ประวัติพระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน ๑๒
ประวัติพระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน ๑๒ อุบายแนะนำของอาจารย์ ครั้นเมื่ออาตมภาพหยุดพูดนิ่งอยู่ฝ่ายคณะสงฆ์ก็เขียนคำร้องอุทธรณ์มาเป็นครั้งที่ ๒ ผลที่สุดพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพรหมมุนี ที่อยู่วัดบรมนิวาสทุกวันนี้จึงตัดสินใจให้ตัวอาตมภาพลงไปชำระที่จังหวัดนครราชสีมาอาตมภาพจึงมีจดหมายไปเรียนท่านอาจารย์สิงห์ และอาจารย์มหาปิ่น พร้อมกับท่านพระครูวิเศษสุตคุณเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น ตกลงท่านอาจารย์สิงห์และอาจารย์มหาปิ่นก็ลงมาแก้ไขช่วยทีพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพรหมมุนี ที่จังหวัดนครราชสีมา ตกลงท่านก็ตัดสินยกเลิกและเรียกเอาตัวของอาตมภาพ กลับไปอบรมปฏิปทา ของศาสนาในสำนักของท่านอาจารย์สิงห์และท่านอาจารย์มหาปิ่นอีกครั้นเมื่อกลับมาถึงสำนักของท่านอาจารย์สิงห์แล้ว ท่านก็แนะนำอุบายให้ว่า บัดนี้คณะปฏิบัติยังไม่มีความกล้าหาญเสมอภาคกัน ยังเริ่มริอยู่จงปฏิบัติเรื่อย ๆ ไป ต่อเมื่อได้มีกาลอันถึงพร้อมจงทำกันหากไม่มีโอกาสอันเหมาะแล้ว จงแสวงหาความพ้นทุกข์โดยส่วนตัวนั้นเถิดเพราะเวลานี้พวกปฏิบัติยังอ่อน เท่ากับกำลังหว่านข้าวกล้าลงในนานั่นเอง ครั้นเมื่ออาตมภาพได้รับโอวาทท่านแล้วจึงขอลาท่านไปจำพรรษาอยู่ที่ภูเขาฝายพญานาค ในพรรษานั้นตั้งใจบำเพ็ญความสงบส่วนตัว ก็นับว่าได้ความสบายใจ มิได้มีอุปสรรคอันหนึ่งอันใดเลย ถ้าสึกจะมอบสมบัติและลูกสาวให้ ครั้นเมื่อออกพรรษาแล้วเที่ยวธุดงค์ไปทางจังหวัดมหาสารคาม ไปพักอยู่ที่บ้านแห่งหนึ่งยังมีคนตระกูลหนึ่งเขาเป็นคนมีทรัพย์พอสมควร เขาก็นิมนต์ให้พักอยู่ที่ป่าช้าได้ ๒๐วัน แกคนนั้นเป็นคนเข้าออกปฏิบัติทั้งแม่ทั้งลูก ครั้นต่อมาโยมคนนั้นจึงเล่าความเป็นมาของเขาว่า ผมก็แก่แล้ว การไปมาก็ไม่สะดวก และผมเป็นทุกข์อยู่อย่างหนึ่งคือหากผมตายลงไป กลัวจะไม่มีใครจะพาลูกของผมอยู่ เพระผมมีลูกสาวคนเดียวเท่านั้นทรัพย์สิ่งของก็มากมาย ไม่รู้ว่าใครจะมาช่วยรักษาและพาลูกของผมอยู่กินไปล่วงหน้าคนโดยมากไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เป็นแต่นักเล่นถั่วเล่นโป และนักเลงสุราหากจะเอาคนพวกนั้นมาปกครองรักษาทรัพย์ ก็เป็นอันว่าถึงความฉิบหายเท่านั้นท่านคุณเณรก็ยังดูน้อยยังหนุ่มนัก ขอให้อยู่ไปนาน ๆ ก่อน อย่าไปเที่ยวไปทางอื่นอีกหรือหากจะสึกออกมา พ่อก็จะมอบสมบัติให้ครอบครอง ดังนี้ ต่อไป อาตมภาพก็นั่งนิ่งอยู่มิได้พูดคำหนึ่งคำใดทำดุจกับว่านั่งสมาธิ ดูเหมือนว่าแกคนนั้นมีความละอายขึ้น แล้วก็ลากลับขึ้นบ้านครั้นเมื่อคำลงวันนั้นอาตมภาพจึงพิจารณาต่อไปว่า บัดนี้เรามีอายุเพียง๒๐ ปีเท่านั้น บัดนี้เราหนุ่มนักจะอยู่ในศาสนาตลอดชีวิตไหมครั้นพิจารณาเช่นนี้ก็รู้สึกขึ้นทันทีว่าบัดนี้จิตของเราเอนเอียงเป็นไปตามความชักนำของโยมคนนั้น ครั้นระลึกขึ้นได้ทำความประดุจหนึ่งว่า ขู่จิตของตนว่าแม้เราปฏิบัติหาทางพ้นทุกข์เป็นเวลา ๗ ปีนี้เรื่องการอะไรหนอจะมาสงสัยกับมาตุคามอยู่เช่นนี้อย่าเลยนะสถานที่นี้เป็นอัปมงคลแล้ว เราควรหนีเสียเดี๋ยวนี้แหละดีกว่า ครั้นพิจารณาแล้วก็หนีไปในกลางคืนวันนั้น ครั้นเดินไปตามทางกลางคืน วันนั้นตั้งใจพิจารณาว่า เจ้าอวิชชาอยู่ลุ่มลึกนักหากมาทำความวิจิกิจฉาสงสัยขึ้นมิเข้าเรื่องเข้าการอย่าเลยนะเราจะต้องเข้าป่าช้าเข้ารกเพื่อดัดสันดานความลุ่มหลงตอนนี้ให้แยบคายลงไป ๗ วันฉันข้าว ๑ หน ครั้นเมื่อพิจารณาตกลงเช่นนั้นก็เที่ยวไปหาที่สงบอีก๕ วัน ถึงแม่น้ำโขงแล้วก็เดินไปตามภูเขา อาศัยบิณฑบาตฉันตามบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆที่อยู่ตามชายเขา อีก ๓ วันถึงภูเขาคงแขวงเมืองคำทองก็พักทำความเพียรอยู่ถ้ำแห่งหนึ่งชื่อถ้ำสองห้องและพักจำพรรษาอยู่ที่นั้นในกลางพรรษานั้นบำเพ็ญทรมานอดข้าว ๗ วัน ฉันหนหนึ่งจนตลอดพรรษาในเดือนแรกนึกว่าชีวิตนี้จะตั้งอยู่ไม่ตลอด ๓ เดือน เพราะมีอาการเหน็บชาไปทั่วร่างกาย ครั้นถึงวันคำรบ ก็ฉันข้าว ขณะที่ฉันลงไปประมาณครึ่งอิ่มเกิดอาการอยากนอนขึ้น ครั้นฉันจนอิ่ม ก็มีอาการมืดหน้ามืดตา ถึงจะลืมตาอยู่ก็มองไม่เห็นอะไร มืดไปหมดถึงจะลืมตาดูตะวันก็ไม่เห็นตะวันเป็นแต่จะนอนเสียให้ได้ นอนอิ่มหนึ่งแล้วตื่นนอนขึ้นมาแล้ว จึงมองเห็น อะไรต่ออะไรได้ ครั้นต่อมาเดือนที่ ๒ ก็ทำอย่างนั้นเรื่อยไป คือ ๗วันฉันหนหนึ่งถึงวันคำรบ ๗ แล้วก็ออกบิณฑบาตมาฉัน ครั้นฉันก็มีรสดีแต่ฉันมากไม่ได้ ถ้าฉันมากอาเจียนเสียหมด แต่ไม่ถึงกับมืดหน้ามืดตาอย่างก่อนต่อนั้นก็อุตส่าห์บำเพ็ญต่อไประหว่าง วันไหนยังไม่ถึงวันกำหนดฉัน ตื่นขึ้นแต่เช้ารู้สึกเหน็บชาขึ้นแต่ปลายเท้าจนถึงหนังศีรษะ ครั้นต่อไปจนตลอดพรรษา ส่วนร่างกายรู้สึกซีดผอมเหี่ยวแห้งมากออกพรรษาแล้วก็กลับฉันทุกวันได้ ๑๖ วันปรากฏว่าเหงื่อซึมปลายเท้าปลายมือและริมฝีปากส่วนผิวหนังยังยุบเหี่ยวเปราะลอกออกได้ยาว ๆ ตามหลังมือหรือศอกแขน ผิวหนังที่ลอกออกมามองส่องตะวันเห็นรูขนเป็นแถว ๆ ได้พิจารณาเป็นอนิจจังว่าดวงชีวิตยังตั้งอยู่ภายในกายนี้แต่ผิวหนังที่ลอกออกมานี้ เขาตายไปแล้วจาก ความอยู่แห่งชีวิตครั้นพิจารณาดังนี้ก็เกิดความสังเวชขึ้น รู้สึกจิตดิ่งลงไปตั้งอยู่ปกติ ต่อไปนั้นก็พิจารณาความสงบอันนั้นให้นิ่งอยู่นิมิตปรากฏเห็น ช้างสารใหญ่ทั้ง ๒ ตัว เข้ามาจับตัวอาตมภาพขึ้นนั่งบนหลังแล้วพาขึ้นไปบนภูเขาสูงๆ แล้วคว้าเอาผ้าไตรจีวร มาวางลงไหล่ขวา แห่งอาตมภาพแล้วยกลงวางไว้ที่บนก้อนหินที่เป็นยอดภูเขา ต่อนั้นก็รู้สึกตัวก็ยังนั่งสมาธินิ่งอยู่ที่ก้อนหิน ต่อนั้นก็พิจารณาต่อไป นี้เรื่องอะไรได้คำตอบความว่า การอุปสมบทเป็นพระของเรา จะเป็นผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายท่านจะโปรดอนุเคราะห์ ต่อนั้นอาตมภาพก็เที่ยวธุดงค์มาจากเมืองคำทองแดนของฝรั่งเศส เรื่อยมาถึงกรุงเทพฯ นี้ เมื่อเดือน ๔ ขึ้น ๘ ค่ำ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๕ ครั้นมาถึงในวันนั้น พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพรหมมุนีจึงเรียกเข้าไปถามว่า “เณรนี้หรือถูกเจ้าคณะแขวง จังหวัดกาฬสินธุ์กักตัว” อาตมภาพก็รับตามเป็นจริงท่านจึงจับไปดูลายมือ ลักษณะที่มีอยู่บนฝ่ามือ แล้วท่านก็สั่งว่า จงหัดขานนาคเสีย อุปสมบท พอใกล้อุปสมบทแล้ว ครั้นวันหนึ่งท่านก็สั่งไปกับแม่ชีเป๋าว่า เรียนท่านที่วังให้ทราบว่าอาตมาจะบวชพระรูปหนึ่ง หวังว่าคงไม่เหลือวิสัย ต่อนั้น คุณเป๋าก็มาเรียนพระเดชพระคุณท่านที่วังก็รับอนุเคราะห์จัดการสมณบริขาร อุปสมบทอาตมภาพเป็นภิกษุขึ้นในศาสนาเมื่อเดือน ๕ ขึ้น ๕ ค่ำ ใน พ.ศ. นั้น ครั้นบวชแล้วก็อยู่ในกรุงเทพฯ นี้ไม่กี่วัน เดือน๕ ข้างแรม ท่านเจ้าคุณนำตัวของอาตมภาพกลับที่โคราช อาตมภาพได้จำพรรษาที่วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมานั้น ครั้นออกพรรษาแล้วอาตมภาพก็เที่ยวลงมาทางพระบาทสระบุรี เตลิดเข้ามาที่กรุงเทพ อยู่ ๘ วันอาตมภาพก็ขอเจริญพร ลาพระเดชพระคุณโปรดช่วยอนุเคราะห์ค่าโดยสารรถ เสร็จแล้วอาตมภาพก็กลับไปจำพรรษาที่วัดป่าสาลวันกับอาจารย์สิงห์ที่โคราชอีกในระหว่างกลางพรรษาที่ ๒ เกิดโรคเหน็บชา อ่อนเพลีย บางวันก็ออกไปบิณฑบาตไม่ได้ บางวันก็ไปได้นึกว่าหายาที่ไหนมาฉันก็ไม่หาย นึกรำคาญใจขึ้นมา ก็นึกว่าจะไม่ฉันอาหาร เสียเลยให้มันตายเสียดีกว่า จะอยู่เป็นทุกข์ไปหลายวันครั้นพิจารณาตกลง (ยังมีต่อเล่ม ๒แต่หาต้นฉบับได้แต่เพียงเล่ม ๑ เท่านั้น) หมายเหตุ : "เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่บันทึกของท่านมีอันเป็นต้องจบลงกลางคัน เพราะท่านอาพาธและถึงแก่มรณภาพในที่สุด ณ วัดบรมนิวาสจังหวัดพระนครนี่เอง ราวพ.ศ. ๒๔๘๑"
ที่มา : เวป dharma-gateway
จบบริบูรณ์
ทำนองเพลง ลาวม่านแก้ว
Create Date : 05 กรกฎาคม 2555 |
Last Update : 5 กรกฎาคม 2555 13:49:08 น. |
|
2 comments
|
Counter : 2734 Pageviews. |
|
|