ความทรงจำเก่า ๆ ก่อนจะลืมเลือนหายไปกับกาลเวลา
Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
14 พฤศจิกายน 2557
 
All Blogs
 
ชีวิตชายแดนปาดังเบซาร์-เปี๊ยกคนขับรถยนต์

เปี๊ยกตายแล้ว  เสียงโทรศัพท์จากพี่สาวเปี๊ยก
ที่โทรมาจากหมู่บ้านตัวอย่างสะเดา

ภาพเก่า ๆ ย้อนหลังไปหลายสิบปีที่แล้วมา
ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาจากความทรงจำ
เหมือนภาพถ่ายในลิ้นชักที่เก็บไว้นานจนหลงลืมไป
ตอนเจอเปี๊ยกครั้งแรก  เปี๊ยกตัวอ้วนดำ กลมป้อม
จัดว่าเป็นพนักงานขับรถยนต์ของธนาคารไทยแห่งแรก
ที่มีตัวอ้วนที่สุดในเขตภาคใต้ทั้งหมด
ที่จำได้ดีเพราะช่วงหลังไปอยู่สำนักงานเขต
และมีการประชุมพบปะระหว่างสาขาในเขตภาคใต้
มักจะเจอคนขับรถยนต์ของสาขาและสำนักงานเขต
เปรียบเทียบรูปร่างแล้วของเปี๊ยกกินขาดทีเดียว

หลังจากร่วมงานกันสักพักในช่วงเดินตลาด
เพื่อเชิญชวนให้ลูกค้ามาเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคาร
ตอนช่วงเย็นที่มีการเก็บรายการ/จดบันทึกเรื่องการเดินตลาด
พนักงานในสาขาเริ่มจับกลุ่มพูดคุยกันมากขึ้น
ส่วนเปี๊ยกจะค่อนข้างเงียบ ๆ มานั่งอยู่ในสาขา
แต่ไม่ค่อยพูดคุยเท่าไรมากนัก
ส่วนมากมักไปกับผู้จัดการสาขา
เพื่อไปหาลูกค้ารายใหญ่และขับรถยนต์ให้กับผู้จัดการเป็นหลัก

ต่อมาเมื่ออยู่กันนาน ๆ เข้า
เริ่มรับทราบประวัติของเปี๊ยกจากสมุหบัญชีสาขา
เล่าให้ฟังว่า  ตอนที่เจอเปี๊ยกครั้งแรกที่บ้านพักสันติบาลสะเดา
พี่เขยเปี๊ยกตอนนั้นเป็นตำรวจระดับจ่าอยู่ที่นั่น
ผู้จัดการสาขาสอบถามว่า กินเหล้าไหม สูบบุหรี่ไหม
เปี๊ยกเอาแต่นั่งอมยิ้มไม่พูดไม่จามากนัก
บอกแต่ว่า ไม่ครับ
เพราะกลัวไม่ได้งานทำที่ธนาคาร

การที่พี่เขยเปี๊ยกแนะนำให้มาทำงานกับธนาคารนั้น
ช่วงนั้นที่สะเดา ปาดังเบซาร์ยังมีอิทธิพลของโจรจีนมาลายาครอบงำอยู่
ขอใช้คำว่าโจรจีนมาลายา  ในการเขียนเรื่องนี้เพราะเป็นคำเรียกทั่วไป
ไม่ใช่เป็นคำเรียกที่ไม่ให้เกียรติหรือดูถูก
กับเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษมีการค้าขายสินค้าชายแดนคึกคัก
คนพื้นที่เกลียดมากจึงมีข้อห้ามเรียกว่าของเถื่อนหรือของหนีภาษี
แต่ให้เรียกว่าสินค้าชายแดน
เพราะสินค้าบางครั้งมีการจ่ายภาษีถูกต้องตามกฎหมาย
หรือมีการประมูลมาจากศุลกากร (นาน ๆ ครั้ง)
แล้วนำไปขายได้ทั่วประเทศไทย
ตราบเท่าที่ยังไม่มีการขีดฆ่าหรือยกเลิกเอกสารฉบับนั้น
สินค้าชายแดนยอดฮิตสมัยนั้นคือ เครื่องเสียง เครื่องเล่นวิดีโอ
แอปเปิ้ล ขนมต่าง ๆ บุหรี่  สุราต่างประเทศ

เปี๊ยกเป็นคนในพื้นที่สะเดาตั้งแต่เกิด
ทำให้ทราบสายสนกลในและเครือข่ายบุคคลในท้องที่เป็นอย่างดี
ส่วนพ่อเปี๊ยกเป็นนายดาบตำรวจที่สะเดาหลายสิบปีแล้ว
หลังเกษียณอายุราชการได้เป็นนายร้อยตรี
เป็นพลตำรวจที่เกณฑ์มาจากโพธารามตอนอายุ 20 ปี
(คนสวยโพธาราม  คนงามบ้านโป่ง)
สมัยพ่อเปี๊ยกการเป็นตำรวจยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2
ต้องเกณฑ์เอาไม่มีการแย่งชิงกันสมัครเหมือนสมัยปัจจุบัน
เมื่อพ่อเปี๊ยกถูกย้ายลงมาอยู่ที่สะเดา
จึงพาแม่เปี๊ยกลงมาอยู่ด้วยที่สะเดา
และให้กำเหนิดพี่น้องเปี๊ยกที่สะเดาสี่คน
เป็นหญิงสองคน ชายสองคน

ขอแอบนินทาครอบครัวเป็ยกไม่งามจริง
เพราะลึก ๆ แล้วแกยอมรับว่า
ดั้งเดิมบรรพบุรุษเป็นพวกลาวพุงดำ
ที่ครัวเรือนถูกอพยพโยกย้ายมาสมัยรัชกาลที่ 3
เปี๊ยกตัวเลยดำเหมือนพ่อกับแม่
เคยไปบ้านเก่าพ่อแม่/ญาติของเปี๊ยกที่โพธาราม
ตอนไปรับรถยนต์มือสองจากกรุงเทพฯ
ขับลงมาหาดใหญ่ให้เปี๋ยกขับมือเดียวตลอด
เพราะตอนนั้นยังขับรถยนต์ไม่คล่องมากนัก

เปี๊ยกเล่าให้ฟังเองว่า
ก่อนจะลงมาทำงานขับรถยนต์ให้ที่ธนาคาร
ได้ทำงานเป็นหมอที่โพธารามแล้ว
เพราะไปได้วิชาเสนารักษ์จากการเป็นทหารเกณฑ์สองปี
สมัยนั้นแพทย์แผนปัจจุบันก็หายากมาก
เมื่อเปี๊ยกกลับไปหาญาติพี่น้องที่โพธาราม
เลยได้เป็นหมอตำบลเพราะหาแพทย์แผนปัจจุบันไม่ได้
พร้อมมีรายได้จากการฉีดยาพวกวิตามิน  รักษาโรคเล็ก ๆ น้อย ๆ

แม้ว่าจะมีรายได้ค่อนข้างดีในตอนนั้น
แต่ที่ยอมลงมาเพราะพี่สาวพี่เขยขอร้องอย่างหนึ่ง
กับได้มาดูแลพ่อกับแม่ที่ยังอยู่สะเดา
พร้อมพ่อแม่ตั้งความหวังว่า
เมื่อเกษียณอายุแล้วจะกลับไปอยู่ที่โพธาราม
แต่สุดท้ายแม่ได้กลับคนเดียว
ส่วนพ่อเสียชีวิตและเผาที่สะเดาเหมือนกับเปี๊ยก
(ไว้จะค่อย ๆ ลำดับเหตุการณ์จากความทรงจำ)

สมัยที่เปี๊ยกเป็นทหารเกณฑ์อยู่นั้น
พลพรรคทหารจะเดินลาดตระเวณแถวสะเดา เขาน้ำค้าง
เคยสอบถามว่าเคยปะทะกับโจรจีนมาลายาหรือไม่
แกบอกจริง ๆ แล้วต่างฝ่ายต่างหลบหลีกกัน
เลยไม่ค่อยมีการปะทะกับโจรจีนมาลายา
รวมทั้งผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ไทยด้วย
เพราะลึก ๆ ต่างฝ่ายต่างกลัวตายเหมือนกัน
การเคยเป็นทหารเกณฑ์ของเปี๊ยกจึงมีข้อดี
คือ ทำให้เข้าใจและทราบพื้นที่แถบนี้ดี
ว่าบริเวณไหนเป็นเขตอิทธิพลหรือที่ตั้งฐานที่มั่นโจรจีน
ลูกค้าธนาคารเคยไปดูบังเกอร์โจรจีนในป่ายางครั้งหนึ่งนานมากแล้ว

เปี๊ยกเคยหายไปร่วมชั่วโมงทีเดียว
ตอนพาพวกผมไปเที่ยวที่เขื่อนบางลางยะลา
เพราะมีแฟนของเพื่อนที่ทำงานเป็นวิศวกรที่นั่น
เลยได้พลอยสิทธิ์ได้ที่พักฟรี  เป็นสถานที่พักผ่อน
และเปิดไฟฟ้าทิ้งกันทั้งวันทั้งคืนเพราะมีการผลิตไฟฟ้าที่นั่น
สอบถามได้ความว่าไปเยี่ยมเพื่อนมุสลิมที่เป็นยามที่เขื่อน
ถามว่าทำไมจำได้หรือหลายปีแล้วนะ
แกบอกเดินตามหลังมันตอนเป็นทหารเกณฑ์ตั้งสองปี
ทำไมจะจำมันไม่ได้หละ

คล้าย ๆ กับหนังสือรีเดอร์ไดแจสที่เคยอ่านพบขำขำว่า
ตอนที่สามีเธอขับรถยนต์อยู่นั้น  
มีรถยนต์คันหน้าขับอยู่  สามีขับตามหลังพยายามเปิดไฟกระพริบใส่
แล้วค่อย ๆ เทียบข้างส่งสัญญาณให้จอดข้างทาง
ปรากฎว่าพอผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมา
สามีกับผู้ชายคนนั้นกอดกันและทักทายกันอย่างสนิทสนมมาก
เธอเลยถามว่าจำได้อย่างไรว่าเป็นเพื่อนสนิท
สามีตอบว่า  ผมเดินตามหลังมันตอนเรียนนายร้อยนานถึงสี่ปี
เลยจำศีรษะของมันได้เป็นอย่างดีว่ารูปทรงนี้ใช่เลย
แม้ว่าจะไม่เจอกันนานหลายสิบปีแล้วก็ตาม
เพราะโยกย้ายไปอยู่ฐานทัพคนละแห่ง

ส่วนที่ธนาคารสาขาที่ทำงานเช่นกัน
ทางโจรจีนมาลายามาเรียกให้จ่ายค่าคุ้มครองด้วย
ที่ทราบดีเพราะผู้จัดการสาขาเล่าให้ฟังเองหลังเออรี่รีไทร์แล้วว่า
หลังจากเปิดสาขาเพียงไม่กี่เดือน
หัวหน้าโจรจีนในเขตปาดังเบซาร์มากับเพื่อนอีกคน
ขึ้นไปคุยที่ชั้นลอยของสาขาที่เป็นที่ทำงานผู้จัดการสาขา
ขอค่าตะเกียง(ค่าคุ้มครอง)จากพนักงานทุกคน
ในสมัยนั้นคนที่กรีดยางหรือมีสวนยางพารา
จะต้องจ่ายค่าตะเกียง(ใช้ติดศีรษะเวลากรีดยาง)
เป็นรายเดือน ๆ ละ 5-20 บาทแล้วแต่แปลงเล็กแปลงใหญ่
ส่วนเจ้าของก็ต้องจ่ายเป็นรายปีช่วงตรุษจีน
แปลงใหญ่มากก็หลักหมื่นอย่างต่ำ

การจ่ายค่าคุ้มครองในพื้นที่อิทธิพลให้โจรจีนมาลายา
มีข้อดีอย่างหนึ่งคือ ยางที่กรีดทิ้งไว้  ข้าวของในบ้านพัก
ไม่มีการสูญหายอย่างแน่นอนรับประกันร้อยเปอร์เซ็นต์
ถ้าสูญหายเพราะถูกลักขโมยจะมีการติดตามคืนได้ส่วนใหญ่
และจะมีการตักเตือนขโมยด้วยบาทาทัณฑ์ก่อน
มีการเตือนไม่เกินสามครั้ง  ถ้าไม่เชื่อครั้งที่สามก็ยิงทิ้งประจาน
โดยทิ้งไว้ในสวนยางพาราหรือบนถนนหลวงสมัยก่อน

แต่มีข้อเสียคือ  คนที่จ่ายค่าคุ้มครองให้โจรจีนมาลายา
อาจจะถูกทางการกล่าวหาว่าให้ความร่วมมือกับโจรก่อการร้าย
โทษทัณฑ์เบา ๆ ก็ติดคุกฟรีสองปีข้อหาคอมมิวนิสต์
หนักหนาสาหัสก็ถูกยิงทิ้งตามระเบียบ
การเป็นชาวบ้านในสมัยนั้นหรือสมัยไหนก็ตามแต่
ถ้าพื้นที่มีความแปลกแยกหรือความขัดแย้งทางการเมืองสูง
ชาวบ้านก็เหมือนคนอยู่ระหว่างควายสองตัวกำลังจะชนกัน
หลบหลีกไม่ดีจะถูกควายตัวใดตัวหนึ่งขวิดตาย

หรือเหมือนอดีตนายกรัฐมนตรีสตรีอังกฤษ
เจ้าของฉายาหญิงเหล็กที่พูดว่า
คุณอยู่กึ่งกลางถนนไม่ได้หรอก
เพราะคุณมีสิทธิ์ถูกรถยนต์ชนตายทั้งสองข้าง
(แต่ชาวบ้านต้องฉลาดเลือกที่หลบอยู่ข้างทาง
หรือรอให้ถนนโล่งเสียก่อนจึงจะข้ามถนน)

ในการเรียกค่าคุ้มครองคราวนั้น
ทางหัวหน้าโจรจีนที่มาติดต่อเรียกเก็บจากพนักงานหลักพันต่อเดือน
เพราะประมาณการเอาว่าพนักงานน่าจะเงินเดือนดีมาก
หรืออาจจะเป็นยุทธศาสตร์ในการเจรจาต่อรอง
ประเภทที่พรรคคอมมิวนิสต์ชอบพูดกันว่า
ยุทธวิธีคือสิบรบหนึ่ง  ยุทธศาตร์คือหนึ่งรบสิบ
สุดท้ายมีการจ่ายเงินเป็นรายปีให้ประมาณสามหมื่นบาท
โดยเบิกจากค่าตั๋วโดยสารเครื่องบินไปต่างประเทศ
เพื่อให้ถูกต้องตามหลักการบัญชีและระเบียบธนาคาร
โดยลงเป็นค่าใช้จ่ายของกรรมการผู้จัดการใหญ่
ที่เคยดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมพระคลังสมัยหนึ่ง

แต่ปีต่อ ๆ มาไม่มีการเรียกเก็บค่าคุ้มครองอีกแล้ว
เพราะโจรจีนมลายูได้สลายตัวยุบพรรคไปแล้ว
เนื่องจากจีนเป็งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต​มลายู
ได้เข้ามารายงานตัวกับรัฐบาลไทย
สม้ยนายกรัฐมนตรีชวลิต  ยงใจยุทธ
ที่ห้องประชุมชั้นบนโรงแรมลีการ์เดนส์(หลังเก่า)
ตั้งอยู่ระหว่างสายหนึ่งกับสายสองของหาดใหญ่
มีการออกข่าวกันเอีกเกริกทั้งไทยและต่างประเทศ

จีนเป็งช่วงหลังจะพักอยู่ในบริเวณค่ายทหารที่หาดใหญ่
และไป ๆ มา ๆ  ที่กรุงเทพฯ เบตง นาทวี
ชอบมานั่งพูดคุยกับเพื่อนที่ร้านกาแฟสายสาม
ตอนนี้กลายเป็นร้าน  7-11  ไปแล้ว
จริง ๆ รูปร่างท่านไม่สูงมากนักผิวขาว
พูดจาสุภาพเรียบร้อยมาก
แต่คนพวกนี้มีความแปลกอย่างหนึ่ง
คล้ายมีบารมีและความสง่างามในตนเอง
มองจากไกล ๆ คล้ายคนสูงใหญ่น่าเกรงขาม
สุดท้ายท่านเสียชีวิตที่หาดใหญ่ถ้าจำไม่ผิด

จีนเป็งเคยขอกลับมาเลเซียเพื่อเยี่ยมญาติพี่น้องที่นั่น
แต่มาเลย์ไม่ให้เข้าประเทศบอกว่าให้ไปหาสูติบัตรมาก่อน
เพื่อยืนยันว่าเกิดที่มาเลเซียจริง
ท่านบอกว่าหลักฐานจะหาได้อย่างไรเพราะนานมากแล้ว
ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2  

แม้ว่าน้องสาวจีนเป็นยังอยู่ที่มาเลย์ก็ตามแต่
แต่มาเลเซียไม่รับรู้ไม่สนในเรื่องนี้
แถมยังขู่สำทับว่า เข้ามาเมื่อไรจะแขวนคอทันที
เพราะไทยเจรจากับโจรจีนมาลายาเอง
ทางมาเลย์ไม่รับทราบไม่สนใจเรื่องนี้
รวมทั้งทหารตำรวจมาเลย์ตายกับโจรจีนมาลายาหลายคน
หนี้แค้นหนี้โลหิตรอการชำระอยู่

ส่วนที่เบตง กับ นาทวี ทั้งสองแห่งนั้น
มีอุโมงค์ของโจรจีนมลายูขุดอยู่
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและมีการรักษาโรคแผนจีนโบราณ
ที่หมอเรียนรู้จากบรรพบุรุษหรือบางส่วนจากหมอตีนเปล่าจีนแดง
ที่ทำการรักษาโรคภัยไข้เจ็บพลพรรคโจรจีนมาลายากันเอง
กับเป็นที่ดินทำกินที่จัดสรรให้พลพรรคที่มารายงานตัวกับทางการไทย
บางคนก็นำเงินทุนมาค้าขายที่หาดใหญ่หรือกรุงเทพฯ
ร่ำรวยไปหลายคนเช่นกันเท่าที่พอทราบ

มีข้อสังเกตอย่างและเคยพบเห็นกับตนเองพร้อมเพื่อน
เห็นคนจีนแก่ ๆ แถวนาทวีดูเชย ๆ
แต่พวกนี้ยิงปืนแม่นมากแทบจับวางทีเดียว
เรียกว่าเสือจะแก่จะเฒ่ายังไงก็ยังเป็นเสือ
ในเขตอิทธิพลเก่าของโจรจีนมลายู
สังเกตว่าเหตุร้ายอุกฉกรรจ์จะไม่ค่อยมี



ขอลำดับเหตุการณ์ก่อนแล้วจะทะยอยเขียน




Create Date : 14 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 6 ธันวาคม 2557 21:31:46 น. 2 comments
Counter : 959 Pageviews.

 
เข้ามาอ่านค่ะ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 14 พฤศจิกายน 2557 เวลา:16:50:06 น.  

 
สวัสดีค่าคุณ ravio ^^

อยู่หาดใหญ่ค่ะ แต่่ไปสะเดาบ่อยเหมือนกัน
เคยไปนาทวี อุโมงค์เขาน้ำค้าง เส้นที่ตัดออกมาถึงแยกสะเดา
เปลี่ยวแล้วก็เหมือนไม่ใช่บ้านเราเลยค่ะ
น่าจะเป็นเพราะคนจีนมลายูเยอะรึเปล่า

แต่เบตงชอบมากๆค่ะ ตอนเด็กๆ เคยไปเที่ยวเป็นเมืองสวยสงบดี

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆค่า



โดย: lovereason วันที่: 14 พฤศจิกายน 2557 เวลา:21:11:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ravio
Location :
สงขลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 32 คน [?]




เกิดหาดใหญ่ วัยเด็กเรียนหนังสือโรงเรียน Catholic คณะ Salesian มีนักบุญประจำโรงเรียน Saint Bosco, Saint Savio ชอบอ่านหนังสือ godfather เกี่ยวกับ Mafio ของพวกซิซีเลียน เคยเล่นเกมส์ Mario แล้วได้คะแนนนำเลยนำสระโอมาต่อท้ายชื่อเป็น Ravio ได้กลิ่นอายแบบ Italino เคยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเรียนวิชาชีพทำมาหากิน แต่ไม่ใช่วิชาที่ชื่นชอบมากนัก เรียนอยู่กว่าเจ็ดปี ต้องกลับมาทำงานเป็นกรรมกรที่บ้านเกิด จนเริ่มเกิดความหลงรักชีวิตบ้านนอก และวิถีชิวิตชุมชนท้องถิ่นที่ตนอยู่และไปร่วมวงเสวนา

เกิดเดือนมีนาคม แต่ลัคนาราศรีตุลย์ ชอบไปทุกเรื่อง สุดท้ายทำอะไรที่ได้เรื่องไม่กี่เรื่อง แต่ส่วนมากมักไม่ได้เรื่อง

ชอบขับรถยนต์ท่องเที่ยวชมภูเขา ป่าไม้ น้ำตก แต่ไม่ชอบทะเลหรือชายหาด เพราะรู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยว เมื่อคิดถึงชีวิตตนเองที่มาเปรียบเทียบกับสองสิ่งสองอย่างนี้ รู้สึกว่ามนุษย์เป็นเพียงชีวิตที่เล็กน้อยมากที่มาอยู่อาศัยในโลกใบนี้

ชอบอ่านหนังสือ ท่องเที่ยวใน Internet ชอบเดินทางท่องเที่ยวแถว ในละแวกท้องถิ่นบ้านเกิด นาน ๆ ครั้งจะขึ้นไปเยี่ยมเพื่อนที่กรุงเทพฯ หรือไปหาซื้อหนังสือแถวสยามสแควร์ ถิ่นเก่าที่อยู่และที่เรียน






Friends' blogs
[Add ravio's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.