|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
22 ธันวาคม 2550
|
|
|
|
ย้อนยุทธ์ ตอนที่ 7 เล่นกับอีเว้นท์
วันที่ 9 พฤศจิกายน 1989 ท่ามกลางความหนาวเย็นของอากาศยุโรปตะวันออก เหมือนเช่นทุกวัน สรรพสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติ เห็นผู้คนในชุดเสื้อโค้ทหนาสีทึม เดินเป็นเงาตะคุ่มๆ ใบไม้ทิ้งตัวเคว้งคว้างหลังปลิดจากต้นขั้วมาสู่ท้องถนน ท้องฟ้าในฤดูใบไม้ร่วงช่างเหงา ซึม ยะเยือก ไม่สดใสเอาเสียเลย
แต่ทันใดนั้น ใครคนหนึ่งหยิบค้อนใหญ่หนักอึ้งขึ้นมา ฟาดลงบนแท่นหินก้อนแรก เกิดแรงกระแทกแตกร้าวสนั่น พร้อมเสียงโห่ร้องอย่างปิติยินดี หลังจากนั้นค้อนทุบแท่นหินก้อนต่อไปก็ดังก้องขึ้นต่อ ก้องต่อไป ต่อไปและต่อไป เสียงเพลง Ode of Joy อันคุ้นหูจาก Symphony หมายเลข 9 ของคีตกวีเอก Beethoven ค่อยๆกระหึ่มตามจังหวะของเสียงค้อนทุบก้อนหิน
ภาพกว้างออกมา เราจะเห็นภาพทั้งหมดอย่างชัดเจนขึ้น ไม่ใช่การทำลายล้างหรือม็อบก่อเหตุความรุนแรง หากคือการทลายกำแพงเบอร์ลิน กำแพงหินตระหง่าน ที่ขวางกั้นประชาชาติชาวเยอรมันมาตลอด 28 ปี (ก่อสร้างเมื่อ 13 สิงหาคม 1961)
จนกระทั่งอิฐก้อนสุดท้ายแตกทลายลง พร้อมกับจังหวะเพลงที่จบอย่างยิ่งใหญ่ ณ มุมภาพถอยออกมา เห็นเด็กผู้ชายยิ้มอย่างแจ่มใส ในมือถือดอกกุหลายสีแดง ยื่นให้กับกล้อง พร้อมคำพูด ขอสันติสุขจงมีแต่ชาวโลกทุกคน มุมอีกด้านของจอภาพขึ้นโลโก เครื่องดื่มน้ำดำยี่ห้อหนึ่ง
นั่นคือสาระของโฆษณาของน้ำอัดลมคนรุ่นใหม่ ที่เล่นกับเหตุการณ์สำคัญของโลก เกาะกระแสที่อยู่ในความสนใจอย่างสอดคล้อง แนบเนียน แม้แฝงโฆษณาอยู่บ้างก็ไม่จงใจจนน่าเกลียด เ ป็นหนึ่งในโฆษณาที่สามารถสร้างความจดจำได้โดยไม่ยัดเยียด ถือเป็นการเล่นกับอีเว้นท์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง
แน่ละครับ ผลพลอยได้หลังจากนั้นก็คือ บริษัทน้ำอัดลมยักษ์นั้น สามารถฝ่าซากกำแพงเข้าไปสร้างตลาด ในดินแดนสนธยาอย่างเบอร์ลินตะวันออกได้เป็นรายแรกๆ
การเล่นกับอีเว้นวรรค เอ้ย อีเว้นท์ เป็นความท้าทายอย่างหนึ่งของนักการตลาด เพราะสามารถสร้างความทรงจำในแบรนด์ที่นำไปผูกด้วย แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม ( แน่ล่ะ คนส่วนใหญ่ต้องสนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากกว่า ) ถึงกระนั้น บรรดาแบรนด์ใหญ่ๆมักจะไม่ยอมพลาดเหตุการณ์สำคัญๆ ด้วยถือว่าเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีและสร้างความจดจำ หากเหตุการณ์นั้นยังปลุกกระแสได้นานต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อได้กลายเป็นบันทึกหน้าประวัติศาสตร์ยุคใหม่ ของการเปลี่ยนแปลงการเมือง การปกครอง ระหว่างค่ายลัทธิคอมมิวนิสต์และค่ายเสรีนิยม อย่างในกรณีกำแพงเบอร์ลินเบื้องต้นมานี้
ดูในบ้านเราบ้างครับ ไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน เรามีอีเว้นท์ดังๆปีละหลายๆงานที่ภาครัฐมักส่งเสริม สมเป็น Land of Events จริงๆ (แต่หลังจากงานจบก็กลายเป็นงานทุกข์ของพวกอีเวรและกรรมทั้งหลาย ที่ต้องมาคอยปัดกวาด ดูแลสภาพให้เรียบร้อยตามเดิม) บริษัทฯส่วนใหญ่ที่เล่นกับอีเว้นท์ในลักษณะนี้ ล้วนสวมบทบาทเพียงเป็นสปอนเซอร์ให้กับหน่วยงานที่จัด ซึ่งจะสามารถผลิตสื่อต่างๆเพื่อประกาศว่าเป็นผู้ให้การสนับสนุน(เงิน) อย่างเป็นทางการ (ห้ามคู่แข่งเข้ามาแอบติดป้ายในบริเวณงานเด็ดขาด) แน่นอนสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในงานนั้นได้ด้วย
แต่ก็มีบางอีเว้นท์ที่จัดครั้งเดียวจบ หรือมาแล้วไปเลย ไม่มีจัดซ้ำอีก (ดังเช่น การทลายกำแพงเบอร์ลิน) ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของการเล็งเห็นโอกาส ตลอดจนความเร็วในการเตรียมตัวเพื่อเล่นกับอีเว้นท์นั้นให้สมน้ำสมเนื้อ
เอ้า ก่อนจะย้อนยุทธ์กลับไปเล่าปรากฏประสบการณ์เล่นกับอีเว้นท์ครั้งนี้ ..ขอเช็คอายุผู้อ่าน (อีกแล้ว) ทราบมั้ยว่า สะพานแขวนพระราม 9 เปิดใช้มากี่ปีแล้ว 10 ปี ? ( ฮึมม์ น้อยไปครับ เมื่อเทียบกับสภาพชำรุดของสะพานวันนี้) 30 ปี ? (ฮืมม์ มากไปนิด นั่นต้องเรียกคุณน้าสะพานล่ะ) คุณพี่สะพานพระราม 9 เปิดมาได้ 20 ปีพอดีครับ ( ใครบางคนอาจจะยังไม่เกิดนะนี่) เปิดใช้เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2530 เป็นส่วนหนึ่งของทางด่วนเฉลิมมหานคร และเป็นสะพานแขวนแห่งแรกของไทย ฟังดูแค่นี้ก็น่าตื่นเต้นแล้ว...วว
อ้า เพื่อให้สมกับความยิ่งใหญ่อลังการ์ แทนที่จะเปิดสะพานเฉยๆ ปล่อยให้รถขบวนวิ่งเอาฤกษ์เอาชัยปกติ อย่ากระนั้นเลย ทำอีเว้นท์สนุกๆกันดีกว่า เอาประชาชนทั่วกรุงเทพ ฯ และฝั่งธนฯ มาร่วมเฉลิมฉลองด้วยการวิ่งมาราธอน ข้ามสะพานที่มีความยาวถึงสองกิโลเมตรกว่า (รวมทางลาดขึ้นจากทั้ง 2 ฝั่ง) ให้สนั่นหวั่นไหวเลย (เป็นการทดสอบความอึดของสะพานอีกต่างหาก ) เอ้า แล้วเอางบประมาณที่ไหนล่ะ ไม่ได้เตรียมการณ์ใหญ่ขนาดนี้ไว้นี่... ไม่เป็นไรขอบริจาคจากสปอนเซอร์ใหญ่ๆซิ รับรองจ้าวไหนๆก็อยากจะร่วมเหตุการณ์การวิ่งครั้งสำคัญครั้งนี้
แว่วข่าวมาเช่นนี้ บรรดา บริษ้ทห้างร้านธุรกิจใหญ่ๆหรือจะเพิกเฉยได้ ถือเป็นโอกาสอันงามที่จะได้ส่ง นางงามเอ๊ยผลิตภัณฑ์ของตัวเองเข้าร่วมด้วย มิหนำซ้ำยังมีการถ่ายทอดออกอากาศอีก ได้แอร์ไทม์ฟรีๆ (ขอให้ถ่ายเห็นแบนเนอร์โฆษณามากๆหน่อยนะคร้าบ) ว่าแล้วบริษัทเครื่องดื่มทั้งหลายก็เตรียมควักกระเป๋าจ่ายไม่อั้น เอาน่ะ ครั้งแรกของเมืองไทย มีแบรนด์ของบริษัทบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์เชียวนะ (แต่ครั้งต่อๆไป ขอคิดดูก่อน แห่ะ แห่ะ)
แต่นอกเหนือจากบริษัทเครื่องดื่มแล้ว ยังมีบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายผงซักฟอกรายใหญ่อีกจ้าว ที่ต้องการจะมีชื่อของตัวเองในหน้าประวัติศาสตร์เช่นกัน ( เอ...มันจะเกี่ยวหันมั้ยเนี่ย เออน่า...อยากจะร่วมอีเว้นท์ซะอย่าง ก็ต้องหาเหตุให้มีเอี่ยวจนได้แหละ) นอกเหนือจากเป็นสปอนเซอร์ให้กับงานแล้ว ถือโอกาสถ่ายหนังโฆษณาชุดใหม่ โดยมีประชาชนเรือนแสนร่วมแสดงด้วย เพื่อนชาว VI คนไหนไปวิ่งมาราธอนวันนั้นก็กลายเป็นดาราไปด้วย
การเล่นกับอีเว้นท์ครั้งนี้ ทีมงานต้องเตรียมตัวอย่างละเอียด เผื่อเหลือเผื่อขาดไว้หมด เพราะวิ่งแค่ครั้งเดียว ไม่มีการวิ่งซ้ำอีก ฉะนั้นการเก็บภาพจะต้องครบถ้วนและสมบูรณ์เพียงพอ เพื่อนำไปตัดต่อ สคริปท์จะถูกเขียนอย่างคร่าวๆ เน้นการวิ่งเป็นหลัก ตัวแสดงนำชาย หญิง(ที่ใส่เสื้อขาวสะอาด แม้ผ่านการวิ่งมาแล้ว) จะเป็นเพียงบทสรุปตบท้ายให้เห็นถึงความสนุก ปลื้มปิติของคนไทย ที่มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ครั้งหนึ่งกับสะพานแขวนแห่งแรกของประเทศ ฉากบางฉากเช่น นักแสดง บทสัมภาษณ์จะถูกถ่ายล่วงหน้าไว่ก่อน ขณะที่วันที่วิ่งจริง ทีมงานกระจายกล้องไปตามจุดต่างๆบนสะพาน ยิงช้อตคนวิ่งบนสะพานลงมา
อา...แล้วถ้าคนวิ่งเป็นแสนๆแล้ว มุมกล้องแค่นี้จะรับอยู่หรือ ทีมงานเริ่มกุมขมับ (โดยเฉพาะลูกค้า)เมื่อทางตากล้องคนเก่ง ขอเสนอเฮลิคอปเตอร์ช้อต ( อาศัยกล้องที่ยิงลงมาจากจากเฮลิคอปเตอร์) ซี่งจะได้มุมกว้าง เห็นคนนับแสนๆได้ สมความเกรียงไกร ว่าแล้ว..ลูกค้าก็จำยอม เอาก็เอา(ฟ่ะ) เพื่อครั้งหนึ่งในชีวิต หวังว่าคงไม่มีการวิ่งลอยฟ้าบ่อยๆนักหรอกนะ
และแล้วการถ่ายทำภาพยนตร์ชุด วิ่งลอยฟ้า ก็ดำเนินไปเสร็จสมบูรณ์ โชคช่วยที่แดดวันนั้นไม่ร้อนเกินไป แถมยังมีเฮลิคอปเตอร์จากหน่วยงานอื่นบินมาเก็บภาพเช่นเดียวกัน จึงได้บรรยากาศของภาพยนตร์ประมาณน้องๆ Top Gun ที่ตาพระเอกทอม ครุยส์เล่น กำลังโด่งดังในโรงขณะนั้น
กฏข้อสำคัญของการเล่นอีเว้นท์ก็คือ เล่นกับกระแส อารมณ์และความรู้สึกของมวลชน ณ วินาทีนั้น หากช้าไปเพียงวันสองวันก็เท่ากับสอบตก ฉะนั้นเมื่อเก็บภาพครบแล้ว ทีมงานก็ต้องรีบแข่งกับเวลา เอาภาพทั้งหมดไปล้างฟิลม์และตัดต่อ อัดเสียงทันที เพื่อให้ลูกค้าอนุมัติก่อนจะออกอากาศในคืนนั้น พร้อมๆกับรายงานช่าวภาคหัวค่ำ ซึ่งแน่นอน ฝ่ายมีเดียได้วิ่งล็อบบี้ขอตัวโฆษณา ให้อยู่ในเบรคแรกทุกช่อง ทุกสถานีและเป็นเรื่องแรก ต่อจากรายงานข่าวการวิ่งมาราธอนสะพานแขวนจบลง
ฮืมม์...งานนี้ถึงแข่งกับเวลาสุดขีดแต่ก็ดูราบรื่นผิดปกตินะ สงสัยทีมงานจะถูกชะตากับสะพาน เห็นทีพรุ่งนี้สะพานเปิดให้รถสัญจร จะเอารถไปวิ่งเอาฤกษ์เอาชัย ยกมือไหว้ท่วมหัว (ใช้มือเดียว) ขอขอบคุณสักหน่อย
.....อะอะ....เค้าลางความยุ่งยากเริ่มปรากฏขึ้น เมื่อภาพยนตร์ที่ตัดต่อเสร็จหมาดๆร้อนๆฉายขึ้นจอมอนิเตอร์ ด้วยอารมณ์ โทน และภาพขณะนั้น ทีมงานเลยขอตัดฉากสำคัญอันเก่าแก่ออกไปจากความยาว 30 วินาที นั่นก็คือ ฉากพรีเซ้นเตอร์คนคุ้นเคยขณะถือกล่องผงซักฟอก ซึ่งเป็นขนบนิยมตอนจบประจำโฆษณาทุกเรื่องของผงซักฟอกจ้าวนี้ ลูกค้าเริ่มคิ้วขมวด ถ้าไม่มีฉากเด็ดโบราณๆที่ว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นหนังโฆษณาของเรา... จะเอามัน เอาสวย เอาบรรยากาศ แต่ไม่ขายของ ไม่ใช่สารคดีข่าวนะ คุณ อย่างนี้...พวกคุณจ่ายค่าถ่ายหนังแล้วชื่นชมดูกันเองก็แล้วกัน (เฉพาะเฮลิคอปเตอร์ช้อตนั่นก็เป็นแสนแล้ว)
บรรยากาศชักเครียด ฝ่ายมีเดียสาวก็โทรศัพท์เร่งยิกๆ เมื่อไหร่เทปหนังจะเสร็จยะ ต้องเร่งส่งให้สถานีโทรทัศน์ทุกช่อง ออกอากาศคืนนี้นะ หรือเปลี่ยนใจอยากจะออกพรุ่งนี้ยะ ขณะที่ผู้อยู่ในวงสนทนาหน้าถอดสี ทุกคนเงียบกริบ ทีมงานด้านเอเยนซี่ก็เลยขอประนีประนอมตัดต่ออีกเวอร์ชั่นหนึ่ง ขายของเต็มที่ครับ แต่ขอเวอร์ชั่นที่เพิ่งนำเสนอ( ไม่มีกล่องผงซักฟอก) ออกอากาศสู่สายตาประชาชนคืนนี้ก่อน เถียงกันไปเถียงกันมา เข็มนาฬิกาก็หมุนคืบหน้าไปเรื่อยๆ
จนในที่สุด ลูกค้ากัดฟันพยักหน้าอย่างจำยอม ...(มัดมือชกนี่หว่า) แต่ไม่วายย้ำ เวอร์ชั่นที่จะใช้ตลอดไป คนถือกล่องผงซักฟอกต้องเป็นพระเอก ไม่งั้น...ไม่ต้องฉาย เฮลิคอปเตอร์ช้อตก็เหอะ....ผมไม่ได้ขาย ฮ. นะคุณ
ในที่สุด คืนนั้น ทุกคนเฝ้าจับตาดูโทรทัศน์ช่วงข่าวภาคค่ำ หลังรายงานการวิ่งมาราธอนสะพานพระราม 9 จบ พอพักเบรคโฆษณา นึกว่ายังมีข่าวต่อเนื่องอีก เพราะภาพที่เห็น ณ วินาทีนั้น คือ
สะพานพระราม 9 ตระหง่านเหนือแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงเช้ามืด แล้วแสงอาทิตย์เริ่มสาดไล้ตามส่วนต่างๆของสะพาน ปืนยิงสลุตเสียงลั่น เส้นขึงสะพานไหวน้อยๆ ตัดภาพ เห็นเหล่านักวิ่งค่อยๆปรากฏตัวขึ้นบนสะพาน มากขึ้น มากขึ้นนับแสน เฮลิปคอปเตอร์ 2 ลำ บินเข้ามาในช้อต สร้างเสียงและบรรยากาศให้ตื่นเต้นและขึงขังขึ้นไปอีก กระทั่งเหล่านักวิ่งวิ่งเสร็จผ่านทะลุเส้นชัย ท่ามกลางเสียงปรบมือกึกก้องพร้อมรอยยิ้มบนความเหน็ดเหนื่อย.....
เช่นเดียวกับรอยยิ้มโล่งใจของเหล่าทีมงานในท้ายสุด ยังไม่ลืมความตั้งใจที่จะขับรถไปขอบคุณสะพาน ในวันรุ่งขึ้น
หลังจากนั้นก็กลายเป็นประเพณีของการเปิดสะพานใหม่ทุกที่ ก็ต้องมีวิ่งเอาฤกษ์เอาชัย แต่ความทรงจำของชาวกรุงเทพและฝั่งธนฯ ยังจดจำครั้งแรกของการวิ่งมาราธอนบนสะพานแขวนได้เสมอ
Create Date : 22 ธันวาคม 2550 |
Last Update : 1 เมษายน 2551 20:59:41 น. |
|
0 comments
|
Counter : 455 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
|
รุ้งพลบ |
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]
|
ใช้ชีวิตแสวงหามาหลายปี ปัจจุบันก็ยังแสวงหาไม่รู้จักเสร็จ บางอารมณ์เหนื่อยๆ ก็หยุดพัก แล้วตรองนิ่งเขียนบันทึกในสิ่งที่พบเห็น
บางอารมณ์ที่โมแรนติค ชอบดูสายรุ้งตอนโพล้เพล้
|
|
|