พฤษภาคม 2560 6:58:30 น. 0 comments
Counter : 1268 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.