สิเนหามนตราแห่งล้านนา...วรนคร/นันทบุรี หรือเมืองน่าน
"แข่งเรือลือเลื่อง เมืองงาช้างดำ จิตรกรรมวัดภูมินทร์ แดนดินส้มสีทอง เรืองรองพระธาตุแช่แห้ง"
| Bhumintr Temple, Nan | นันทบุรีในอดีตเป็นนครรัฐเล็ก ๆ ก่อตัวขึ้นราวกลางพุทธศตวรรษที่ 18 บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำน่านและแม่น้ำสาขาในหุบเขาทางตะวันออกของภาคเหนือ ภายใต้การนำของ"เจ้าขุนฟอง" เชื้อสายกษัตริย์ราชวงศ์ภูคา และนางพญาจำปาผู้เป็นชายา ซึ่งทั้งสองเป็นชาวเมืองเงินยาง ได้เป็นแกนนำพาผู้คนอพยพมาตั้งศูนย์การปกครองอยู่ที่เมืองล่าง ต่อมาเพี้ยนเป็นเมืองย่าง (เชื่อกันว่าคือบริเวณริมฝั่งด้านใต้ของแม่น้ำย่านบริเวณตำบลศิลาเพชร อำเภอปัว เลยไปถึงลำน้ำบั่ว ใกล้ทิวเขาดอยภูคาในเขตบ้านเสี้ยว บ้านทุ่งฆ้อง บ้านลอมกลาง ตำบลยม อำเภอท่าวังผา) เพราะปรากฏร่องรอยชุมชน และกำแพงเมืองซ้อนกันอยู่ เห็นชัดเจนที่สุดคือบริเวณข้างพระธาตุจอมพริกบ้านเสี้ยวมีกำแพงซึ่งเป็นปราการทางทิศใต้ปรากฏอยู่ ต่อมาพระยาภูคา ได้ขยายอาณาเขตปกครองของตนออกไปให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยส่งราชบุตรบุญธรรม 2 คนไปสร้างเมืองใหม่ โดยขุนนุ่นผู้พี่ไปสร้างเมืองจันทบุรี (เมืองพระบาง) และขุนฟองผู้น้องสร้างเมืองวรนครหรือเมืองปัว ภายหลังขุนฟองถึงแก่พิราลัย เจ้าเก้าเถื่อนราชบุตรจึงได้ขึ้นครองเมืองปัวแทน ด้านพญาภูคาครองเมืองย่างมานานและมีอายุมากขึ้น มีความประสงค์จะให้เจ้าเก้าเถื่อนผู้หลานมาครองเมืองย่างแทน จึงให้เสนาอำมาตย์ไปเชิญ เจ้าเก้าเถื่อนเกรงใจปู่จึงยอมไปอยู่เมืองย่างและมอบให้ชายาคือนางพญาแม่ท้าวคำปินดูแลรักษาเมืองปัวแทน เมื่อพญาภูคาถึงแก่พิราลัย เจ้าเก้าเถื่อนจึงครองเมืองย่างแทน ในช่วงที่เมืองปัวว่างจากผู้นำ เนื่องจากเจ้าเก้าเถื่อนไปครองเมืองย่างแทนปู่นั้น พญางำเมืองเจ้าผู้ครองเมืองพะเยา ได้ขยายอิทธิพลเข้าครอบครองบ้านเมืองในเขตเมืองน่านทั้งหมด นางพญาแม่เท้าคำปินพร้อมด้วยบุตรในครรภ์ได้หลบหนีไปอยู่บ้านห้วยแร้ง จนคลอดได้บุตรชายชื่อว่า"เจ้าขุนใส" เติบใหญ่ได้เป็นขุนนางรับใช้พญางำเมืองจนเป็นที่โปรดปราน พญางำเมืองจึงสถาปนาให้เป็นเจ้าขุนใสยศ ครองเมืองปราด ภายหลังมีกำลังพลมากขึ้นจึงยกทัพมาต่อสู้จนหลุดพ้นจากอำนาจเมืองพะเยา และได้รับการสถาปนาเป็นพญาผานอง ขึ้นครองเมืองปัวอย่างอิสระระหว่างปี 1865-1894 รวม 30 ปีจึงพิราลัย ในสมัยของพญาการเมือง (กรานเมือง) โอรสของพญาผานอง เมืองปัวได้มีการขยายตัวมากขึ้น มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเมืองสุโขทัย พงศาวดารเมืองน่านกล่าวถึงพญาการเมืองว่า ได้รับเชิญจากเจ้าเมืองสุโขทัย (พระมหาธรรมราชาลิไท) ไปร่วมสร้างวัดหลวงอภัย (วัดอัมพวนาราม) ขากลับเจ้าเมืองสุโขทัย ได้พระราชทานพระธาตุ 7 องค์ พระพิมพ์ทองคำ 20 องค์ พระพิมพ์เงิน 20 องค์ ให้กับพญาการเมืองมาบูชา ณ เมืองปัว ด้วยพญาการเมืองได้ปรึกษาพระมหาเถรธรรมบาลจึงได้ก่อสร้างพระธาตุแช่แห้งขึ้นที่บนภูเพียงแช่แห้ง พร้อมทั้งได้อพยพผู้คนจากเมืองปัวลงมาสร้างเมืองใหม่ที่นี้ โดยมีพระธาตุแช่แห้งเป็นศูนย์กลางเมือง หลังจากพญาการเมืองถึงแก่พิราลัย โอรสคือพญาผากองขึ้นครองแทน อยู่มาเกิดปัญหาความแห้งแล้ง จึงย้ายเมืองมาสร้างใหม่ที่ริมแม่น้ำน่านด้านตะวันตกบริเวณบ้านห้วยไค้ คือบริเวณที่ตั้งของจังหวัดน่านในปัจจุบัน เมื่อปี พ.ศ. 1911 ในระหว่างปี 2103-2318 เป็นช่วงที่ล้านนาตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า ผู้คนถูกกวาดต้อนไปทำให้เมืองถูกทิ้งร้าง และสมเด็จเจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญได้ขอเข้าเป็นขอบขัณฑสีมาของรัตนโกสินทร์ จึงรวมคนกลับขึ้นมาใหม่ไปอยู่ที่เมืองน่านตามเดิม พร้อมบูรณะตัวเมืองและกำแพงเมืองใหม่ในปี 2343 ต่อมาปี 2360 เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ เจ้าสมุนเทวราชจึงย้ายไปสร้างเมืองน่านใหม่ ที่บริเวณ ดงพระเนตรช้างทางตอนเหนือของตัวเมืองน่าน ที่เดิมเรียกว่า "เวียงเหนือ" จนกระทั้่งปี 2389 ลำน้ำน่านได้เปลี่ยนเส้นทางห่างกำแพงเมืองไปมาก เจ้าอนันตวรฤทธิเดช จึงได้พระราชานุญาติจากในหลวงรัชกาลที่ 4 ย้ายเมืองกลับมาที่เดิม ที่เป็นเมืองน่านอยู่จนถึงทุกวันนี้ เครดิต: wikipedia , พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน, วัดพระธาตุแช่แห้ง และคำบอกเล่าของ อ.เผ่าทอง ทองเจือ วัดภูมินทร์ "Bhumintr Temple"
วัดภูมินทร์ เป็นวัดหลวง ตั้งอยู่ในเขตพระนครดังปรากฏชื่อตำบลในเวียงในปัจจุบัน อยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่าน ตามพงศาวดารของเมืองน่าน พระเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์เจ้าผู้ครองนครน่านได้สร้างวัดภูมินทร์ขึ้นหลังจาก ที่ครองนครน่านได้ 6 ปี เมื่อ พ.ศ.2139 มีปรากฏในคัมภีร์เมืองเหนือว่าเดิมชื่อ "วัดพรหมมินทร์" แต่ตอนหลังชื่อวัดได้ เพี้ยนไปจากเดิมเป็น วัดภูมินทร์
จุดเด่นของวัดนี้คือเป็นวัดที่สร้างทรงจตุรมุข หนึ่งเดียวในประเทศไทยที่ดูคล้ายตั้งอยู่บนหลังพญานาค 2 ตัว อาคารนี้เป็นทั้งพระอุโบสถ พระวิหารและพระเจดีย์ประธาน โดยใช้อาคารในแนวตะวันออก-ตะวันตกเป็นพระวิหาร และอาคารแนวเหนือ-ใต้ เป็นพระอุโบสถ รัฐบาลไทยเคยพิมพ์รูปวัดภูมินทร์ในธนบัตรใบละ 1 บาท ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเมืองโบราณ จังหวัดสมุทรปราการ ได้จำลองพระวิหารหลังนี้ไว้ด้วย | Bhumintr Temple, Nan |
| Bhumintr Temple, Nan |
สังเกตุดีๆ พระประธานมี 4 ทิศ | Bhumintr Temple, Nan | วิจิตรงดงามมาก ขนาดเสายังสวย | Bhumintr Temple, Nan | ชมจิตรกรรมวัดภูมินทร์ ที่โด่งดัง (หนึ่งในคำขวัญจังหวัดนะคะ *1)
สามร้อยปีต่อมาจากการสร้าง วัดภูมินทร์ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่สมัยเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เมื่อ พ.ศ.2410 (ปลายสมัยรัชกาลที่ 4) ใช้เวลาซ่อมนานถึง 7 ปี จิตรกรรมฝาผนังในวิหารหลวงก็เขียนขึ้นในช่วงนี้ ภาพจิตรกรรมหรือ "ฮูบแต้ม" ในวัดภูมินทร์เป็นชาดกในพุทธศาสนา แต่ถ้าพิจารณารายละเอียดของวิถีชีวิตของคนเมืองในสมัยนั้น มีภาพที่น่าสนใจอยู่หลายภาพ เช่น ภาพธรรมเนียมการอยู่ข่วง ของชาวไทลื้อ พ่อแม่จะอนุญาตให้หนุ่มสาวพบปะกันที่ชานบ้านในเวลาค่ำ ขณะหญิงสาวกำลังปั่นฝ้าย หรือ "อยู่ข่วง" หากสาวเจ้าตกลงปลงใจด้วยก็จะจัดพิธีแต่งงาน หรือที่เรียกว่า "เอาคำ ไปป่องกั๋น" หรือเป็นทองแผ่นเดียวกัน การค้าขายแลกเปลี่ยนในชุมชน ภาพชาวพื้นเมือง ซึ่งอาจเป็นชาวเขา "เป๊อะ" ของป่าบนศรีษะ เพื่อนำมาแลกเปลี่ยนกับคนเมือง ภาพปู่ม่าน ย่าม่าน ภาพนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพที่งามเป็นเยี่ยมของ วัดภูมินทร์ มีการใช้สีแดง ฟ้าดำ น้ำตาลเข้มเป็นปื้นใหญ่ ๆ คล้ายภาพสมัยใหม่
ภาพปู่ม่าน ย่าม่าน ที่ให้ชื่อว่า "กระซิบรัก" "The Wisper of Love"
ผลงานของหนานบัวผัน จิตรกรท้องถิ่นเชื้อสายไทลื้อ ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นผลงานที่ปราณีตและเป็นภาพที่โดดเด่นประจำวัดภูมินทร์ โดยเป็นภาพชายหญิงคู่หนึ่งกำลังกระซิบสนทนา และมีชื่อเสียงว่าเป็นภาพ "กระซิบรักบันลือโลก" | Bhumintr Temple, Nan | ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวในชาดก และ ชีวิตความเป็นอยู่ของคนเมืองน่าน หญิงสาวกำลังทอผ้าด้วยกี่พื้นเมือง นอกชานมีเรือนเล็ก ๆ ตั้งหม้อน้ำดินเผาที่เรียกว่า "ร้านน้ำ" ส่วนชายหนุ่มไว้ผมทรงหลักแจวหรือทรงมหาดไทย แสดงให้เห็นอิทธิพลตะวันตกที่เข้ามาผสมผสานในวิถีพื้นเมืองน่าน ภาพชาวต่างประเทศที่เข้ามาเมืองน่าน ช่วงรัชกาลที่ 5 ทรงผม และเครื่องแต่งกายของผู้หญิง เป็นรูปแบบเดียวกับที่กำลังเป็นที่นิยมในยุโรปขณะนั้น
| Bhumintr Temple, Nan |
| Bhumintr Temple, Nan |
| Bhumintr Temple, Nan |
สังเกตุจากภาพ มีคนจีนเข้ามาอาศัยแล้ว | Bhumintr Temple, Nan | พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติน่าน เป็นสถานที่ควรค่าแห่งการเข้าชมค่ะ | Nan National Museum | ด้านในมีสิ่งของที่เป็นมรดกของแผ่นดินวรนครมากมาย | Nan National Museum | งาช้างดำคู่บ้านคู่เมืองนันทบุรี (หนึ่งในคำขวัญจังหวัดนะคะ *2)
ตำนานที่เล่าสืบต่อมาระบุว่า อดีตเจ้าผู้ครองนครน่านได้มาจากเมืองเชียงตุง ตอนนั้นเชียงตุงมีงาช้างดำ 1 คู่ เลยแบ่งให้นครน่านมา 1 กิ่งเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี เดิมเก็บไว้ใน หอคำหรือวังของเจ้าผู้ครองนคร จนเมื่อเจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองนครน่านองค์สุดท้ายถึงแก่พิราลัย(เสียชีวิต) ในปี พ.ศ. 2474 บุตรหลานของเจ้าผู้ครองนครจึงมอบให้เป็นสมบัติของเมืองน่าน
| Nan National Museum | สิ่งของมีค่าของแผ่นดินมากมาย | Nan National Museum |
| Nan National Museum |
| Nan National Museum |
| Nan National Museum |
วิวจากชั้น 2 ของพิพิธภัณฑ์ | Nan National Museum |
ที่ชั้นล่าง มีการจัดแสดงภาพสมัยอดีต เงินตรา และสิ่งของ
| Nan National Museum |
| เพิ่มคำอธิบายภาพ | | เพิ่มคำอธิบายภาพ | วัด.... จำชื่อม๊ะได้อะค่ะ
ที่คุณบัณฑูรย์ พบว่ามันเหมือนกับเรื่อง "สิเนหามนตราแห่งล้านนา" ที่ท่านเขียน
| เพิ่มคำอธิบายภาพ | พระประธานภายใน และท่านผู้บรรยาย inspiration คุณบัณฑูรย์ ล่ำซำ
ไปเลี้ยงปลาที่คลองข้างวัดกับท่าน ส่วนใหญ่เป็นปลาสวาย ตัวใหญ่และมากมาย 555 หารูปไม่เจอ คืนนี้เราพักที่นี่ Recommended เลยนะคะ ห้องพักทำดูแบบสมัยก่อน ทำให้เราย้อยนึกจินตนาการไปสู่อดีตของคนที่นี่ แต่สาธารณูปโภคครบครันนะคะ ไม่ต้องกังวล
| Pukha Nanfa Hotel, Nan |
ในโรงแรม และ ห้องสมุดของโรงแรม ที่สร้างไว้เพื่อถวายสมเด็จพระเทพฯ | Pukha Nanfa Hotel, Nan |
ร้านภูฟ้า
| Pukha Nanfa Hotel, Nan |
ห้องนอนแบบไทยโบราณ กริ๊ปเกร๋
แต่งตัวไปทานอาหารเย็นร่วมกับคุณบัณฑูรย์ Theme ชุดไทย จะได้เข้ากะล้านนา
แต่เช้าที่หน้าโรงแรมมีตลาดขายของย่อมๆ และมีพระมาบิณฑบาตร รับประทานอาหารเช้าเสร็จออกเดินทางไป "ชมดอกชมพูภูคา" ตามที่ตั้งใจอยากมา แต่ ....😰 ☹ 😓 😭 ยังไม่ออกดอก มีแต่ตูมๆเล็ก เห็นมีศาลอยู่เลยลองเดินเข้าไปดู เป็น "ศาลท่านเจ้าหลวงภูคา" จึงสักการะท่าน แล้วออกเดินทางต่อ | Nan | | Nan | แวะรีสอร์ทพักเบรคระหว่างทาง เป็นร้านกาแฟและขนมเบเกอรี่ เห็นต้นนี้มันออกลูกล้นหลามเลย เก๋ดี | Nan | ไปบ่อเกลือเจ้าส้ม ที่อ.บ่อเกลือ | Nan | สังเกตุที่พื้นด้านนอก สีขาวๆนั่นมิใช่หิมะ นะเออ แต่มันเป็นเกลือ 😣 | Nan | อากาศด้านใน เค็มมาก จมูก ปาก แสบไปหมด ความเข้มข้นสูงจริงๆ | Nan | เค๊าจุ่มแล้วแขวนแบบนี้เรื่อยๆ เกลือก็ค่อยๆก่อตัว
| Nan | | Nan |
| Nan | บริเวณบ่อเกลือ มีแม่น้ำน่านไหลเอื่อยๆ บรรยากาศดู Slow Life ดี
| Nan | มีสะพานไม้สาน ดูเหมือนไม้ที่ทำเข่ง สานเป็นสะพาน น่ารักดี
| Nan |
เดินทางกลับตัวเมืองน่าน ชมการแข่งเรือยาว (หนึ่งในคำขวัญจังหวัดนะคะ *3) ก่อนอาหารเย็น คุณบัณฑูรย์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นประธานสมาคมแข่งเรือยาวของจังหวัด ได้จัดให้มีการแข่งเรือนัดพิเศษให้พวกเราชมส่วนตัวแบบเป็นๆ และใกล้ๆ นี่ก็เป็นครั้งแรกของอิฉันที่ได้ชมการแข่งเรือจริงๆ ที่ไม่ใช่ทางโทรทัศน์วันอาทิตย์บ่ายๆ 5555
| Nan | วิวงดงามกับท้องน้ำของแม่น้ำน่าน | Nan | สักพักเดียวพระอาทิตย์เริ่มคล้อยตำ่ | Nan | ถ่ายภาพกับไกด์ของเรา อ.เผ่าทอง ทองเจือ ขอบพระคุณอาจารย์นะคะที่ให้ความรู้ นอกจากความรู้แล้วยังให้เสียงหัวเราะกับมุกของอาจารย์เรื่อยๆ | Nan | เราทานอาหารเย็นกันที่ร้านริมน้ำนี้ พร้อมด้วยการหมดวันไปกับสาระดีๆ แล้วกลับโรงแรม วันนี้จะไปสักการะวัดพระธาตุแช่แห้ง ขาไปแวะชมธนาคารกสิกรไทย เค๊าบอกเป็นสาขาที่สวยที่สุดในประเทศ
| Nan | ด้านในและที่พักรับรองลูกค้า | Nan | ดาดฟ้าธนาคาร ทั้งวิวทั้งสถานที่ ... สวยจัง | Nan |
ผ่านชมบ้านของคนน่านสมัยอดีต ที่ยังอนุรักษณ์ไว้เป็นอย่างดี
| Nan |
วัดพระธาตุแช่แห้ง (หนึ่งในคำขวัญจังหวัดนะคะ *4)
| Phatat ChaeHang, Nan |
พระธาตุแช่แห้ง เป็นพระธาตุประจำปีเถาะ ถือเป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ ตั้งอยู่บนเนินทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน บริเวณที่เป็นศูนย์กลางเมืองน่านเดิม หลังจากที่ย้ายมาจากเมืองปัว วัดพระบรมธาตุแช่แห้งสร้างในสมัยเจ้าพระยาการเมือง (เจ้าผู้ครองนครน่านระหว่าง พ.ศ.1869-1902) เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระมหาชินธาตุเจ้า 7 พระองค์ พระพิมพ์เงินและพระพิมพ์ทอง ที่ได้รับพระราชทานจากพระมหาธรรมราชาลิไท เมื่อครั้งที่เจ้าพระยาการเมืองเสด็จไปช่วยสร้างวัดหลวงอภัย (วัดป่ามะม่วง จังหวัดสุโขทัยในปัจจุบัน) ในปีพ.ศ. 1897
องค์พระธาตุเป็นเจดีย์ทรงระฆัง รูปแบบของ พระธาตุแช่แห้ง สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลจากเจดีย์พระธาตุหริภุญ ไชย โดยรอบองค์บุด้วยทองจังโก (ทองดอกบวบ ทองเหลืองผสมทองแดง) ทางขึ้นสู่องค์พระธาตุเป็นตัวพญานาค หน้าบันเหนือประตูทางเข้าพระวิหารเป็นปูนปั้นลายนาคเกี้ยว ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของศิลปกรรมเมืองน่าน | Phatat ChaeHang, Nan |
โบสถ์
| Phatat ChaeHang, Nan |
พระประธาน
| Phatat ChaeHang, Nan |
หลวงพ่อเจ้าอาวาสทำพิธีสืบชะตาให้
| Phatat ChaeHang, Nan |
พิธีสืบชะตาแบบพื้นเมืองของจังหวัดน่านได้ยึดถือและปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน เพราะเป็นประเพณีสำคัญอย่างหนึ่งของชาวล้านนาที่เชื่อกันว่าเป็นการต่ออายุหรือต่อชีวิตของบ้านเมืองหรือของคนให้ยืนยาว มีความสุข ความเจริญ ตลอดจนเป็นการขจัดภัยอันตรายต่างๆที่จะบังเกิดขึ้นให้แคล้วคลาดปลอดภัย อีกทั้งเชื่อว่าก่อให้เกิดขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่การงานพร้อมที่จะสู้กับชะตาชีวิตต่อไป
| Phatat ChaeHang, Nan |
พิธีสืบชะตานี้แบ่งเป็น 3 ประเภทคือ
1. สืบชะตาคน นิยมทำเมื่อขึ้นบ้านใหม่ ย้ายที่อยู่ใหม่ ได้รับยศหรือตำแหน่งสูงขึ้น วันเกิดที่ครบรอบเช่น ๒๔ ปี ๓๖ ปี ๔๘ ปี ๖๐ ปี ๗๒ ปี เป็นต้น หรือฟื้นจากป่วยหนัก หรือมีผู้ทักทายว่าชะตาไม่ดีจำเป็นต้องสะเดาะเคราะห์และสืบชะตา เป็นต้น 2. สืบชะตาบ้าน นิยมทำเมื่อคนในหมู่บ้าน ประสบความเดือดร้อน หรือเจ็บไข้ได้ป่วยกันทั่วไปในหมู่บ้าน หรือตายติดต่อกันเกิน ๓ คน ขึ้นไป ถือเป็นเสนียดของหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านอาจพร้อมใจกันจัดในวันปากปี ปากเดือน หรือปากวัน คือวันที่หนึ่ง สอง หรือสามวันหลังวันเถลิงศก เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล 3. สืบชะตาเมือง จัดขึ้นเมื่อบ้านเมืองเกิดความเดือดร้อนจากอิทธิพลของดาวพระเคราะห์ตามความเชื่อทางโหราศาสตร์ เพราะทำให้บ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวาย เพราะการจราจลการศึก หรือเกิดโรคภัยแก่ประชาชนในเมืองเจ้านายท้าวพระยาบ้านเมืองจึงจัดพิธีสืบชะตาเมือง เพื่อให้อายุของเมืองได้ดำเนินต่อเนื่องสืบไป ถวายสังฆทาน จัดแบบผักสด และของใช้ น่ารักจัง
| Phatat ChaeHang, Nan |
ไปชมพระพุทธรูปโบราณ ที่วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร
วัดธาตุช้างค้ำวรวิหาร เดิมเรียก "วัดหลวง" หรือ "วัดหลวงกลางเวียง" สร้างขึ้นในสมัยเจ้าปู่แข็ง พ.ศ. 1949 เป็นวัดหลวงในเขตนครน่าน สำหรับเจ้าผู้ครองนครใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญทางพุทธศาสนา และพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาตามศิลาจารึกหลักที่ 74 ซึ่งถูกค้นพบภายในวัดกล่าวว่า พญาพลเทพฤาชัย เจ้าเมืองน่านได้ปฏิสังขรณ์บูรณะวิหารหลวงเมื่อ พ.ศ. 2091
ลักษณะสถาปัตยกรรมของวัดพระธาตุช้างค้ำนี้ สะท้อนให้เห็นอิทธิพลของศิลปะสุโขทัย อาทิ เจดีย์ทรงลังกา (ทรงระฆัง) รอบฐานองค์พระเจดีย์ก่ออิฐถือปูนและปั้นเป็นรูปช้างครึ่งตัว ด้านละ 5 เชือก และที่มุมทั้งสี่อีก 4 เชือก ดูคล้ายจะเอาหลังหนุน หรือ "ค้ำ" องค์เจดีย์ไว้ ลักษณะคล้ายวัดช้างล้อม จังหวัดสุโขทัย | Phatat Changkam, Nan |
ภายในวิหารประดิษฐาน พระพุทธนันทบุรีศรีศากยมุนี พระพุทธรูปสำริดปางประทานอภัย สูง 145 เซนติเมตร อายุราวครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 19 ตรงกับสมัยสุโขทัยตอนปลาย ส่วนผสมของทองคำ 65 % พระประธานเป็นปูนปั้นขนาดใหญ่ศิลปะเชียงแสน ฝีมือสกุลช่างน่านที่มีพุทธลักษณะงดงามยิ่ง
พระประธาน
| Phatat Changkam, Nan |
พระพุทธรูปสำริดปางประทานอภัย สมัยสุโขทัยตอนปลาย | Phatat Changkam, Nan |
สักการะเสร็จแล้วไปสนามบิน เพื่อกลับกรุงเทพ... จบการย้อนอดีตเพียงเท่านี้ กลับไปนอนฝันถึงวรนครต่อที่บ้าน
"Ploy Journey Journal"
เครดิต: wikipedia , พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน, แผ่นจารึกวัดพระธาตุแช่แห้ง และคำบอกเล่าของ อ.เผ่าทอง ทองเจือ * คำขวัญของจังหวัดมีสิ่งที่ต้องไปชม 4 สิ่งนะคะ อยู่ด้านบนหมดแล้ว ส่วนส้มไม่ได้ชิม เพราะไม่ใช่ฤดูค่ะ
Create Date : 05 สิงหาคม 2559 |
Last Update : 10 สิงหาคม 2559 12:04:37 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1436 Pageviews. |
|
|