ผมสถาปนาตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญในการรอสิ่งต่างๆ มานานพอสมควร โดยเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในเรื่องการเผาทำลายเวลา ผมมีคู่มือการทำลายเวลามากมาย ใช้งานง่าย ไม่ว่าจะเป็น นั่งอ่านหนังสือในร้านกาแฟ นั่งเล่นเกมส์ ดูหนังหลายเรื่องต่อเนื่องกัน หลังจากการสถาปนาตัวเองเป็นนักรอ ผมก็ใช้ชีวิตตามปกติสามัญนั่นแหละ เพียงแต่ไม่เคยขลาดกลัวหากมีอะไรให้ต้องรอนาน กลับยิ้มรับแบบมีนัยและเกิดมโนภาพในหัวว่าจะอ่านหนังสือเล่มไหน ดูหนังเรื่องอะไร ร้านกาแฟร้านใด แต่ที่ผ่านมาไม่มีอะไรหรือสิ่งใดทำให้ผมถึงจุดสุดยอดของการรอ ได้เท่ากับการรอหนังสือเล่มใหม่ของนักเขียนที่คลั่งไคล้เป็นพิเศษ และเมื่อเร็วๆนี้ผมก็เพิ่งถึงจุดสุดยอดในการรอหนังสือเล่มนึงของนักเขียนที่ผมคลั่งไคล้มานาน 1Q84 : Haruki Murakami
หนังสือเล่มนี้แทบจะเรียกได้ตั้งแต่ก่อนพิมพ์ว่าเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซ อาจเพราะการห่างหายจากเขียนหนังสือเล่มโต(เช่นบันทึกนกไขลาน,1994)ไปนาน และกลับมาพร้อมผลงานใหม่ที่แบ่งเป็น3เล่มจบ นึกถึงความหนาของหนังสือรวมกันเลยพาลนึกไปถึงความพยายามของเฮียมู ผลงานเล่มนี้จึงได้รับการคาดหมายให้เป็นมาสเตอร์พีซแทบจะทันใด บางเสียงของสาวกเลยไกลไปถึงผลงานเพื่อลุ้นรางวัลใหญ่อย่างโนเบล สาขาวรรณกรรม กับเขาเสียทีหลังจากหวุดหวิดอยู่หลายครั้ง และหลังจาก 1Q84 ตีพิมพ์และส่งเข้าสู่ร้านหนังสือ ก็ทำสถิติน่าทึ่งยอดขายถล่มทลายกว่า1ล้านเล่มในเวลาเดือนเดียว และกำลังจะถูกตีพิมพ์ในภาษาอังกฤษ เปิดตัวในอเมริการและอังกฤษเร็วๆนี้ เดอะเจแปนไทมส์ เรียกนิยายเล่มดังกล่าวนี้ว่า magnum opus (ผลงานยิ่งใหญ่ที่สุด) ทำให้กระแสเฮียมูโหมกระหน่ำในหมู่สาวกมากขึ้นไปอีก แต่ผมโชคดีกว่าสาวกอีกหลายคน เนื่องเพราะผมสั่ง 1Q84 เล่ม1 จากการเปิดจองล่วงหน้าของสำนักพิมพ์กำมะหยี่ ก่อนจะว่างขายจริงในงานสัปดาห์หนังสือต้นเดือนตุลา จากนั้นใช้เวลาไม่นานจัดการกับความหนา449หน้าจนจบอย่างตะกละตะกลาม หากนับเป็นชั่วโมงรวม ผมใช้ไปไม่ถึง24ชั่วโมงเสียด้วยซ้ำ ตามผมมาผมจะพาคุณไปแอบดูเรื่องราว แต่พยายามจะไม่สปอยล์ เพื่อเรียกน้ำย่อยให้พุ่งกระฉูดอยู่ในตัวคุณ อ่านจบแล้วอย่าเผลอแหงนมองท้องฟ้าล่ะว่ามีพระจันทร์สองดวงรึเปล่า
1Q84 ถูกตีความตั้งแต่แรกจากแฟนแฟนและนักวิจารณ์ในวงการวรรณกรรมทั้งหลายว่า มีที่มาจากนิยายชื่อดังของ จอร์จ ออร์เวล เรื่อง 1984 (เขียนถึงแล้วในบทความก่อนหน้า) ก็เพราะว่าเลขเก้าในภาษาญี่ปุ่นออกเสียงว่า คิว (kyu) หลังจากผมอ่านจบก็รู้ว่าไม่ผิดไกลนักกับการตีความเรื่องนี้ แต่เรื่องราวที่แฝงอยู่ต่างหาก ที่น่าค้นหา ผจญภัย อ่านแล้ววางไม่ลง เกินกว่าจะมีใครคาดเดาถึง เหตุการณ์เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 1984 (เห็นไหมล่ะ ว่าจอร์จมาแล้ว) ที่ประเทศญี่ปุ่น เขียนสลับไปมาระหว่างบท แต่ละบทเป็นของตัวละครหลักสองตัวคือ อาโอมาเมะ เทรนเนอร์สาวและครูสอนศิลปะการป้องกันตัว กับ เท็งโกะ ครูสอนคณิตศาสตร์หนุ่มและนักเขียนที่ยังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน พร้อมด้วยตัวละครย่อยที่มีบทบาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน โผล่หน้าออกมาล้อเล่น บ้างก็ตีหัวคนอ่านให้มึนงงแล้วหายไป แต่หากคุณพลาดไม่ใส่ใจหรือให้อภัยกับการตีหัวแล้วหลงลืมไปล่ะก็ คุณจะพลาดหลายฉากที่สำคัญ เพราะเฮียมูไม่เคยปล่อยให้ใครมาตีแสกหน้าและลาก่อนเป็นแน่
แม้เรื่องราวในเล่มจะแบ่งออกเป็นเรื่องราวของสองตัวละครอย่างชัดเจน แต่ก็อ่านได้ไม่สะดุด บางครั้งใจร้อนอยากจะข้ามบทเสียด้วยซ้ำ ธีมหลักเรื่องที่สยายปีกคลุมอยู่ เป็นเรื่องราวขององค์การลับทางศาสนาที่ปิดตัวเองจากโลกภายนอกอยู่ในหุบเขาลึก แต่มีสาวกที่ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ แถมไม่มีการเผยแพร่ศรัทธาเพื่อเพิ่มจำนวนผู้นับถือ หากแต่จะมีการคัดเลือกจากผู้สนใจสมัครเข้ามา ซึ่งก็มีไม่น้อยทีเดียว แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไป ความดำมืดและปริศนาที่ส่งกลิ่นคละคลุ้งออกมาจากตัวองค์การเอง ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เท่านั้นยังไม่พอ อาโอมาเมะ ยังสับสนกับจุดยืนของตัวเองว่าอยู่ในโลกใดกันแน่ สั่นคลอนความเชื่อของเธอ ทั้งที่เป็นความเชื่อที่มาจากการเห็นด้วยสายตาของตัวเอง เท็งโกะ ก็ได้หามีธีมเรื่องธรรมดาสามัญเหมือนตัวละครชายที่ผ่านมาของเฮียมูเท่าไรนัก แม้จะอยู่ตัวคนเดียวเหมือนตัวละครอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้เหงา เบื่อโลก หรือถูกเมียทิ้ง และไม่ได้เลี้ยงแมว เรื่องของเท็งโกะ เป็นการจิกกัดวงการวรรณกรรมของญี่ปุ่น ด้วยการหยิบยกรางวัลนักเขียนหน้าใหม่มาผูกเรื่องให้ได้รู้สึกคันคันกันบ้าง บ้างฉากการเขียนหนังสือของเท็งโกะ ก็ทำให้ผมก้มหัวลงมองตัวเอง บางทีก็เหมือนเห็นเงาตัวเองอยู่ในนั้นจางๆ
มูราคามิ ยังร่ายมนต์สะกดผมได้เช่นเคย เพียงแต่เมื่อคิดว่า นี่แค่เล่ม1 ที่เหลืออีก2เล่ม ผมจะมีสภาพเช่นไร การอ่านหนังสือเล่มนี้ เป็นการอ่านอย่างที่เรียกได้ว่าเพลิดเพลินเจริญใจ แต่เมื่อคุณเผลอเมื่อไร มูราคามิ จะเอาปากกาเคาะหัวคุณ เอาไม้หน้าสามตีแสกหน้าคุณ ให้สะดุ้งตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในบางฉาก โดยปกติ การเขียนถึงหนังสือเล่มที่ผมชอบ ผมจะเปิดเผยเรื่องราวหลายส่วนของหนังสือ หยิบบางฉากมาวางแผ่ให้ได้เห็น แต่กับเล่มนี้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากเปิดแผงโชว์ แต่คิดว่าการรอคอยที่ยาวนานนั้น ถ้าได้เปิดอ่านได้ใช้มือลูบไล้ไปตามหน้าหนังสือโดยตัวคุณเอง คงจะได้อารมณ์มากกว่ากันเยอะ เหมือนกับการโดนเตะลูกอัณฑะ คุณไม่มีทางรู้หรอกว่ามันเจ็บแค่ไหน ถ้าไม่ใช่ลูกอัณฑะของคุณเอง
หลังจากอ่านบรรทัดสุดท้ายของหน้า 449 จบ ผมเผลอแหงนมองท้องฟ้า
มองหาว่ามีพระจันทร์อีกดวงลอยคู่กันอยู่หรือเปล่า
ผมไม่เห็นพระจันทร์อีกดวงหรอก แต่ผมกำลังไม่มั่นใจเลยว่า ขณะนี้ผมสังกัดอยู่ในโลกไหนกันแน่