หมึกสีดำของไผ่สีทอง
ความโศกทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้มีจิตมั่นคง ไม่ประมาท เป็นมุนี ศึกษาในทางปฏิบัติถึงมโนปฏิบัติ เป็นผู้คงที่ ระงับแล้ว มีสติทุกเมื่อ,, การไม่ทําบาปทั้งปวงหนึ่ง การยังกุศลให้ถึงพร้อมหนึง การชําระจิตใจของตนให้ผ่องแผ้วหนึ่ง นี่แลเป้นคําสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2553
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
24 พฤศจิกายน 2553
 
All Blogs
 
ประวัติพระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน ๑๑


แสดงธรรมย่ำยีผู้ทำลายศาสนา


ครั้งเมื่อออกพรรษาแล้ว ก็ลงไปจากเขาไปบ้านชักชวนพี่ชายออกเที่ยวกรรมฐาน ไม่ช้าจะนำพาสังคายนา พี่ชายก็ติดตามไปถึงอำเภอท่าบุ่ง ยังมีโยมหลายคนมาฟังธรรมเทศนา มีนายพิมพ์และนายอินเป็นต้น จึงได้แสดงธรรมเทศนาเพื่อประกาศพระศาสนาตามความสำคัญวิปลาสของตนว่า


ปุพเพ ธัมมะวาทิโน ทุพพะลา โหนติ อิทานิ อวินะยะ วาทิโน พะละวันโต โหนติ

แปลเอาเนื้อความว่า ในกาลก่อนพระธรรมวาทีมีกำลังกล้า รักษาธรรมวินัยในศาสนานี้เรียบร้อยเป็นน่าเลื่อมใสบูชา บัดนี้อธรรมวาที คือภิกษุโจรปล้นพระศาสนามามีกำลังกล้าเบียดเบียน ประพฤติย่ำยีพระธรรมวินัยให้เสื่อมสูญ เป็นตัวอย่างแก่กุลบุตรผู้บวชเมื่อภายหลัง ฝ่ายญาติโยมกลายเป็นเดียรถีย์ให้กำลังแก่พระอลัชชีประพฤติย่ำยีพระพุทธศาสนา เช่นนำพระให้เป็นหมอดู และหมอขับภูติผี และทำการติดต่อยืมทองของพระไปเป็นทุนซื้อขาย แบ่งทุนแบ่งกำไรกันและกัน นี้แหละฝ่ายพระก็เป็นอลัชชี ฝ่ายโยมก็เป็นเดียรถีย์ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ช่วยกันย่ำยีพระพุทธศาสนา เป็นมหาโจรปล้นพระศาสนาทั้งนั้น ตกลงว่าท่านเหล่านี้กำลัง กัตวา (เป็นผู้กระทำ) ครั้นทำกาลกิริยาตายไปแล้วจะไปตกมหาอเวจีนรก ด้วยโทษประพฤติเป็นอลัชชี ย่ำยีพระธรรมวินัยให้เสื่อมทรุดชำรุดไป

พระบาลีข้างต้นนั้น เป็นพระบาลีที่ท่านได้ตัดตอนมาจากคัมภีร์จุลวรรคแห่งวินัยปิฎก ซึ่งพระมหากัสสปเถระได้กล่าวปรารภแก่ภิกษุทั้งหลาย ก่อนการทำสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่หนึ่งว่า


“หนฺท มยํ อาวุโส ธมฺมญฺจ วินยญฺจ สงฺคายาม ปุเร อธมฺโม ทิปฺปติ ธมฺโม ปฏิพาหิยติ อวินโย ทิปฺปติ วินโย ปฏิพาหิยติ ปุเร อธมฺมวาทิโน พลวนฺโต โหนฺติ ธมฺมทิวาโน ทุพฺพลา โหนฺติ อวินยวาทิโน พลวนฺโต โหนฺติ วินยวาทิโน ทุพฺพลา โหนฺติฯ


แปลว่า
อาวุโสทั้งหลาย เชิญพวกเรามาทำสังคายนาพระธรรมและวินัยกันเถิด เพราะต่อไปในภายหน้า อธรรมจะรุ่งเรือง พระธรรมจะเสื่อมถอย อวินัยจะรุ่งเรือง พระวินัยจะเสื่อมถอย อธรรมวาทีบุคคลทั้งหลายจะมีกำลัง ธรรมวาทีบุคคลทั้งหลายจะมีกำลังน้อย พระภิกษุทั้งหลายที่เป็นอวินัยวาทีจะมีกำลังกล้า พระภิกษุทั้งหลายที่เป็นวินัยวาทีจะมีกำลังน้อย”

ต่อนั้น ก็แสดงไปหลายนัยเอนกประการ เมื่อเทศนาจบลง มีคนแสดงความเลื่อมใส มาขอปฏิญาณตนเป็นอุบาสกในพระศาสนาเสียใหม่ เพื่อชำระบาปกรรมที่ได้กระทำกันมาแล้ว ดังนี้

ต่อนั้น ยังมีขุนคีรีสมันการ ปลัดขวาอีกคนหนึ่งเห็นพร้อม นอกนั้นเขาก็ว่าแสดงธรรมกระทบ ทั้งไม่เรียบร้อย จนกระทั่งเจ้าคณะแขวงก็เข้าใจว่าแกล้งแสดงธรรมกระทบท่าน สั่งไปกับปลัดขวาว่า ให้สามเณรหนีเสียดีกว่า มิฉะนั้นจะเดือดร้อนทั้ง ๒ ฝ่าย ขุนคีรีสมันการก็นำเอาความอันนั้นมาแนะนำว่า เจ้าคณะแขวงท่านเคือง ขอเณรจงหลีกไปเสียก่อน



หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม

ต่อนั้น ขุนคีรีสมันการจึงเล่าให้ฟังว่า บัดนี้ยังมีอาจารย์ ๒ ท่าน คือ พระอาจารย์สิงห์ องค์หนึ่ง พระมหาปิ่น องค์หนึ่ง ท่านใฝ่ใจในทางนี้ ขอท่านสามเณรจงหลีกไปหาท่านเหล่านั้นเถิด เวลานี้ท่านอยู่จังหวัดขอนแก่น


พระมหาปิ่น ปญฺญาพโล

อาตมภาพได้ทราบข่าวว่า ท่านเหล่านี้รักษาธุดงค์และมุ่งประโยชน์ในพระศาสนา อาตมภาพก็เดินจากอำเภอท่าบุ่ง ๘ คืนไปถึงจังหวัดขอนแก่น ได้ทราบว่าพระอาจารย์สิงห์และอาจารย์มหาปิ่นพักอยู่ที่ป่าช้า อาตมภาพก็ตรงเข้าไปศึกษา ได้ความว่าพระเถระทั้งสองพร้อมด้วยสานุศิษย์ทั้งหลาย ๗๐ รูป ปฏิบัติตรงตามพระธรรมวินัย ต่อนั้น อาตมภาพก็น้อมตนเป็นศิษย์ของท่านพระเถระทั้งสอง แล้วก็ลาท่านไปบำเพ็ญอยู่ในป่าช้าบ้านโนนรังพรรษาหนึ่ง

ในกลางพรรษานั้น บำเพ็ญเพียรไปก็เพียงแต่ตระหนักไว้ในใจว่า เมื่อออกพรรษาแล้ว เราจะออกเที่ยวแสดงธรรมประกาศพระศาสนา ให้พวกอลัชชีและพวกเดียรถีย์รู้ตัวสักหน่อย

ครั้นเมื่อออกพรรษาแล้วก็เที่ยวมาจังหวัดกาฬสินธุ์ ไปพักอยู่ที่บ้านหนองสะพัง และบ้านหนองมันปลา แสดงเรื่องพระเป็นอลัชชี โยมเป็นเดียรถีย์ รู้สึกว่ามีคนเลื่อมใสและเห็นด้วย คือนายสุวรรณ ผู้ใหญ่บ้านหนองสะพัง เขาก็นำลูกบ้านมาฟังธรรม และมาขอปฏิญาณตนเป็นอุบาสกในศาสนา จะไม่ถืออื่นเป็นที่พึ่งจนตลอดชีวิต และนายบุญมา ผู้ใหญ่บ้านหนองมันปลา ก็นำลูกบ้านมาปฏิญาณตนเป็นอุบาสกในศาสนา ว่าจะไม่ถือภูตผีปีศาจต่อไปอีก ปฏิญาณว่าจะถือเฉพาะคุณพระรัตนตรัย เท่านั้นเป็นที่พึ่ง จนตลอดชีวิต

อีกฝ่ายภิกษุยาคู พระเจ้าคณะหมวด ก็นำพระมาฟังธรรมที่ป่าช้าทุก ๆ วัน และมายอมตัวพร้อมด้วยสานุศิษย์ว่า จะปฏิบัติตามพระธรรมวินัยต่อไป และนำพาสานุศิษย์มาฝึกหัดกรรมฐานด้วยทุก ๆ วัน แต่ก่อนท่านองค์นี้ ท่านเลี้ยงหมูขายบ้าง เลี้ยงไก่ขายบ้าง เลี้ยงม้าไว้ขี่บ้าง ซื้อโคให้คนไปขายเอากำไรแบ่งกันบ้าง ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนา ซึ่งอาตมภาพนำไปแสดงว่าเป็นลัทธิของพระอลัชชี แต่นั้นท่านก็ให้คนนำเอาหมู เอาไก่ เอาม้า โค ออกหนีจากวัดให้หมด ประพฤติตนตั้งอยู่พระธรรมวินัย

ต่อนั้นยังกำเริบใหญ่ พิจารณาไปว่า เรานี้จะรื้อพระศาสนาให้เจริญได้จริง ๆ เพราะมีคนเห็นพร้อมด้วยแล้วเป็นส่วนมาก เท่าที่ได้ยินฟังก็นับว่ามีคนเชื่อถือมาก ต่อนั้นก็ตั้งใจเที่ยวธุดงค์ไปอีก ๒ คืน ถึงจังหวัดกาฬสินธุ์ ไปพักอยู่ป่าไม้ทิศตะวันตกเมือง อยู่ภายใน ๓ วันเท่านั้น นายอัม ผู้ใหญ่บ้านหัวขัวมาฟังธรรม ก็เกิดความเลื่อมใสปฏิญาณตนเป็นอุบาสกในศาสนา ต่อมาวันหลังก็นำลูกบ้านทั้งหมดมาปวารณาและปฏิญาณตนเป็นอุบาสกพร้อมทั้งลูกบ้าน

ต่อมาอีก ๒ วัน มีนายหอม นักปราชญ์บ้านดงเมือง เคยเป็นครูสอนบาลีและมูลกัจจายน์มาหลายปี ครั้นมาเห็นเข้าก็ปฏิญาณด้วยวจีเภทอันเลื่อมใส ว่าจำเดิมแต่ข้าพเจ้าเกิดมาอายุ ๕๕ ปีนี้พึ่งได้พบตัวศาสนาในวันนี้ เหตุนั้นขอท่านสามเณรจงจำไว้ว่า ข้าพเจ้าเป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนาอันหมดจด แต่วันนี้เป็นต้นไป จนตลอดชีวิต ดังนี้

วันหลังต่อมา นายหอม นักปราชญ์ ก็นำเพื่อนพร้อมทั้งผู้ใหญ่บ้านมาฟังธรรม ก็มีความเลื่อมใสทุก ๆ คน มิได้แสดงความขัดขวางอันหนึ่งอันใด

ต่อนั้น อาตมภาพก็แสดงธรรมด้วยความหวังใจจะประกาศพระธรรมตามความสำคัญของตนว่า

“อนิจจา อนิจจา สมเด็จพระมหากรุณาธิคุณเจ้า ดับขันธ์เสด็จเข้าสู่ปรินิพพานนานมาได้ ๒๔๗๓ ปีเท่านั้น บัดนี้ฝ่ายโยมก็กลายเป็นเดียรถีย์ ฝ่ายพระก็เป็นอลัชชี ประพฤติย่ำยีพระธรรมวินัยอันเป็นพระพุทธศาสนา ของสมเด็จพระมหากรุณาธิคุณเจ้า ให้เศร้าหมองเสื่อมสูญอันตรธาน จะมิตั้งอยู่ได้นาน เหตุนั้น บัดนี้ มาเถิดท่านอุบาสก จงช่วยยกพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองวัฒนาถาวร ธัมมวาทิโน ทุพพลา โหนติ อวินยวาทิโน พลวันโต โหนติ บัดนี้ภิกษุผู้เป็นยุคเป็นธรรม ทุพพลภาพมีกำลังน้อยเสื่อมถอยลงมิอาจจะกล่าวแก่อลัชชี ฝ่ายมหาโจรปล้นพระศาสนามีกำลังกล้าสนุกประพฤติฝ่าฝืนพระธรรมวินัย เล่นทุก เล่นกระสาย เล่นถั่ว เล่นโป เที่ยวเกี้ยวสีกาตามทุ่งตามนา ซื้อถูกขายแพงหาทุนกำไรสั่งสมปัจจัยไว้ เพื่อญาติเพื่อวงศ์ มิได้ครอง ต่ออริยมรรคธรรมวินัย ประพฤติหยาบ ๆ ล่วงสิกขาบท นี้แหละท่านทายกอุบาสกอุบาสิกา เห็นเป็นการควรและหรือ ที่ท่านทั้งหลายจะสมคบให้กำลังแก่พวกอลัชชีย่ำยีพระศาสนา ให้กำเริบมากมายขึ้นทุกวัน ฉะนั้น ควรแล้วท่านทั้งหลายจะกลับตัวเสียจากการยืมเงินทองของพระของเณรไปเป็นทุนซื้อทุนขาย แบ่งทุนกำไรซึ่งกันและกันอันเป็นทางแห่งอบาย”


โต้หลักพระศาสนากับพระสมุห์



เมื่อเทศน์จบลง ยังมีนายอาจารย์เรื่อง และครูโรงเรียนชื่อนายแก้ว ซึ่งอาศัยกินอยู่กับเจ้าคณะจังหวัด
ท่านพระครูสังฆปาโมกขทวาจารย์ นำเอาเนื้อความซึ่งอาตมภาพกล่าวว่า โยมทั้งหลายเป็นเดียรถีย์
พระทั้งหลายก็เป็นอลัชชี ไปเรียนท่านพระครูสังฆปาโมกขทวาจารย์ เจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์
เมื่อท่านได้ทราบท่านก็โกรธใหญ่ ให้พระสมุห์ภัยไปไล่ให้หนี
บอกว่าสามเณรจะมาแข่งดีกับจังหวัดกาฬสินธุ์หรือเณร อย่ามาทำอย่างนี้เลย เณรจงหลีกไปเถิด
เดี๋ยวจะถูกจับสึก



อาตมภาพตอบว่า
ผมนี้มาแล้วจากอุบลจนถึงนี้ จะให้ผมหนีอย่างไรอีก ท่านสมุห์เล่าหนีแล้วหรือยัง
ผมเห็นว่าท่านสมุห์ก็ควรหนีไปเที่ยวธุดงค์บ้างตามอริยประเพณี



ท่านถามว่า เณรเดินตามอริยประเพณีแล้วหรือยัง



อาตมภาพตอบว่า ผมเข้าใจว่าอริยประเพณีเป็นมา ดังนี้



อาตมภาพตอบว่า มี
๕ อย่างคือ ๑. ไม่ฆ่าสัตว์อื่น ๒. ไม่เข้าไปว่าร้ายและล้างผลาญคนอื่น ๓. สำรวมในพระปาฏิโมกข์ ๔.
นั่งนอนเสนาอันสงัด ๕.เป็นใหญ่ในจิตของตน ๕ อย่างนี้แหละเรียกว่าอริยประเพณี



ท่านถามว่า
ถ้าเณรเดินตามอริยประเพณีแล้ว ทำไมว่าเขาเป็นเดียรถีย์ เป็นพระอลัชชี
ไม่ชื่อว่าเบียดเบียนเขาหรือ



อาตมภาพตอบว่า
เปล่าผมไม่ได้เบียดเบียน หากจะมีคนเดียรถีย์และพระอลัชชีแล้ว ผมสงสารเขาจะไปตกนรก
ผมกล่าวขึ้นเพื่อบุคคลเช่นนั้นรู้สึกตัวสักหน่อย เพื่อจะให้เขากลับสำรวมในพระธรรมวินัยในพระศาสนานี้



ท่านจึงถามว่า
เณรเข้าใจว่าใครเป็นเดียรถีย์ ท่านองค์ไหนเป็นอลัชชี



อาตมภาพตอบว่า
บุคคลไม่ถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งบุคคลนั้นเป็นเดียรถีย์ ท่านองค์ไหนแกล้งประพฤติล่วงเกินพระธรรมวินัย
ท่านองค์นั้นชื่อว่าอลัชชี



ท่านตอบว่า
เช่นฉัน เณรเห็นว่าเป็น อลัชชี หรือ ลัชชีบุตร



อาตมภาพตอบว่า
ถ้าท่านสำรวมในพระปาฏิโมกข์ ท่านก็เป็น ลัชชีบุตร
หากท่านไม่สำรวมในพระปาฏิโมกข์ ละเมิดล่วงเกินในพระธรรมวินัย ท่านก็เป็นอลัชชี



ท่านจึงถามต่อไปว่า
เณรเป็นอรหันต์หรือ ?



อาตมภาพตอบว่า
ถ้าผมสำเร็จอรหันต์ ผมก็เป็นอรหันต์เท่านั้น ถ้าผมยังไม่สำเร็จอรหันต์ ผมก็ยังเป็นปุถุชนอยู่



ท่านจึงถามอีกว่า ธรรมอะไรทำให้บุคคลให้เป็นอรหันต์ ?



อาตมภาพตอบว่า
ผู้เห็นจริงในอริยสัจทั้ง ๔ ข้อ ชื่อว่า พระอรหันต์



ท่านจึงถามต่อไปว่า
เณรเห็นอริยสัจทั้ง ๔ แจ้งแล้วหรือยัง ?



อาตมภาพตอบว่า
ความรู้จริงในอริยสัจทั้ง ๔ ข้อ เป็นความรู้ความเห็นของพระอริยเจ้า หากผมเป็นพระอริยเจ้า
ผมก็รู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจทั้ง ๔ ข้อ อยู่ตราบนั้น



ท่านจึงพูดขึ้นว่า
ถ้าเช่นนั้นเณรก็เป็นทั้งปุถุชนทั้งอริยะ ใช่ไหม ?



อาตมภาพตอบว่า
ธรรมดาผู้บำเพ็ญพรตในศาสนาพระพุทธเจ้า แรกก็เป็นปุถุชนปฏิบัติเพื่ออริยมรรคนั่นเอง



ท่านสมุห์ภัยถามต่อไปว่า
เณรได้อริยมรรคแล้วหรือยัง ?



อาตมภาพตอบว่า ผมจำได้ซึ่งองค์อริยมรรค ๘ ประการ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น สัมมาสมาธิเป็นที่สุด



ท่านจึงบ่นต่อไปว่า
ความจำองค์อริยมรรค ๘ ได้เท่านั้นจะสำคัญตนเป็นผู้วิเศษไป อ้ายพันนี้มันบ้าจริง ๆ
ตัวของเณรนี้แหละเป็นตัวอลัชชีใหญ่ แกบวชเข้ามาเบียดเบียนหมู่พวกภิกษุสามเณร
ดูหมิ่นดูถูกเพื่อนบรรพชิตด้วยกันทั้งหมด ว่าพวกนั้นเป็นอลัชชี พวกนี้เป็นลัชชีบุตร เดี๋ยวแกยุแหย่
ให้สงฆ์แตกร้าว เป็นอนันตริยกรรม ตัวของเณรเองจะเป็นโทษถึงอนันตริยกรรม
ตายแล้วแกก็ไปตกอเวจีมหานรกเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้แกก็ไม่ควรเป็นเณรแล้ว
การติเตียนพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นนาสนังคะ ขาดครองเณรมิใช่หรือ ตกลงเณรนี้แกไม่ใช่เป็นเณรแล้ว
แกติเตียนพระสงฆ์ นี้ท่านอุบาสก อุบาสิกา เธอคนนี้ไม่ใช่เณรแล้ว พวกเจ้าทั้งหลายอย่าพากันเชื่อถือมาก
พวกเจ้าจะนำพากันเป็นบ้า ไปตามเธอคนนี้ ทั้งหมดใช้ไม่ได้ พวกเจ้าจะพากันติเตียนพระสงฆ์แล้ว
พวกเจ้าจะพากันไปทำบุญที่ไหน เพราะพระสงฆ์เท่านั้นเป็นบุญเขตของโลก



ต่อนั้น
ท่านจึงผินหน้ามาถามอาตมภาพว่า
ใช่ไหมเธอ หรือเธอเห็นเป็นอย่างไรอีก ?



อาตมภาพตอบว่า
ท่านจะถามถึงความเห็นของผมแล้วก็มีความเห็นอยู่หลายอย่าง หลายประการ มีนัยอันจะพูดอยู่มากมายมิใช่เล่น



ท่านสมุห์ภัยท่านจึงบอกว่า
แกมีความเห็นมากมายนั้นเห็นอย่างไร จะพูดได้มากมายนั้น
แกจะพูดได้อย่างไรจงพูดขึ้นมา



อาตมภาพพูดต่อไปว่า
เท่าที่ท่านสมุห์จะมาโทษว่า ผมขาดจากเณรทีเดียว
ด้วยเหตุแห่งการติเตียนพระอลัชชีเท่านั้นผมไม่เห็นด้วย เพราะผมมิใช่ติเตียนพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า
ผมพูดเพื่อจะให้พระอลัชชีรู้ความผิดของตนเท่านั้น ส่วนพระสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้า ผมไหว้อยู่ทุกวันว่า
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ จนถึง สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
ผู้ปฏิบัติดีและผู้ปฏิบัติชอบนั้นแหละ ถือว่าพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า
ผมมิได้ติเตียนพระสงฆ์ผู้ประพฤติดี ผมกล่าวตามโทษของบุคคลผู้กระทำผิดพระวินัย ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
ท่านเคืองอะไรหนักหนาหรือท่านประพฤติผิดพระธรรมวินัยกับเขาบ้าง



ท่านตอบว่า ไม่ว่าแต่ฉันเลย เจ้าคณะแขวงก็มีม้า มีวัว มีเงินตั้งหลายพันบาท ไม่เห็นว่าท่านเป็นพระอลัชชี



อาตมาตอบท่านว่า
ถ้าเช่นนั้น ท่านทั้งหลายค่อนข้างเป็นพระอลัชชีไปแล้วมิใช่หรือ
พระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้ามิได้ยกเว้นเจ้าคณะแขวงให้ประพฤติผิดพระธรรมวินัยมิใช่หรือ ใครต่อใครก็ตาม
ครั้นเมื่อบวชแล้วก็มีศีลสังวร ๒๒๗ ข้อเสมอภาคกันมิใช่หรือ หรือท่านยกเว้นที่ไหนบ้าง



ท่านสมุห์จึงพูดว่า ขี่ม้าเท่านั้น จับเงินขายทอง และซื้อของบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น
จะขาดความเป็นสมณะด้วยหรือเณร



อาตมภาพตอบว่า
ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะด้วยเหตุแห่งการเบียดเบียนสัตว์อื่นนั้นเอง ดังมีในภาษิตว่า นะ หิ
ปัพพชิโต ปะรูปะฆาตี สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต แปลว่า ผู้ฆ่าสัตว์อื่นเบียดเบียนสัตว์อื่น
ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะเลย ดังนี้ครับ



ท่านโกรธใหญ่ว่า
ถ้าเช่นนั้นเณรก็คงเหมาพระทั้งหมดไม่ชื่อว่าเป็นสมณะทั้งนั้นใช่ไหม ?



อาตมภาพตอบว่า
ผมไม่ได้เหมาใครเลย เป็นแต่ผมแสดงธรรมไปตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น



ท่านสมุห์ภัยจึงพูดขึ้นว่า
เรื่องอื่นมีถมไป ทำไมเณรไม่เทศน์
ทำไมเณรจึงเทศน์เรื่องส่อเสียดพระเจ้าพระสงฆ์



อาตมภาพตอบว่า
อันที่จริงผมต้องการประกาศศาสนา ในเรื่องนี้ผมพิจารณาเห็นว่า
ผู้บวชในศาสนาทุกวันนี้ถือกันเป็นแค่เจ้าลัทธิเท่านั้น สำคัญว่าได้บวชแล้วก็เป็นตัวบุญเท่านั้น
คือถือเอาแค่ลัทธิศีรษะโล้นห่มผ้าเหลืองเท่านั้น เป็นอันว่าสำเร็จในการบำเพ็ญบุญมาแล้ว
ก็ประพฤติผิดพระธรรมวินัยไปต่าง ๆ เพราะสำคัญว่าเราเป็นพระแล้ว ทำไปบ้างก็ไม่เป็นไร
เพราะใครเขาคงจะไม่อาจว่าเราได้ง่าย ๆ เพราะเราเป็นพระ ถ้าเขาดูหมิ่นเราโดยเหตุเล็กน้อยเท่านั้น
เขาก็กลัวบาปเพราะเราเป็นพระแล้ว ข้อนี้แหละเป็นเหตุให้ศาสนาเสื่อม ฝ่ายพระก็ทนงตัวว่าเราเป็นพระ
ใครไม่อาจดูหมิ่นเราได้ ฝ่ายโยมเห็นความผิดของพระก็ไม่กล้าทักท้วงเพราะกลัวเป็นบาปนี้เอง
ทั้งฝ่ายพระก็ไม่มีความละอายกลายเป็นพระอลัชชี ทั้งฝ่ายโยมก็เห็นผิดกลายเป็นเดียรถีย์
ต่างก็พากันมาสำคัญลัทธิที่ผิด ๆ เท่านี้ว่าเป็นบุญกุศล มิได้ประพฤติหาความจริงของพระพุทธศาสนา
ต่างก็มาสำคัญว่าเป็นปฏิปทาของพระพุทธศาสนาหมด วิธีทำกันเท่านั้นแล้วก็นอนใจอยู่
มิหนำซ้ำยังประพฤติย่ำยีพระพุทธศาสนาให้ถึงแก่ความคร่ำคร่าลงไป
จะได้นามว่าพุทธบริษัทคือหมู่เหล่าของท่านผู้รู้วิเศษอย่างไรได้



ถูกเจ้าคณะจังหวัดกักตัว


ต่อนั้น ฝ่ายคณะสงฆ์จังหวัดกาฬสินธุ์ มีท่านพระครูสังฆปาโมกขทวาจารย์ เป็นประธานกักตัวของอาตมภาพแล้วยื่นคำร้องมาเรียน พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพรหมมุนี (คือสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) วัดบรมนิวาส กรุงเทพมหานคร) เมื่อท่านดำรงค์สมณศักดิ์เป็น พระโพธิวงศาจารย์ อยู่จังหวัดนครราชสีมา หาว่าอาตมภาพดูหมิ่นผู้ประพฤติพุทธศาสนาทั่วไปในสังฆมณฑล ตกลงเวลานั้นถูกกัก พร้อมทั้งการไต่สวน อยู่ที่นั้น ๑ เดือนกับ ๑๔ วัน พระสงฆ์ในจังหวัดกาฬสินธุ์อุทธรณ์ ๒ ครั้ง หมายว่าจะให้ฉิบหายจากศาสนาเลย ทั้งบังคับให้สึก ขู่เข็ญหลายอย่าง หลายประการ

อาตมภาพปฏิญาณตนว่า เมื่อชีวิตนี้ยังอยู่ตราบใด จะไม่เปลื้องผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากกาย หากท่านทั้งหลาย จะสึกผมแล้ว จงทำศีรษะของผมให้ขาดออกจากร่างกายนี้เป็น ๒ ท่อนก่อนจึงค่อยเปลื้องผ้าเหลืองออก จึงจะเป็นอันสึก หากดวงชีวิตนี้ยังอยู่ อย่าเลย ท่านทั้งหลายเอ๋ย ในชีวิตนี้เป็นไปไม่ได้เสียแล้วในการสึกของผม ถึงไหนถึงกัน หากจะล้างผลาญชีวิตของผม ให้ตายลงวันนี้ก็ยอมตาย หากจะให้สึกไม่ย่อมสึกเป็นอันขาด ในชีวิตนี้ ท่านทั้งหลายต้องการอย่างไรทำไปเถิด หากผมไม่ได้มอบชีวิตนี้ถวายแก่พรหมจรรย์แล้ว ที่ไหนผมจะมาแสดงในข้อว่าท่านทั้งหลายประพฤติค่อนข้างเป็นอลัชชี ท่านทั้งหลายจงฟังดูเถิด คำพูดอันนี้เป็นคำพูดหมิ่นพระอลัชชีโดยตรงอยู่แล้ว ท่านทั้งหลายเห็นใครอื่นเขาพูดกันไหม เพราะเขากลัวผิดกลัวตายกันอยู่ จึงช่วยนิยมความประพฤติผิดพระธรรมวินัยเป็นถูกนิยมกันอยู่เท่านั้น ส่วนผมเล่าเอาเถอะ ในชีวิตนี้จะตายลงวันไหนก็ตาม ขอแต่ได้ประพฤติพระธรรมวินัยให้เป็นไปอยู่ และได้นำความจริงของศาสนามาประกาศตามเป็นจริงอยู่เช่นนี้ ผมมิได้ห่วงในชีวิต อันทำกิจของพรหมจรรย์ให้เป็นไปอยู่ เพราะผมได้มอบชีวิตแล้วแก่พรหมจรรย์อย่างแน่นแฟ้น เรื่องของศาสนานี้ ผมมิได้หวาดหวั่นแล้ว อย่าหาว่าแต่ ท่านทั้งหลาย จะมาขู่ให้ผมสึก หรือให้เห็นตามข้อประพฤติที่ผิด ๆ ของท่านทั้งหลายมิได้มี และท่านทั้งหลายเอ๋ย คนเช่นผม ถ้าไม่แน่นอนในใจแล้ว ทั้งไม่ประพฤติ ทั้งไม่พูดในเรื่องนั้น ๆ ถ้าประพฤติหรือพูดลงแล้ว ยอมสละชีวิตลงแทนคำพูด และความประพฤติของตน อย่างเด็ดหัวตัวขาดทีเดียว คำพูดทั้งหมดที่ผมแสดงไปว่า พระทั้งหลายเป็นอลัชชี โยมทั้งหลายกลายเป็นเดียรถีย์ ข้อนี้นั้นผมเผดียงหาตัวพระอลัชชี เท่านั้น มิใช่ผมพูดด้วยความเห่อเหิม ของคนนับถือเท่านั้น บัดนี้ ผมขอประกาศอีกเป็นครั้งที่ ๒ ว่า ตัวผมเองได้มองเห็นมลทินของศาสนา คือ พระเณรประพฤติไม่เป็นธรรมแล้ว แต่ครั้งผมจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำภูผากูดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ จึงได้เที่ยวธุดงค์ออกมาเพื่อประกาศพระพุทธศาสนา ทั้งเผดียงหาตัวพระอลัชชี พึ่งมาพบ เมื่อเดือน ๓ ขึ้น ๓ ค่ำ ปี พ.ศ. ๒๔๗๓ ในจังหวัดกาฬสินธุ์นี้เอง ก็ชอบกลอยู่แล้ว ข้าพเจ้าเกิดก็เกิดเดือน ๓ ขึ้น ๓ ค่ำ ตั้งใจจะทำกิจของศาสนา ก็มีการ อันถึงพร้อม ในกำหนดอันเดียวกัน บางที ต่อไปข้างหน้าหากชีวิตของข้าพเจ้ายังตั้งอยู่ไปนาน อาจจะบริหารพระพุทธศาสนานี้ ให้เป็นยุค เป็นธรรม ก็อาจเป็นได้

นี่แหละฟังดูเถิดท่านทั้งหลายเอ๋ย ความตั้งใจของผมได้เป็นมาแล้วอย่างนี้ ที่ไหนผมจะหวั่นไหว ต่อความกระทบกระทั่งของท่านทั้งหลาย ด้วยฝีปากเท่านั้น มิได้มีเลยแม้แต่ชีวิตนี้ผมก็ได้สละลงแล้ว เพื่อกิจของศาสนาอันมีคุณานุภาพอันยิ่งใหญ่ไพศาล








ที่มา : เวป dharma-gateway

โปรดติตามตอนต่อไปครับผม


ทำนองเพลง ลาวม่านแก้ว



Create Date : 24 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2553 10:35:32 น. 10 comments
Counter : 968 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะคุณไผ่
แวะมาทักทายยามเช้าค่ะ


โดย: ชีวิตมีลีลา วันที่: 25 พฤศจิกายน 2553 เวลา:8:33:33 น.  

 






อยู่เปล่าอ่ะพี่ไผ่
มาทักทายพี่ชายจ้า งานยุ่งเปล่าคะ
แพทไม่ได้เข้าบล็อคนาน
เล่นเอาทำอะไรไม่ค่อยถูก อิอิ

รักษาสุขภาพด้วยนะคะคุณพี่


โดย: pt_box วันที่: 26 พฤศจิกายน 2553 เวลา:13:43:18 น.  

 


สวัสดีค่ะ พี่ไผ่

พูห่างหายไปนาน
เพราะคร่ำเคร่งกับการสอบค่ะ

พี่ไผ่สบายดีนะคะ



โดย: พธู วันที่: 26 พฤศจิกายน 2553 เวลา:15:14:01 น.  

 
"มาร บ่ มี บารมี บ่ เกิด"
ประโยคนี้ใช้ได้กับเณรจริงๆ เลยนะคะ
อยากทราบเรื่องราวต่อไปจังเลย
คงต้องเข้าไปตามอ่านต่อจากลิ้งค์ที่มาเสียแล้ว
ขอบคุณ คุณไผ่สีดำ ที่นำเรื่องราวของเณรผู้กล้าหาญมาให้อ่านค่ะ



โดย: ณ ปลายฉัตร วันที่: 27 พฤศจิกายน 2553 เวลา:3:33:17 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่ไผ่
ไม่ได้แวะเวียนมาหาพี่ตั้งนาน
พี่ไผ่สบายดีนะคะ จินสบายดีค่ะพี่
เอาภาพสวย ๆ จากดอกแม่อูคอมาฝากค่ะ ^^



โดย: JinnyTent วันที่: 30 พฤศจิกายน 2553 เวลา:9:00:41 น.  

 
วันนี้บล็อกยังวันรายปักษ์ วางแผงต้อนรับต้นเดือนธันวาแล้วครับ....






....
มองเงาฟ้า ในแอ่งน้ำ ต่ำใต้พื้น

สะท้อนคืน ภาพแผ่นฟ้า พาคิดฝัน

ฟ้ากับดิน ได้บรรจบ มาพบกัน

สิ้นขีดขั้น หลั่นแดน ให้แหงนมอง...


โดย: ยังวัน วันที่: 1 ธันวาคม 2553 เวลา:6:14:00 น.  

 


โดย: nootikky วันที่: 5 ธันวาคม 2553 เวลา:15:51:15 น.  

 

สวัสดีค่ะ..

เมื่อวานอ้อมแอ้มได้ไปดูคอนเสริ์ต

เพลงพระราชนิพนธ์ที่ศูนย์สิริกิตต์ค่ะ

และตอนค่ำได้จุดเทียนและไฟเย็น

ร้องเพลงสรรเสริญ/สดุดีมหาราชาที่บ้านค่ะ

วันนี้โหวตให้ 3 คะแนนนะค่ะ



โดย: คนผ่านทางมาเจอ วันที่: 6 ธันวาคม 2553 เวลา:21:24:40 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณไผ่
แวะมาส่งความความระลึกถึงค่ะ
เขามีโหวต แอบโหวตให้นะค่ะ....
บล๊อคคุณไผ่ เสมือนสิ่งเตือนใจให้
ไม่หลงลืม...และนำมาปฏิบัติ..


โดย: ชีวิตมีลีลา วันที่: 7 ธันวาคม 2553 เวลา:8:49:50 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณหมึก..

ต้องค่อยๆอ่านประวัติข้างบนนะค่ะ

3 วันนี้ทำงานทุกวันเลย..



โดย: คนผ่านทางมาเจอ วันที่: 10 ธันวาคม 2553 เวลา:23:54:04 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หมึกสีดำ
Location :
ขอนแก่น Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add หมึกสีดำ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.