|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ทำไมเด็กสิงคโปร์ถึงเก่งเลขนัก ?
. . .
. . BRIEF: ทำไมเด็กสิงคโปร์ถึงเก่งเลขนัก บทเรียนเรื่องการศึกษาจากประเทศเพื่อนบ้าน . สิงคโปร์ นครรัฐที่มีประชากรเพียง 5.5 ล้านคน มักจะติดอันดับท็อปของโลกเมื่อเปรียบเทียบกันด้วยความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์ และยังเป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาที่น่าชื่นชมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก . ตัวอย่างเห็นได้จากการจัดอันดับความสามารถทางคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ของเด็กอายุ 15 ปี จาก 76 ประเทศ เผยแพร่โดย OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development) เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งสิงคโปร์มาเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยฮ่องกง เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และไต้หวัน ซึ่งแสดงถึงความโดดเด่นของเด็กๆ จากเอเชียเหนือเด็กจากฝั่งตะวันตกด้วย . ความสำเร็จของสิงคโปร์เกิดขึ้นในระยะเวลาเพียงไม่นาน หากย้อนไปในสมัยอาณานิคมชาวบ้านในสิงคโปร์ล้วนอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ จนกระทั่งถึงยุคที่ได้อิสรภาพรัฐบาลของ ลี กวน ยู ได้ขยายการศึกษาจนครอบคลุมประชากรทุกคน ดึงการลงทุนจากต่างชาติและสร้างภาคอุตสาหกรรมที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของพัฒนาการหลังยุคอาณานิคม . ที่นี่ คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์คือวิชาหลักที่พวกเขาให้ความสำคัญมากที่สุดในการศึกษาชั้นประถมและมัธยมต้น ตั้งแต่ชั้นประถมปลายขึ้นไปเด็กๆ จะได้เรียนกับครูที่มีความชำนาญด้านคณิตศาสตร์โดยเฉพาะ และในขณะที่นักเรียนสามารถเลือกเรียนด้านมนุษยศาสตร์ได้ในระดับ A-level (Advanced Level, เทียบได้กับมัธยมปลายเป็นใบประกาศสำหรับนักเรียนที่สอบได้หลังเรียนจบปีที่ 2 ในระดับ Junior College และนักเรียนที่สอบได้หลังจบปีที่ 3 ในโรงเรียนระดับเตรียมอุดมศึกษา) แต่พวกเขาก็ยังต้องเรียนด้านคณิตศาสตร์ หรืออย่างน้อยวิชาด้านวิทยาศาสตร์อีกหนึ่งวิชาจนกว่าจะเรียนจบ . กระบวนการแบบสิงคโปร์เริ่มพัฒนาขึ้นโดยคณะครูในช่วงทศวรรษที่ 1980 โดยครูเหล่านี้จะต้องเรียนงานวิจัยด้านพฤติกรรมศาสตร์ล่าสุด และต้องเดินทางไปยังโรงเรียนในต่างประเทศเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพในระบบการสอนที่ต่างกัน และเปลี่ยนจากระบบท่องจำแบบพื้นๆ มาโฟกัสที่การสอนให้เด็กรู้จักการแก้ปัญหาแทน . ตำราที่พวกเขาใช้ได้อิทธิพลมาจากนักจิตวิทยาการศึกษาชาวอเมริกัน Jerome Bruner ที่ชี้ว่ามนุษย์มีการเรียนรู้ในสามระดับ คือจากวัตถุจริงมาเป็นภาพ และสัญลักษณ์ จากการปรับใช้ทฤษฎีดังกล่าวพวกเขาจึงเน้นรูปแบบการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์โดยใช้ภาพเข้ามาช่วยด้วย . สำหรับหลักสูตรของสิงคโปร์ การเรียนในชั้นประถมของพวกเขามีหัวข้อวิชาที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับชาติตะวันตก แต่เรียนลงลึกไปในแต่ละเรื่องมากกว่า และในขณะที่ทางตะวันตกชอบคิดว่าเด็กแต่ละคนจะมีวิชาที่ตัวเองถนัดเฉพาะลงไป แต่ที่สิงคโปร์พวกเขาเชื่อว่าเด็กมีความสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการหากพวกเขาพยายาม . ในด้านวิทยาศาสตร์นักเรียนจะได้รับการสอนการเชิงปฏิบัติ เช่นการเรียนรู้จากการลงมือประกอบแผงวงจร ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการที่จูงใจให้เด็กสนใจด้านวิทยาศาสตร์มากกว่าด้านมนุษยศาสตร์ อย่างที่ Toh Thiam Chye ครูใหญ่จากโรงเรียนมัธยมต้น Admiralty กล่าวว่า "เราต้องการเตรียมพวกเขาสำหรับการทำงานในศตวรรษที่ 21 เช่นเดียวกันเราก็ต้องการป้อนความต้องการทางเศรษฐกิจด้วย" . และความสำเร็จของสิงคโปร์ก็ไม่ได้มาจากเงินเพียงอย่างเดียว เพราะพวกเขาใช้งบด้านการศึกษาคิดเป็นเพียง 3% ของ GDP ขณะที่อังกฤษใช้ราว 6% ส่วนสวีเดนราว 8% แต่ระบบของสิงคโปร์มีประสิทธิภาพสูงด้วยการมอบอิสระให้กับครูในการพัฒนารูปแบบการสอนของตัวเอง . ครูที่เก่งและประสบความสำเร็จจะไม่ถูกผลักดันให้ไปทำหน้าที่ด้านบริหารเหมือนที่อื่นๆ แต่พวกเขาจะได้รับโอกาสในการถ่ายทอดองค์ความรู้ และออกแบบหลักสูตรแทน . อย่างไรก็ดี แม้ว่า ระบบของสิงคโปร์จะได้รับคำชื่นชมจากต่างประเทศ แต่ภายในประเทศ ผู้ปกครองบางส่วนรู้สึกเป็นกังวลกับระบบที่ให้ความสำคัญกับการสอบ จนเกรงว่าจะสร้างความตึงเครียดให้กับเด็กมากจนเกินไป และกลัวว่าการเน้นความสำคัญที่ความสำเร็จด้านวิชาการเป็นหลักจะไปกระทบต่อพัฒนาการด้านอื่นของเด็กๆ หรือไม่ . ในทางตรงกันข้าม ที่ฟินแลนด์ อีกประเทศที่ได้รับการยกย่องด้านการศึกษา พวกเขาให้ความสำคัญกับพัฒนาการทางสังคมนำหน้าเรื่องวิชาการ ในชั้นเรียนระดับต้นๆ พวกเขาจะเน้นให้เด็กเล่นมากกว่าเรียน บางทีความสำเร็จของแต่ละประเทศจึงอาจมาจากเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกัน ซึ่ง Melissa Benn นักเขียนและนักรณรงค์ด้านการศึกษาชาวอังกฤษบอกว่า ที่อังกฤษจุดเด่นของพวกเขาอยู่ที่การมีความผ่อนคลายมากกว่า และให้อิสระทางความคิดมากกว่า . นอกจากนี้ระบบที่เป็นอยู่ในสิงคโปร์ก็มีส่วนในการสร้างความเหลื่อมล้ำ แม้รัฐบาลจะชูคำขวัญว่า "ทุกโรงเรียนเป็นโรงเรียนที่ดี" แต่บรรดาผู้ปกครองไม่เชื่อ และพยายามแย่งกันให้ลูกได้เข้าโรงเรียนที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุด และด้วยค่าใช้จ่ายทางด้านการศึกษาที่สูงจึงทำให้คนที่มีฐานะเพิ่มความได้เปรียบมากขึ้นไปอีก กลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางสังคม . "เมื่อไม่กี่ปีก่อน การศึกษาเป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้คนจนได้ลืมตาอ้าปาก" Michael Barr รองศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจาก Flinders University ในออสเตรเลียซึ่งสังเกตความเปลี่ยนแปลงในสิงคโปร์กล่าว "แต่ตอนนี้มันเกิดขึ้นน้อยลงเรื่อยๆ ด้วยมันต้องใช้เงินมากเพื่อที่จะใช้จ่ายในการศึกษาที่เกินหลักสูตร คุณต้องเป็นชนชั้นกลางทุนหนาเพื่อที่จะส่งเสริมด้านการศึกษาให้กับลูก" . นอกจากนี้ บางส่วนก็เริ่มเป็นกังวลว่า ระบบการศึกษาอย่างที่เป็นอยู่กำลังทำลายความคิดสร้างสรรค์ของเด็กๆ หรือไม่ ด้วยไม่ค่อยเห็นคนรุ่นใหม่สร้างกิจการใหม่ๆ ของตัวเองมากนัก และยังมีนักการศึกษาคนหนึ่งในสิงคโปร์อ้างว่า นักเรียนนักศึกษาหลายคนที่นี่ได้ถูกเปลี่ยนให้เป็น "เครื่องจักรการเรียน" จนทำให้พวกเขาไม่อาจหาคำตอบในสถานการณ์จริงได้ดีเท่าไหร่ . ระบบการศึกษาที่เป็นอยู่ในสิงคโปร์จึงกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ แม้ว่าที่ผ่านมาจะแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก่อน แต่พวกเขาจะประสบความสำเร็จต่อไปในระยะยาวด้วยระบบที่เป็นอยู่ได้หรือไม่นั้น เริ่มมีคำถามและข้อสงสัยมากขึ้นเหมือนกัน . . . ที่มา: https://www.ft.com/con
/2e4c61f2-4ec8-11e6-8172-e39ecd3b86fc
Create Date : 30 มีนาคม 2560 |
Last Update : 30 มีนาคม 2560 10:27:43 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1177 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
France
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]
|
|
|
|
|
|
|
|