ประวัติพระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน ๓
ลาอาจารย์เข้าป่าเที่ยวกรรมฐาน
พอรุ่งเช้าขึ้นมา ฉันแล้วก็ลาพระอาจารย์ ท่านก็ไม่อนุญาต บอกพระอาจารย์ว่าผมตกลงแล้วแต่คืนนี้ ผมเห็นจะไม่อยู่ ว่าแล้วก็ขอขมาโทษต่ออาจารย์ วางขันดอกไม้ไว้ซึ่งหน้าท่านแล้วก็หลีกไปวันแรก เดือน ๔ แรม ๔ ค่ำ ไปพักป่าช้าบ้านหนองแสง ตอนค่ำลงนึกกลัวผี ได้พิจารณาว่า อะไรเป็นผี ได้ความว่าใจเป็นผี เพราะร่างกระดูกเขาเผาและฝังหมดเสียแล้ว ตกลงว่าไม่จริง วัว, ควาย, หมู, ไก่ ก็มีใจทั้งนั้นทำไมคนกินเนื้อมันได้ เช่นวัว ควายยิ่งตัวใหญ่ไม่กลัวผีมันหลอกหรือ ทำไมกินเนื้อมันได้ ขนเอาเนื้อเอากระดูกมันไปเก็บไว้ที่บ้านทั้งกินเสียด้วย จนกระทั่ง ปู, ปลา ก็มีใจทั้งนั้น หากว่าใจสัตว์ที่ตายแล้วเป็นผีอยู่กับซากศพที่ฝังไว้แล้วนั้นเป็นผีหลอกคน ถ้าเช่นนั้น คนที่ฝังซากวัว, ซากควายลงที่ท้องของตนก็จะไม่เป็นอันอยู่ อันนอน เพราะผีมันจะหลอก เปล่าทั้งนั้น ไม่ปรากฏเลยว่าค่ำมาคนนั้นคนนี้ถูกผีวัวหลอกหรือผีหมูผีไก่หลอกก็เปล่าทั้งนั้น ตกลงว่ามนุษย์นี้หลอกกันทั้งนั้น สิ่งใดกินเนื้อมันเห็นว่าไม่มีผีมันหลอกดังนี้ มนุษย์ที่ตายแล้วฝังอยู่ป่าช้าเช่นนี้ยิ่งแล้ว เพราะมันกลัวป่าช้า ตายแล้ว ที่ไหนมันจะมา ถ้าใจของคนยังมีติดอยู่ที่กายทำไมมันจะตาย ใจคนหนีแล้วแต่อยู่เรือนขณะมันตายทีแรก นั้นมิใช่หรือ มันจึงตาย
เดินธุดงค์เข้าในป่าดงพงไพร
เมื่อพิจารณาเช่นนี้ แต่วันนั้นมา ขึ้นชื่อว่าป้าช้าอยู่ได้ทุกแห่งไป ไม่ต้องกลัวผีอีก เดินเที่ยวพักไปตามป่าช้าบ้านอื่น ๆ ต่อไปได้ ๙ คืน ถึงฝั่งแม่น้ำโขงซึ่งเป็นแดนของฝรั่งเศส (ในขณะนั้น ประเทศลาวอยู่ใต้ปกครองของฝรั่งเศส) เป็นเวลา ๕ โมงเศษ ข้ามเรือแกวคนหนึ่ง พอข้ามไปถึงฝั่งนั้นบ้านเล็กตั้งริมฝั่งแม่น้ำโขง ยังไม่มีวัด ทั้งอยู่ใกล้ริมภูเขา ชื่อบ้านแก้งกะอาก
พอไปถึงบ้านนั้นมืด พอดีผู้ใหญ่บ้านเขานิมนต์ให้ขึ้นพักจำวัดที่เรือน เพราะกลัวช้างป่า เขาบอกว่ามันเข้ามารบกวนบ้านนั้นทุกวัน เมื่อได้ยินเขาเล่าเช่นนั้น อาตมาภาพก็ยืนพักพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ได้ความว่า บัดนี้เราเป็นบุตรของพระศาสดา เราจะเชื่อความเป็นพ่อของเราในข้อที่ว่าอย่าลุอำนาจแก่ความกลัวอันมีประจำใจมาแล้วแต่วันเกิด ทุกตัวสัตว์จะนำพาคนได้ดี (อย่างไร) เพราะความกลัว แล้วมนุษย์และสัตว์ทั้งโลกนี้มีความกลัวอยู่เช่นนี้ ตกลงว่าหัวใจเราก็จะแค่หัวใจสัตว์เท่านั้น ไม่เห็นแปลกจากสันดานสัตว์ นึกแล้วก็ตั้งใจอดทนต่อความกลัวเดินผ่านบ้านนั้นไป
คนในบ้านนั้นทักท้วงว่าพระกรรมฐานท่านไม่พักเรือนคน แต่ขณะนั้นก็มีความกลัวอยู่อย่างระส่ำระสาย แต่นึกถึงว่า ความอดทนคือขันติบารมี ก็เป็นธรรมอันจะพึงบำเพ็ญส่วนหนึ่ง ตกลงว่าเวลานั้นจำเป็นจำไป ก็คืออดทนต่อความกลัวต่อสัตว์ร้ายนั้นไป มิใช่ไปด้วยความหมดกลัวอย่างไม่กลัวผี
ช้างกระทืบกลด
พอไปถึงที่แห่งหนึ่งเป็นหนทางช้างเดิน แถบทรายภูเขา ขณะนั้นยังไม่รู้ว่าที่นั้นเป็นทางช้าง เห็นแต่ว่าที่นี้เตียนดี เมื่อเราต้องการเดินจงกรม ก็จะได้เดินตามแนวนี้ และที่นั้นมีต้นตะเคียนใหญ่ และมีเครือหวายเป็นพุ่มห้อยล้อมต้นตะเคียนดกหนาเป็นร่มดี ฝ่ายว่าอาตมาภาพจึงตรึงกั้นมุ้งลงเพื่ออาศัยในที่นั้น เสร็จแล้วก็นั่งสมาธิต่อไปในที่นั้น ต่อมาตอนดึกจวนรุ่ง เวลา ๙ ทุ่ม (ตี ๓) เผอิญมีช้างตัวหนึ่งเป็นประธานในช้างทั้งหลายเดินผ่านเชือกเผือก (เชือก) ที่แขวนกลดให้ขาดตกลงแล้ว ได้ยินเสียงช้างพับหูดังโปะ ก็นึกตกใจ ว่านี้เป็นเสียงอะไรเปิดมุ่งขึ้นดู เห็นช้างยืนเทียมกลด ก็นึกตกใจจนหายใจไม่ออก แน่นหน้าอกขึ้นมาแล้ว ก็ค่อยคลานออกจากมุ้งเข้าไปอาศัยพุ่มหวายที่รกห้อมล้อมต้นตะเคียนอยู่ ไม่ช้าช้างก็ฉวยเอามุ้งขึ้นฟาดบนศีรษะช้างเอง แล้วจับเหวี่ยงลงมาแล้วก็เอาเท้าขยี้ ไม้ช้าจับเอามุ้งขึ้นฟาดบนศีรษะของตนแล้วดึงลงมาขยี้ ทำดังนี้ จนมุ้งและกลดมุ่นสลายหยิบไม่ถูกแล้ว ช้างก็ยืนอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็หันหน้าไปเข้าไปทางต้นตะเคียนแล้วก็ดึงเครือหวายที่นั้นกินเป็นอาหาร ตกลงเวลานั้น ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มหวายใต้คางช้าง
อีกไม่ช้า หมู่ของช้างเดินตามกันมาอีก ๒๑ ตัว มาทันช้างตัวที่กินหวายอยู่ก่อนนั้น ต่างตัวก็มายืนห้อมล้อมต้น ตะเคียนดึงเครือหวายลงมากินเป็นอาหาร ฝ่ายว่าอาตมาภาพ ทั้งนี้รู้สึกว่าแค้นใจอยู่ คือแน่นหน้าอกหายใจไม่ออกเพราะ ควายกลัวอยู่สักครู่หนึ่ง นึกขึ้นได้ว่า มาคราวนี้เพื่อบำเพ็ญกิจของศาสนา ฉะนั้น ขออันตรายทั้งหลายจงพินาศฉิบหายไปด้วยอำนาจคุณพระรัตนตรัย
พออธิษฐานเสร็จแล้วก็เกิดคันตามลำคอ และแสบจมูกขึ้นมาทนไม่ได้ก็ไอ และกระแอมขึ้นด้วยเสียงอันดัง ฝ่ายว่าช้างทั้งหลายเหล่านั้น ตื่นเสียงไอพากันวิ่งแตกตื่นหนีไป ขณะนั้น ก็พอสว่าง ออกมามองดูบาตรและห่อผ้า เห็นไปอยู่ในเหวซึ่งช้างมันเหวี่ยงลงไป ก็ค่อย ๆ คลานลงไปที่เหวเอาบาตร และผ้าขึ้นมาได้ แล้วก็ครองผ้าและบาตร เข้าไปบิณฑบาตในบ้านนั้น นายดีผู้ใหญ่บ้านถามว่า คุณพักที่ไหนช้างไม่รบกวนคุณหรือ ฝ่ายว่าอาตมาภาพก็ทำดุจนิ่งอยู่ ไม่พูดและไม่ตอบว่ากระไร แกก็แปลกใจบ่นว่า พระเณรอะไรถามไม่พูด แกก็ตามออกไปดูที่อยู่เห็นรอยช้างมันขยี้กลดและมุ้งแตกสลาย แกจึงถามอีกเป็นครั้งที่สองว่าเวลาช้างมันมาทำลายของท่าน ใต้เท้าไปอยู่ที่ไหน ช้างจึงไม่ทำร้ายตัวของใต้เท้าด้วย
ฝ่ายว่าอาตมาภาพก็นั่งฉันข้าวเรื่อยไป มิได้พูดและตอบแก่โยมคนนั้นคำใดหนึ่งเลย พอฉันเสร็จแล้วก็ตะพายบาตรไต่ชายเขาไปประมาณ ๘๐ เส้น พบพึงน้ำมีบัวหลวงบัวทองจอกแหนต่าง ๆ มีร่มไม้สดชื่นหลายอย่างตามริมบึง แต่บึงนั้นมีฝั่งชันและสูง มีท่าลง ๕ แห่ง เป็นที่อาศัยแห่งสัตว์ทั้งหลาย เป็นต้นว่า เสือ, ช้าง, หมี, ลิง, กระทิง สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นในป่านั้นย่อมอาศัยมากินน้ำในบึงนั้น ฝ่ายว่าอาตมาภาพไปถึงเข้าก็พิจารณาว่า ที่นี้มีน้ำใสดีและป่าไม้ก็สดชื่น ควรแล้วอันเราผู้ต้องการความสงบจะต้องพักบำเพ็ญอยู่ที่นี้ แล้วก็หลีกไปอาศัยอยู่ร่มไทรที่จับอยู่ชายเขาห่างจากบึงประมาณ ๑๐ เส้น
ที่มา : เวป dharma-gateway
โปรดติตามตอนต่อไปครับผม
ทำนองเพลง ลาวม่านแก้ว
Create Date : 26 สิงหาคม 2553 |
Last Update : 26 สิงหาคม 2553 11:27:13 น. |
|
30 comments
|
Counter : 1450 Pageviews. |
|
|
ไปด้วยเลย...สำหรับการออกธุดงค์
......................................
สวัสดีครับพี่หมึกดำ...