เส้นทางแสวงบุญ จากอรุณอัมรินทร์ สู่ ท่าดินแดง
ได้ฤกษ์งามยามดี หลังจากได้พบเพื่อนสมัยเด็กที่ไม่ได้พบกันซะนาน เลยนัดกันไปทำบุญ ทำทาน ถวายสังฆทานชำระล้างจิตใจเพื่อเป็นผู้ให้ที่ใสสะอาดกัน
สายๆ เราเริ่มเดินสายทำบุญโดยถวายสังฆทานครบชุดที่พระอาจารย์สมชาติ วัดบุญญประดิษฐ์ ก่อนแล้วค่อยเดินทางไปสักการะ เดินสายทำบุญวัดต่างๆ โดยเดินทางมาจากถนนสาย 9 กาญจนาภิเษกเข้าถนนที่ตัดใหม่ ใช้เวลาอึดใจเดียวเราก็มาถึง สามแยกไฟฉาย ข้ามแยกไฟฉายตรงมาจะเป็น โรงพยาบาลศิริราช เรามาเริ่มงานบุญกันเลย หลังจากเลี้ยวไปทางซ้ายก็สามารถเริ่มวัดแรกได้เลย
1.วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
| พระปรางค์วัดอรุณ |
cr:https://th.wikipedia.org/wiki/วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
พวกเราขับเลยทางเข้าไป จึงผ่านวัดนี้ไปก่อนถ้ามีเวลาเราจะมาเก็บขากลับ
วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร หรือวัดแจ้งเป็นวัดโบราณ สร้างในสมัยอยุธยา ว่ากันว่าเดิมเรียกว่า วัดมะกอก เชื่อกันว่า เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงตั้งราชธานีที่กรุงธนบุรีใน พ.ศ. 2310 ได้เสด็จมาถึงหน้าวัดนี้ตอนรุ่งแจ้ง จึงพระราชทานชื่อใหม่ว่าวัดแจ้ง
cr:https://th.wikipedia.org/wiki/วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
2. วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร
| เพิ่มคำอธิบายภาพ |
ที่วัดประดิษฐานรูปหล่อหลวงพ่อโต ซึ่งที่เป็นพระสุปฏิปันโณที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เก่าแก่มีชื่อเสียงประดิษฐานอยู่ภายในวัด เราจึงไปกราบไหว้ ทำบุญ และไปกันต่อ
วัดแห่งนี้เป็นวัดโบราณ สร้างในสมัยอยุธยา เดิมชื่อ วัดบางว้าใหญ่ (หรือบางหว้าใหญ่) ในสมัยธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสร้างพระราชวังใกล้วัดบางว้าใหญ่ โปรดเกล้าฯ ให้ยกเป็นพระอารามหลวงและเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช ในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชสมัยรัชกาลที่ 1
3. วัดโมฬีโลกยาราม
| เพิ่มคำอธิบายภาพ | Cr.: //www.dmc.tv
วัดนี้พวกเราผ่านเฉยๆ จึงไม่มีภาพภายในวัดให้ได้ชม ขอยืมมาจากพี่วิกิให้ชมนะคะ
ชื่อลำลองว่า วัดท้ายตลาด เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร เป็นวัดที่สร้างในสมัยอยุธยา ไม่ปรากฏนามผู้สร้าง และเหตุที่เรียกว่าวัดท้ายตลาดเนื่องจากอยู่ต่อจากตลาดเมืองธนบุรี ปัจจุบันชาวบ้านยังนิยมเรียกชื่อนี้อยู่
ในสมัยธนบุรี วัดนี้เป็นวัดในเขตพระราชฐาน จึงไม่มีพระสงฆ์อยู่ตลอดช่วงรัชกาล ส่วนพระวิหาร สันนิษฐานว่าได้ใช้เป็นฉางเกลือของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ภายในพระวิหารกั้นเป็น 2 ตอน ปัจจุบัน ตอนหน้าที่หันออกคลองบางกอกให้ ประดิษฐานพระพุทธรูปเป็นหมู่บนฐานชุกชี ส่วนตอนหลังเป็นพื้นที่ค่อนข้างแคบ ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่ ในรัชกาลที่ 3 ได้รับการปฏิสังขรณ์ใหม่ทั่วทั้งพระอาราม และทรงเปลี่ยนนามใหม่ว่า "วัดโมลีโลกยสุธาราม" ภายหลังมาเรียกกันว่า "วัดโมลีโลกยาราม"
4. วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร
| เพิ่มคำอธิบายภาพ | เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต) ต้นสกุลกัลยาณมิตร ว่าที่สมุหนายก ได้อุทิศบ้านและที่ดินบริเวณใกล้เคียง ซึ่งแต่เดิมเป็นหมู่บ้านที่มีภิกษุจีนพำนักอยู่ และเรียกกันต่อมาว่า "หมู่บ้านกุฎีจีน" สร้างเป็นวัดขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๘ และน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ พระราชทานนามว่า "วัดกัลยาณมิตร" และทรงสร้างพระวิหารหลวงและพระประธานพระราชทาน เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ชื่อ พระพุทธไตรรัตนนายก หรือ หลวงพ่อโต ด้วยมีพระประสงค์จะให้เหมือนกรุงเก่า คือมีพระโตอยู่นอกกำแพงเมือง อย่างเช่นวัดพนัญเชิง Cr.: Wikipedia
ปรกติช่วงเทศกาลตรุษจีน ผู้คนที่มีเชื้อสายจีนจะนิยมมาไหว้ ซำปอกงที่นี่ ซึ่งปรกติที่วัดจะมีตุ๊กตากุฏีจีนตั้งอยู่เต็มวัด เนื่องจากสมัยก่อนแถวนี้เป็นท่าขึ้นเรือของสินค้าและ ท่ารับส่งผู้คนที่เดินทางทางน้ำ จึงมีตุ๊กตาหินจีนหลงเหลืออยู่ที่วัดมากมาย แต่ขณะนี้ได้ถูกยกออกไปเพื่อปรับปรุงสถานที่
5. วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร
| พระบรมธาตุมหาเจดีย์วัดประยุรวงศาวาส
| วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เป็นวัดที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าพระยาพระคลัง ว่าที่กรมท่า และสมุหพระกลาโหม ได้อุทิศสวนกาแฟสร้างเป็นวัดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2371 ซึ่งมีอาณาเขตติดกับบ้านสมเด็จเจ้าพระยาฯ ครั้นเมื่อ พ.ศ. 2375 ได้ถวายเป็น พระอารามหลวงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า "วัดประยุรวงศาวาส" ชาวบ้านนิยมเรียกว่า "วัดรั้วเหล็ก" เพราะมีรั้วเหล็กเป็นกำแพงวัดอยู่เป็นบางตอน รั้วเหล็กนี้สูงประมาณ 3 ศอกเศษ ทำเป็นรูปอาวุธคือ หอก ดาบ และขวาน
วัดประยูรมีท่านพระหรหมบัณฑิตเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งท่านมีตำแหน่งเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยสงฆ์ด้วย ท่านเคยเปิดให้อิฉันเข้าชมเมื่อคราวที่ตามแม่มาทำบุญ ด้านในเจดีย์มีสมบัติเก่าๆจัดเรียงไว้ดั่งพิพิธภัณฑ์ เมื่อเดินขึ้นไปด้าน วิวเมืองงดงามมาก ด้านในส่วนที่อ้วนๆที่สุด ประดิษฐานรูปและประวัติต่างๆ ที่สำคัญไม่ว่าอากาศด้านนอกจะร้อนแค่ไหน แต่ด้านในทำไมให้ความรู้สึกเย็นสบายมากค่ะแปลกจัง แต่วันนี้แต่งกายไม่เรียบร้อยจึงไม่ขอกราบท่าน และโบสถ์เก่าแก่ก็ปิกซ่อม พวกเราจึงสักการะด้วยดอกไม้ด้านนอก แล้วไปกันต่อ
6. ศาลเจ้ากวนอู คลองสาน
| ศาลเจ้ากวนอู
|
เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ มีประวัติความเป็นมากว่า 270 ปี ใกล้กับสวนสมเด็จย่า หลังวัดอนงคาราม ตำนานเล่าสืบต่อกันว่า ในเก๋งศาลเจ้ากวนอู มีท่านกวนอูอยู่ด้วยกัน 3 องค์ องค์เล็กสุดเป็นองค์แรกที่เข้ามาในประเทศไทยราวปี พ.ศ. 2279 ตรงกับสมัยพระเจ้าเฉินหลงฮ่องเต้ จักรพรรดิราชวงศ์ชิง โดยชาวจีนฮกเกี้ยนได้เชิญมาจากมณฑลฮกเกี้ยนทางเรือ มาประทับอยู่ในเก๋ง ซึ่งเดิมเป็นเก๋งเล็กๆ ต่อมาในปี พ.ศ.2345 ตรงกับสมัยพระเจ้าเจียซิงฮ่องเต้ จักรพรรดิราชวงศ์ชิง ได้มีคยเชิญท่านกวนอูองค์กลางมาเพิ่มอีกองค์หนึ่ง พร้อมติดป้ายที่เก๋งว่า กวง ตี่ กู เมียว และต่อมาปีพ.ศ.2365 ตรงกับสมัยพระเจ้าเต๋ากวงฮ่องเต้ (ราชวงศ์ชิง) มีเจ้าสัวชื่อนายคงเส็ง ได้บูรณะเก๋งแห่งนี้ให้ใหญ่ขึ้นและอัญเชิญเจ้าพ่อกวนอูองค์ที่ 3 ให้มาประทับร่วมกัน พร้อมสร้างระฆังไว้ 1 ใบ Cr.: ข้อมูลที่ป้ายหน้าศาลเจ้า
| ศาลเจ้ากวนอู |
ต่อมาในปี พ.ศ. 2444 คณะกรรมการและศิษย์ได้ทำการสรางเก๋งใหม่เนื่องจากเก๋งเก่าชำรุดทรุดโทรมมาก เมื่อสร้างเสร็จจึงให้ชื่อว่า "กวงตี่ บู่ เซิ่ง เมียว"
ด้านข้างศาลเจ้ามีบ้านแบบจีนเก่าแก่ ดีงามมาก
| ใกล้ศาลเจ้ากวนอู |
ด้านหน้าเก๋งเจ้าแม่กวนอิม ริมน้ำหน้าศาลเจ้า
| ริมน้ำที่ศาลเจ้ากวนอู |
7.วัดอนงคาราม
| วัดอนงคาราม |
วันนี้ปิด มีงานศพ จึงไม่ได้เข้าไป
ชื่อเดิมคือวัดน้อยขำแถม เป็นชื่อท่านผู้หญิงน้อย ซึ่งเป็นภรรยาของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัด บุนนาค) หรือสมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย เป็นผู้สร้างขึ้นคู่กันกับวัดพิชัยญาติแล้วถวายเป็นพระอารามหลวงในรัชกาลที่ 3 ส่วนคำว่าขำแถมนั้นมีเพิ่มเติมมาจากนามเดิมของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี (ขำ) ซึ่งเป็นผู้ปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ ต่อมาถึงสมัยรัชกาลที่ 4 วัดนี้ก็ได้รับพระราชทานชื่อใหม่ว่าวัดอนงคารามอย่างในปัจจุบัน Cr.: Wikipedia
8. วัดพิชยญาติการาม หรือ วัดพิชัยญาติ
| วัดพิชัยญาติ |
เดิมเป็นวัดร้าง แต่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ (ทัต บุนนาค) ครั้งมีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาศรีพิพัฒน์ราชโกษา ได้ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ประมาณ พ.ศ. 2372 - 2375 ในรัชกาลที่ 3 เนื่องจากสมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อยขณะนั้นเป็นจางวางพระคลังสินค้า มีเรือสำเภาค้าขายกับจีน จึงได้นำอับเฉาเรือ กระเบื้องสี และหินมาจากจีน สถาปัตยกรรมวัดนี้มีลักษณะแบบไทยผสมจีน ซึ่งเป็นแบบพระราชนิยมในสมัยนั้น เมื่อบูรณะวัดเสร็จแล้ว ได้น้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 พระราชทานนามว่า "วัดพระยาญาติการาม" ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเปลี่ยนชื่อวัดใหม่เป็น "วัดพิชยญาติการาม" หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่า "วัดพิชัยญาติ"
พระอุโบสถ สร้างเป็นศิลปะแบบจีน ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา เนื่องจากสมัยก่อนเป็นวัดอยู่ในสวน จึงสร้างเพื่อหลบบรรดากิ่งไม้ ผลไม้ที่จะหล่นหรือหักไปกระทบหลังคาพระอุโบสถได้
ประทับหลวงพ่อโต
| วัดพิชัยญาติ |
ด้านหน้าวัดมีเจดีย์ 2 เจดีย์
| วัดพิชัยญาติ |
เจดีย์ทางขวาประดิษฐาน หลวงพ่อทอง
| วัดพิชัยญาติ |
และทางเจดีย์ด้านซ้ายประดิษฐานหลวงพ่อเงิน
| วัดพิชัยญาติ |
พระปรางค์องค์ใหญ่ วัดโดยรอบ 33 วา 2 ศอก ส่วนสูงตลอดยอดนภศูล 21 วา 1 ศอก 10 นิ้ว เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปั้น 4 องค์ หันพระพักตร์ไปสู่สี่ทิศ มีพระปรางค์องค์เล็ก 2 องค์ ขนาดวัดโดยรอบ 15 วา ส่วนสูงตลอดนภศูล 11 วา 1 ศอก 1 คืบ 2 กระเบียด ทิศตะวันออกเป็นที่ ประดิษฐานพระโพธิสัตว์พระศรีอาริย์ องค์ทิศตะวันตกเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง 4 รอย จำหลักด้วยแผ่นศิลา สัณนิฐานกันว่าเป็นของเก่า แต่ไม่ทราบว่านำมาจากที่ไหน
| หน้าพระปรางค์และพระปรางค์เล็กทั้ง2 ด้าน วัดพิชัยญาติ
| ด้านหน้าพระปรางค์ใหญ่ประดิษฐานหลวงพ่อทันใจ ด้านในเป็นพระพุทธรูป 4 องค์หัน 4 ทิศ
| วัดพิชัยญาติ
|
รอบพระปรางค์หลัก และทุกๆปรางค์หรือเจดีย์ เป็นที่บรรจุอัฐิของตระกูลบุนนาค
| วัดพิชัยญาติ |
พระปรางค์ลูกด้านซ้ายเป็นพระปรางค์เล็ก ประดิษฐานพระศรีอริยเมตไตร
| วัดพิชัยญาติ |
พระปรางค์ลูกด้านขวาเป็นพระปรางค์เล็ก ประดิษฐานพระพุทธบาท 4 รอย
| วัดพิชัยญาติ
| อิ่มบุญ อิ่มใจ และ อิ่มท้องกันแล้วได้เวลากลับแล้วค่ะ
แล้วพบกันใหม่นะคะ
"Ploy Journey Journal" - พลอย เจอนี่ เจอนั่น
Create Date : 21 กันยายน 2559 |
Last Update : 21 กันยายน 2559 17:40:03 น. |
|
2 comments
|
Counter : 1824 Pageviews. |
|
|