เหตุผลที่ผมหยิบหนังสือเล่มนี้กลับบ้านจากงานหนังสือเดือนตุลาหาใช่ด้วยคำต่อท้ายหนังสือที่ว่านวนิยายซีไรต์ประจำปี 2555 แต่เป็นเพราะได้อ่านพบบทสัมภาษณ์ถึงที่มาของนวนิยายเรื่องนี้ต่างหาก คุณวิภาส ศรีทอง-ผู้เขียน กล่าวถึงที่มาว่าหลังจากได้พบและพูดคุยกับคนแคระคนนึงด้วยความบังเอิญกลางดึกในซอยเล็กๆ แถวบางลำพู จากเดิมคิดว่าจะทำหนังสั้นและเอาคนแคระมาใส่ในหนังสั้น สุดท้ายกลายมาเป็นนวนิยาย คนแคระ เล่มนี้ ซึ่งเขาใช้เวลาบ่มเพาะมันถึงสองปี ผ่านการเขียนแล้วทิ้ง เขียนแล้วตัดทอนอีกมาก อีกคำวิจารณ์ต่องานเขียนก็มากโขกว่าจะเป็นเล่มสมบูรณ์เรียกได้ว่าฝ่าฟันมาเยอะเอาการ
คนแคระ เป็นเรื่องราวของ เกริก ชายหนุ่มฐานะร่ำรวย นักศึกษาแพทย์ผู้เกือบจะจบการศึกษาแต่ก็ต้องทิ้งลงกลางคันหลังจากการเสียชีวิตของบิดา มรดกทรัพย์สินทั้งหลายจึงหล่นมาในครอบครองของเขา รวมไปถึงตึกร้างกลางทุ่ง สถานที่ที่บอกเล่าเรื่องราวทั้งหลายของ คนแคระ สถานที่แห่งกรงขังของคนแคระ ผู้ซึ่งถูกเกริก เลือก ให้มาเป็นแขกในกรงอันมันคงแห่งนั้น หลังจากเสียงหนึ่งซึ่งเปล่งดังขึ้นในกะโหลกของเกริกว่า จับชายสักคนหนึ่งมาขังในกรง นำไปสู่การกระทำตามเสียงนั้นในที่สุด การตระเตรียมสถานที่ต้องขังแห่งนี้เป็นหน้าที่ของเกริกแต่เพียงผู้เดียว ด้วยฐานะที่ร่ำรวย และเวลาที่มีให้ใช้สอยอย่างสุรุ่ยสุร่าย เขาจึงได้จัดเตรียมตึกร้างที่ตกทอดจากบิดาเพื่อต้อนรับอาคันตุกะผู้ไร้ซึ่งเสรีภาพ ภายในเพียบพร้อมไปด้วยเครื่องเรือน เครื่องใช้อำนวยความสะดวก และห้องน้ำ เพียงสิ่งเดียวที่กางกั้นระหว่างเสรีภาพกับการจองจำคือซี่กรงเหล็กแถวยาวทะมึน
เกริก เปรียบเสมือนผู้สร้างที่ปั้นเสกสถานที่ไว้รอท่า แต่ผู้ที่คอยดูแลสถานที่และความเป็นไปโดยรวมคือเพื่อนสนิทของเขา พิชิต ชายหนุ่มผู้สูญเสียภรรยา ผู้ซึ่งประสบกับเสียงประหลาด เงาปริศนาวูบไหวภายในห้อง และการนอนไม่หลับเรื้อรังที่รอวันกำเริบอาการ เขาดูราวกับจะสูญสิ้นพลังชีวิตไปพร้อมกับการจากไปของภรรยา บ้านกลายเป็นสถานที่ที่ไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่อีก ตึกร้างกลายเป็นที่พำนักเกือบถาวรหลังจากการเชื้อเชิญมาเยี่ยมชมแขกในกรงของเกริก แม้รู้ว่ากำลังพัวพันกับเรื่องอันตรายแต่เท้าของพิชิตก็ไม่ได้ก้าวออกจากตึกร้างแห่งนี้อีกเลยจนวันสุดท้ายนั้นมาถึง พิชิตทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างภายในตึก ไม่ว่าจะเป็นความสะอาด การจัดระเบียบข้าวของ การทำงานเล็กๆน้อยๆ ทั่วไป ราวกับการขยับเคลื่อนไหวในแต่ละงาน ทำให้เขารู้สึกถึงพลังแห่งชีวิตที่หมุนวนอยู่ภายในจิตใจ
แขกที่ได้รับเชิญอีกคน นุช เพื่อนสนิทอีกคนของทั้งเกริกและพิชิต หญิงสาวผู้หลงใหลในงานศิลปะ และมั่นใจในก้าวย่างบนเส้นทางสายศิลปิน แต่ก่อนหน้านั้นเธอต้องผิดหวังจากคนรักจนเกือบหลุดหล่นจากเส้นทางของศิลปิน แต่สุดท้ายด้วยบทวิจารณ์ของนักวิจารณ์ศิลปะคนหนึ่งต่องานของเธอทำให้เธอพบว่านั่นเป็นสัญญาณที่ดี เผยเส้นทางในอนาคตให้เธอได้เห็นเร็วขึ้น นุชออกจากงานประจำหลังจากขายงานได้สองสามชิ้นบวกกับเงินช่วยเหลือจากเกริก ทำให้เธอผลิตงานออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่ราวกับเธอจะไปไม่ถึงจุดสูงสุดของตัวเองเสียที นุชเป็นแขกคนสุดท้ายจากการชักชวนของพิชิต หาใช่เกริกเจ้าของตึกร้างและกรงขังแห่งนี้ แม้เธอจะไม่ได้เป็นแขกที่มาพำนักถาวรในตึก แต่เธอก็เป็นผู้ที่ให้ความเห็นอกเห็นใจที่ชัดเจนที่สุดต่อคนแคระในกรงขัง ความเห็นใจของนุชหาได้กลับกลายเปลี่ยนเป็นอิสรภาพให้กับคนแคระไม่
คนแคระ แขกผู้ไม่ได้เต็มใจเพียงคนเดียวของตึกร้าง ผู้ซึ่งแม้จะได้รับความสะดวกสบายและให้เกียรติสักปานไหน ผู้ซึ่งในโลกด้านนอกนั้น เป็นได้เพียงชายตัวเล็กประหลาดผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบตลอดเวลา ผู้ซึ่งแม้คุณค่าในตัวเองยังไม่แน่ว่าอาจจะหาพบหรือไม่นั้น ก็ยังโหยหาสิ่งที่เรียกว่าอิสรภาพ แม้ต้องแลกมาด้วยความบ้าบิ่นและอาชญากรรมที่ตัวเขาเองก็ไม่คาดคิดว่าจะทำได้ แต่สุดท้าย ความต้องการที่เรียกว่าอิสรภาพราวกับจะจางหายไปพร้อมความทรงจำของตัวเอง
หนังสือ คนแคระ มีอารมณ์ที่หนักไปทางเนิบช้า ใช้คำพรรณาเป็นส่วนใหญ่ แต่การดำเนินเรื่องไม่สะดุด ราวกับฟังเพลงบรรเลงยาวๆ สักเพลง หากแต่ไม่มีส่วนใดของเรื่องที่ให้อารมณ์ขึ้นสูงสุดหรือลงต่ำสุด อารมณ์ค่อนข้างที่จะอยู่ในโทนเดียวกัน อาจเป็นเพราะการพรรณาของผู้เขียนที่จงใจให้ผู้อ่านได้สำรวจลงลึกไปในตัวละครแต่ละตัว ถึงการกระทำและผลแห่งการกระทำแต่ละอย่าง จนไปถึงบทสรุปในท้ายเล่ม หากตระหนักให้ดีแล้ว ในตัวละครทุกตัวมีความร้าวลึกบางอย่างทิ้งรอยแหว่งวิ่นเอาไว้ในหลืบลึกของซากปรักแห่งจิตใจ มีเพียงวิภาส-ผู้เขียนเท่านั้นที่ซับทราบและสามารถพาผู้อ่านดำดิ่งสู่รอยอันร้าวลึกเหล่านั้น หากแต่เมื่อกลับขึ้นมาแล้วคุณจะได้อะไรติดมือกลับมาบ้างขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง