Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
15 สิงหาคม 2551
 
All Blogs
 

AB , NT , GP สามพี่น้องตระกูลAF

พี่น้องสามคู่แห่งตระกูลAF มีอะไรบางอย่างที่คล้ายกัน พอเดาได้ไหมคะ
(ถ้าตอบว่า...เป็นคู่พี่ชายน้องชาย เป็นคู่ที่เจ้าของบล็อกปลื้ม....เคืองนะเอ้อ~~~)

ไม่รอฟังละ....เฉลยดีกว่า
พี่น้องสามคู่นี้....พี่ชายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ส่วนน้องชายเป็นเอาฝ่ายเปรียบ ฮ่าฮ่าฮ่า
เอาใหม่....พี่ชายคอยเอาใจ ส่วนน้องชายเอาแต่ใจ..........ตรงไปไหมเนี่ย
รีบู๊ทอีกทีอ่ะ....พี่ชายรู้จักวางมาด ช่างเก็บความรู้สึก แต่เจ้าน้องชายอ้อนเสียจนไม่เหลือมาด แถมแสนจะเปิดเผย

โอย~~~ ยิ่งอธิบาย ยิ่งชักจะยุ่ง
งั้นพอแค่นี้ดีกว่า...แค่นี้ก็พอรู้คำตอบแล้วใช่ไหมคะ
ก็ไม่รู้ทำไมสินะ......... ทำไมถึงต้องมาในอีหรอบนี้ทั้งสามคู่

เรามาร่วมกันย้อนรอยทาง ค้นหารอยเท้าที่พี่น้องเขาเดินร่วมทางกันดีกว่าค่ะ

AB...แปลกดีนะคะ เป็นสองตัวแรกในอักษรภาษาอังกฤษ ถือเป็นพี่น้องคู่แรกของตระกูลAFได้อย่างเหมาะเจาะ
อ๊อฟ กระรอกน้อย ก่อนเข้าบ้าน น้องโดนมาหนักเหมือนกันเรื่องคำพูดจา ทำให้พอเข้ามาอยู่ในบ้านช่วงแรกๆ น้องระวังทั้งตัวทั้งคำพูด จนทำให้บรรยากาศรอบตัวน้องมันโดดเดี่ยว และเหงาได้ใจ
พี่บอย ชายหนุ่มที่เจิดจ้า รอยยิ้มที่เปิดเผย เสน่ห์ในตัวเหลือล้น แต่ก็มีปมในตัวที่พอถูกเพียงแค่สะกิด พี่บอยก็แทบเสียศูนย์

เด็กสองคนนี้ไม่ได้สนิทหรือแม้แค่คุ้นเคยกันมากมายมาตั้งแต่แรก
พี่บอย เป็นที่รักของน้องๆในบ้านโดยเฉพาะกับกลุ่มน้องสาว
ส่วนอ๊อฟ ลอยไปลอยมาหาเพื่อนลงตัวไม่ได้กับเขา แต่ได้รับการยอมรับเรื่องฝีมือการร้องจากเพื่อนๆ
...กว่าเด็กสองคนจะโคจรมาเจอกัน ก็ในวีคเพลงคู่ ที่ราวกับเป็นโชคชะตา จับเด็กบ้านๆสองคนมาDuetเพลงภาษาอังกฤษ
เพลงที่กลายเป็นตำนานของชาวAB เพลง “So Much In Love” ของ All 4 One

เพราะมันเป็นภาษาที่ไม่ถนัดอย่างแรง เด็กสองคนโดยเฉพาะกับอ๊อฟที่กลายเป็นเรื่องหนักหนา ต่างร่วมกันซ้อมมากกว่าอีกเพลงที่ต้องร้องคู่เพื่อนคนอื่น
เราถึงได้เห็นน้องชายที่เริ่มจะติดพี่ ตัวเริ่มติดกัน เริ่มคุยเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน ยิ่งกับอ๊อฟน้องเริ่มเล่าเรื่องต่างๆให้พี่ชายที่เต็มใจฟัง

งั้นแล้วกระแสคู่นี้เริ่มขึ้นตอนไหน..................................
“คลาสลูบหน้าในตำนาน” คงเป็นคำตอบ
กระแส Y ที่หลายคนไม่เคยรู้จัก เริ่มก่อตัว และกว่าจะจบซีซั่นจนออกนอกบ้านมันก็กลายเป็นพายุพัดโหมกระหน่ำเด็กทั้งคู่
ภาพเด็กชายที่ยังไม่เต็มหนุ่ม กับชายหนุ่มหน้าตาคมสัน มือที่ค่อยๆไล้ตามรูปหน้า สัมผัสบางเบาที่รูปปาก
เป็นภาพที่เรียกรอยหวามในหัวใจ ปากที่เม้มแน่นกลั้นเสียงกรีดร้องในใจจากหลายต่อหลายคนที่เฝ้าดูหน้าจอ
กระทู้รายงานสดแทบขาดใจตาย อีกหลายชีวิตที่กลั้นลมหายใจโดยไม่รู้ตัว

แค่นี้เอง....คู่วายคู่แรกของรายการAFในเมืองไทยก็เผยโฉม
แต่...เหมือนฟ้าเล่นตลก พี่บอยต้องออกจากบ้านแบบช็อคคนดู
และเราถึงได้เห็นความผูกพันที่มากมายเหลือเกินจากเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ราวกับถูกแย่งของเล่นไปต่อหน้าต่อตา นั่งร้องไห้ยาวนานของประวัติศาสตร์AF(ที่ยังไม่มีใครทำลายได้)
ร้องไห้จากบนเวที หลังเวที บนรถบัส มาจนไปแอบนั่งร้องไห้ข้างเตียงอีกเป็นชั่วโมง
และน้องอ๊อฟก็กลับมาอยู่เหงาๆแม้จะไม่เท่าเมื่อก่อน เพราะเพื่อนในบ้านต่างคอยมองด้วยความห่วงใย

จนเมื่อพี่บอยได้โหวตแบ็คกลับมาอีกครั้ง
ชาวABที่เริ่มรวมตัวกันอย่างหนาแน่น ต่างเฝ้ารอ รอคอยความสนิทสนมของทั้งสองหนุ่ม
เวลาผ่านไปนำความใจเสียมาสู่ชาวAB น้องสองคนเหมือนต่อกันไม่ติด
จนวันหนึ่ง มีภาพที่พี่บอยนั่งคุยกับอ๊อฟสองคน ไม่มีใครรู้ว่าคุยอะไรกัน แต่หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็เริ่มเปลี่ยนไป
น้องชายหันมาตัวติดกับพี่ชายแบบไม่ยอมให้ห่าง จนเพื่อนคนอื่นๆแทบจะเข้าไม่ถึงพี่บอย
อ๊อฟที่ขยันซ้อมมากมายช่วงที่พี่บอยไม่อยู่ ชักเริ่มเกเร เริ่มเล่น เริ่มซุกซน จนบางทีถึงกับโดนตำหนิจากบรรดาเทรนเนอร์
ส่วนพี่บอย เราเริ่มเห็นมาดพี่ชายใจดีมากขึ้นเรื่อยๆ จากที่มีมากมายอยู่แล้ว เพิ่มความเป็นพี่ชายที่คอยเอาใจ คอยห่วงใย คอยดูแลแม้กระทั่งการแต่งกาย การกินอยู่

หลายต่อหลายซีนที่ติดตรึงใจของบรรดาAB อย่างเช่นฉากพับนก ที่ทั้งเพลงซาวด์แทร็คประกอบซีนอย่างเพลง “ยอม” รวมถึงมุมกล้องที่ทำหลายคนใจสั่น

แต่ถ้าถามเรา ซีนที่ประทับในความทรงจำของพี่น้องคู่นี้กลับเป็น...........
วีคที่พี่บอยต้องร้องเพลงคู่พัดชา สาวน้อยมากฝีมือ เสียงร้องระดับมืออาชีพ ในเพลง”มหัศจรรย์แห่งรัก”
ทำเอาพี่บอยกดดัน และเครียดจนฉายชัด
ในห้องแดนซ์ที่พี่บอยและน้องพัดต่างนั่งบนบีนแบ็คซ้อมเพลงนี้คู่กัน เพื่อหาจังหวะการขึ้นเพลงให้พี่บอย ยิ่งซ้อมพี่บอยก็ยิ่งเครียด
อ๊อฟที่นั่งกลิ้งนอนกลิ้งอยู่ไม่ไกล มองและรออยู่ เริ่มกลิ้งตัวอิหรุบตุ๊บตั๊บมาจนถึงบีนแบ็คที่พี่บอยนั่งอยู่แล้วเอาหัวพาดซบไม่ยอมไปไหน
เด็กผู้ชายที่พูดจาไม่ค่อยเป็นคนนี้ หาวิธีให้กำลังใจพี่ชายได้อย่างน่าเอ็นดู

และกับพี่บอยล่ะ
ในวีคสุดท้าย คลาสแอ็คติ้งที่ให้เด็กห้าคนที่เหลือร้องเพลงธีมในรูปแบบว่าเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ร้องเพลงนี้แล้ว
อ๊อฟที่ใส่อารมณ์เต็มที่ จนน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด พี่บอยที่ยืนห่างไปโดยมีน้องอีกสามคนคั่นอยู่
เมื่อเพลงจบ อ๊อฟถอยหลังลงไปเพื่อเช็ดคราบน้ำตา พี่ชายใจดีเดินเข้ามาตบไหล่ปลอบใจ

เราเห็นความผูกพันมากมายกับพี่ชายน้องชายคู่นี้ ที่ทำให้เพลง “พี่ชายที่แสนดี” มีความหมายที่จับต้องได้

เมื่อออกจากบ้าน กระแสวายแทบทำลายความเป็นพี่น้อง เด็กสองคนโดนหนักเหลือเกิน
แม้กระทั่งทรูแฟนเทเชียยังไม่ยอมสักครั้งที่จะให้เด็กสองคนร้องเพลงคู่กันเลยด้วยซ้ำ ทั้งๆที่กระแสเรียกร้องเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆตามระยะเวลา

พี่บอยห่วงความรู้สึกของอ๊อฟมากกว่าตัวเอง แต่เมื่ออ๊อฟไม่เคยกลัวกับกระแสนั้น
ทำให้เด็กสองคนยังให้ความสนิทสนมกันไม่ต่างจากเดิม ทั้งภาพและคลิปวีดีโอมากมายของชาวABเป็นเครื่องพิสูจน์
จนมาวันหนึ่ง วันที่รอคอยของชาวAB วันที่เด็กสองคนที่เป็นแหล่งรวมความรักมากมายได้มาร้องเพลงคู่กัน
เป็นครั้งแรกนับจากออกจากบ้าน ...เป็นการรอคอยที่ยาวนานและคุ้มค่าเหลือเกิน
เพลง “So Much In Love” ดังขึ้นมาอีกครั้งพร้อมๆกับน้ำตาของอีกหลายต่อหลายคน
คราวนี้เพลงนี้หาข้อผิดพลาดแทบไม่เจอ เสียงประสานที่ลงตัว โน้ตที่ไม่มีแกว่ง
แต่ที่เหนือกว่านั้นคือความรู้สึกที่ส่งออกมา มันดึงความรู้สึกร่วมมากมายจนเรียกเสียงสะอื้นและหยดน้ำตา

ผ่านมาสามปีแล้ว ไม่มีอะไรเหลือต้องพิสูจน์อีกต่อไปแล้ว
“พี่ชายที่แสนดี” คือคำตอบของสัมพันธภาพของพี่น้องคู่นี้ พี่บอยและน้องอ๊อฟ


จากวันนั้น ไม่เคยคิดเลยว่ารายการนี้จะสามารถนำพาคู่พี่น้องมากแรงดึงดูดได้เท่าพี่บอยและน้องอ๊อฟอีกแล้ว
แต่ก็อย่างว่า...หัวใจคนเรามันมักง่ายจนเกินเหตุ
แค่ดาวเหนือสองดวงโคจรพบกันในบ้านหลังเล็กๆ ก็สร้างฤดูกาลแห่งหัวใจที่งดงามพร้อมนำพาหัวใจคนมากมายมาร่วมกันสร้างทุ่งดอกไม้แห่งความรัก

เพียงแค่เสียงเปียโนคลอเสียงกีต้าร์ลอยละล่อง แค่นั้นก็เพียงพอที่ทำให้ดอกไม้แย้มกลีบคลี่บานได้แล้ว

ขอถามก่อน...อย่างกระทู้แรกที่เราตั้งของซีซั่นที่ 4
คิดว่าการเล่นเปียโนโดยมีคนเล่นกีต้าร์นั่งคู่ข้างๆมันสะดวกไหมคะ..............ฮ่าฮ่าฮ่า
คือจากประสบการณ์ การเล่นเปียโนมันต้องมีเนื้อที่พอให้แขนมีจังหวะเคลื่อนไหว มันต้องอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมของตัวโน๊ตตามคีย์เปียโน
แต่เมื่อน้องชายที่แสนจะเอาแต่ใจมานั่งบรรเลงคู่ พี่ชายจะทำอะไรได้ นอกจาก “ยอม” จนกลายเป็นเรื่องปกติที่มีอีกมากมายหลายต่อหลายคนรอคอยเวลานี้

NTเริ่มต้นที่ตรงนี้
พี่นัท...ในสายตาเรา หนุ่มฮาวาร์ดมาดเนี้ยบคนนี้ เป็นหนุ่มที่พกความมั่นใจมาเต็มกระเป๋า เติบโตมาอย่างชายหนุ่มที่เป็นที่หนึ่ง ช่วงชีวิตที่ผ่านมีคนคอยเอาใจมากกว่าที่ต้องตามใจใคร
กาต้อล...เด็กหนุ่มมากความสามารถ น้องน้อยที่อยู่ท่ามกลางความรัก เด็กน้อยที่มีแต่คนเอ็นดู ลูกน้อยของพ่อแม่ที่รู้วิธีการจะได้รับความรัก ได้รับการดูแลจนไม่ต้องดูแลใคร

เมื่อแรกเจอ...อย่างเป็นที่รู้กัน ต้อลสนิทอยู่กับกลุ่มสามลิงก่อนเข้าบ้าน
มาเริ่มคุยกับพี่นัทอย่างสนิทสนมก็ตอนไปเวิร์คช็อบที่พัทยา จนเริ่มรบกวนเล็กๆโดยโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากพี่นัทก่อนเข้าบ้าน
และเมื่อดวงดาวสองดวงเริ่มมีวงโคจรเดียวกัน
น้องชายอย่างต้อล เริ่มสนิทกับพี่นัทผ่านเสียงดนตรีให้เห็นมากขึ้น
แรกๆน้องชายก็ยังคอยถามพี่ชายอยู่ ยังไม่ออกคำสั่ง(เท่าไร) ถือเป็นการปูทางให้พี่ชายตายใจ
และเมื่อพี่นัทหลงกล ก็เพราะน้องชายให้ใจจนมองเห็นชัดเจนจากคำตอบของคำถามอาต้อยว่าอยากให้ใครเข้ารอบสิบสองคนในวีคออดิชั่นและอยากให้ใครเป็นเดอะวินเนอร์ คำตอบที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คือ “พี่นัท”
และคำตอบจากนัท ก็ไม่ต่างกัน คือ “ต้อล”
จากน้องชายที่เหมือนจะคอยเอาใจ ก็กลายเป็นน้องชายที่คอยอ้อนให้พี่ชายตามใจแทน
ชายหนุ่มที่ทั้งชีวิตมีแต่คนตามใจ ก็ต้องหันมาคอยเอาใจใส่น้องชายตัวดี

เด็กผู้ชายชาวเหนือสองคนก็สนิทจนไม่มีข้อกังขาอีกต่อไป
และพี่นัทก็กลายเป็นพี่ชายที่ต้องคอยตามใจ เอาใจ และดูแลชีวิตประจำวันของน้องชายจอมขี้ลืม
ยิ่งสนิทกันมากเท่าไร เสียงห้วนๆของกาต้อลก็เริ่มเด่นชัด คำสั่งเวลาเล่นดนตรีด้วยกันก็มีมาให้ได้ยิน เสียงอ่อยๆโอดครวญของพี่นัท เราก็เริ่มคุ้นชิน
ทำเอาหลายๆเสียงจากข้างนอกเริ่มเบาๆแบบพูดไปอย่างงั้นแหล่ะว่า พี่น้าทยอมน้องมากไปแล้ว
แต่ในใจจริงๆ...ยิ้มจนแก้มแทบปริกับการดูแลเอาใจใส่กันและกันของเด็กสองคน

ถ้าถามเรื่องกระแสวายของเด็กคู่นี้ ขอบอกว่ามันแรงและเร็ว เทียบได้กับไต้ฝุ่นที่พัดกวาดเอาทุกอย่างราบเป็นหน้ากลองเพียงพริบตาเดียว
ภาพที่กบน้อยใส่แว่นเอาคางพาดที่โซฟาเดี่ยวตัวใหญ่ที่พี่นัทนั่งตอนดูรีรันคอนเสิร์ตคืนวันอาทิตย์ เมื่อพี่นัทหันมาแหงนหน้ายิ้มคุยกัน ก็กัดริมฝีปากจนแทบห้อเลือด
ปรอทแทบแตกตอนเด็กสองคนคุยกันที่เตียงนอน ตาสวยที่ยิ้มได้ของกาต้อลแค่หันมาสบตาพี่นัท ทำเอาใจหลายชีวิตที่เฝ้ามองอยู่แทบหยุดเต้น
เด็กสองคนนั่งอยู่เงียบๆกันสองคน เขียนไดอารี่โดยไม่ต้องพูดจากันสักคำ ก็ตรึงคนมากมายให้รอดูแบบตาไม่กระพริบ
มีคนรอคอยให้กาต้อลอ้อนถามเรื่องของตัวเองที่ตัวเองไม่เคยจำได้สักทีจากพี่นัทที่กลายร่างเป็นกูรูรู้ทุกเรื่องของน้องชาย
แม้แต่ยาส่วนตัวที่ตัวเองต้องกินยังต้องถามจากพี่ชายว่าตัวเองกินไปหรือยัง พี่นัทยังหาคำตอบมาให้ได้ ก็ทำเอาหมดคำพูดที่จะอธิบายได้แล้ว

ถ้าถามถึงซีนไหนที่เป็นซีนในตำนานของชาวNT
คำตอบในใจมีเพียงซีนเดียวที่แค่นึกถึง ก็ทำเอารอยเขินเข้ามายิ้มทักทายในใจ
“ฉากชมจันทร์”พนันได้เลยว่า มีคนมากมายถึงขั้นอุดปากเพื่อไม่ให้ตัวเองกรี๊ดออกมา

...เด็กสองคนแค่อยู่ร่วมซีนเดียวกัน ภาพที่ออกมาก็มีเสน่ห์ดึงหัวใจ เรียกรอยยิ้ม และความสุขก็ลอยมาให้คว้า
จะมีใครที่สามารถทำได้ขนาดนี้ไหมนะ ไม่ใช่หากันได้ง่ายๆจริงไหมคะ

ก็คงต้องยอมรับกันอย่างตรงไปตรงมา
ถึงความเป็นพี่ชายน้องชาย มีคนเฝ้ามองด้วยความเอ็นดู
แต่เมื่อมันเสริมด้วยกระแสวาย มันสามารถดึงดูด...อย่างที่คาดเดาผลลัพธ์ไม่ได้เลย
ในกลุ่มมันมีทั้งที่คิดแบบวายจริงๆ เป็นความจริงที่ต้องยอมรับ
มีกลุ่มที่แค่กรี๊ดกร๊าดไปตามประสาด้วยความที่แค่เด็กสองคนอยู่ใกล้กัน บรรยากาศที่รุมล้อมก็ราวปาดด้วยหลากสีที่สดใส
และมีกลุ่มที่มองเห็นความไว้ใจ จนเป็นความผูกพันที่เด็กสองคนมอบให้แก่กัน ทำให้เปิดหัวใจรักเด็กทั้งคู่

...เราไม่สามารถห้ามความคิดของคนที่เฝ้ามองได้ว่าจะไปในทางทิศใด
แต่มันจะมีสิ่งหนึ่งที่ปฏิเศษไม่ได้ คือ
ความเป็นจริงมันจะอยู่ในตัวมันเองเสมอ และเวลาเท่านั้นที่จะเฉลยตัวมันเอง

ความผูกพันที่เด็กสองคนมอบให้แก่กัน มันไม่ได้มาจากแค่ร่วมเวลาแห่งความสุขเท่านั้น
คนเราจะมองเห็นกันได้ดีในเวลาที่หัวใจเราทุกข์แสนสาหัส

ด้วยความเป็นเด็กที่ไม่ได้คิดอะไรไปไกล เท้าที่ก้าวพลาดของต้อลในกรณีของบิ๊ก ดีทูบี
ก็กลายเป็นบทเรียนที่จะเป็นประสบการณ์ที่สำคัญในชีวิตให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่อีกขั้น
วันที่โดนตำหนิและกาต้อลยกมือขอโทษบิ๊กออกอากาศ ความเสียใจ ความรู้สึกผิดที่เกาะกินในใจทำเอาต้อลแทบทรงตัวไม่อยู่ในคลาสว้อยซ์ที่ต้องซ้อมรวมให้ครูดู
พี่นัทที่ช่วงนั้นแทบจะวางตัวห่าง สร้างระยะที่เหมาะสมกับน้องชายเพราะการถูกล้อมากมายกับกระแสวาย ด้วยความที่เป็นห่วงน้องชายคนนี้มากกว่าตัวเอง
แต่เมื่อน้องชายเป๋จนแทบทรงตัวไม่อยู่ พี่นัทจึงไม่สนกับคำใดๆ พี่นัทกลับมานั่งอยู่ไม่ห่าง มือโอบบ่าเป็นการปลอบใจ ส่งกำลังใจให้ตลอดเวลา
คอยมองหาเมื่อต้อลรับความรู้สึกผิดที่มากขึ้นเรื่อยๆจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
พี่นัทอยู่ตรงนั้นเสมอเมื่อต้อลจำเป็นต้องมีใครสักคนคอยเป็นกำลังใจให้ผ่านช่วงเวลาที่เลวร้าย

และกับพี่นัท ชายหนุ่มที่จัดการเรื่องของตัวเองด้วยตัวเองเสมอมา ไม่เคยออกปาก ร้องขอแม้ว่าจะมีเรื่องราวมากน้อยแค่ไหนในใจ
วีคสุดท้ายที่ความกดดันถาโถมมากมาย วิธีการร้องที่ทำลายเส้นเสียงของตัวเอง ทำเอาพี่นัทเครียด วิตกกังวลจนไม่มีใครหน้าไหนกล้าเข้าใกล้ กาต้อลที่มองเห็นก็ได้แต่มองอยู่เงียบๆ
รอเวลาให้พี่นัทจัดการด้วยตัวเอง
เมื่อพี่นัทกลับมา กาต้อลน้องน้อยที่คอยให้พี่ชายดูแลมาตลอด ก็ก้าวออกมาเป็นหลักของกำลังใจให้พี่ชายที่กำลังซวนเซ
ไม่ต้องพูดอะไรมากมาย แค่การกระทำที่รู้ว่าห่วงใย คำพูดเบาๆก็เรียกรอยยิ้มของพี่นัทกลับคืนมา
น้ำขิงที่เรียกความอบอุ่นในใจ กำไลข้าวเหนียวที่ก่อกำลังสร้างกำลังใจ
แค่นี้เอง...อย่างอื่นมากมายก็ไม่จำเป็นเลยสักนิด

เวลาผ่านไปจวนจะจบด้วยดี
วีคสิบสาม ที่เราถือว่าเป็นฝันร้าย
เรามองเหตุการณ์ด้วยความรู้สึกหลากหลายถาโถมจนแทบหายใจไม่ออก เสียใจจนใจเสีย
อยากปิดโทรทัศน์ไม่รับรู้ แต่ใจก็ไม่แข็งพอ

กว่าจะผ่านพ้นมาได้ก็ตอนที่
ต้อลออกมาพูดว่า “ถ้าพี่ไม่แคร์ ต้อลก็ไม่แคร์”
แค่นี้เอง...คำพูดแค่นี้เองที่อยากได้ยิน
เด็กสองคนทำให้เราสบายใจด้วยความเป็นตัวตนของตัวเอง
เด็กสองคนที่มั่นใจ เข้าใจ และรู้จักตัวเองดีพอ จนไม่แคร์กับกระแสใดๆ
และสามารถทำได้อย่างปากพูดจริงๆ
ความสนิทสนมที่ให้กันไม่เคยแปรเปลี่ยน กับเรื่องราวมากมายที่ถาโถมเข้ามาที่เหล่าบรรดาNTไม่เคยรับรู้
มาร่วมรับรู้เมื่องานวันเกิดพี่นัท พี่นัทบอกเล่าให้ฟังคร่าวๆว่าทั้งพี่นัทและกาต้อลผ่านหลากเรื่องมาด้วยกันแต่น้องชายคนนี้ก็ไม่เคยหนีหายไปไหน
พวกเราชาวNT รับรู้ถึงหัวใจของเด็กสองคนว่ายังคอยเคียงข้างกันเสมอไม่ว่าจะเจอะเจอเรื่องราวเลวร้ายแค่ไหน ไม่ใช่ซวนเซไปกับกระแสเสียจนทำลายความผูกพันที่ร่วมสร้างมาด้วยกัน
แค่นี้เองคือที่พวกเราต้องการ
นอกเหนือไปจากเพลงคู่เพลงแรกที่เหล่าNTรอคอย กับเพลง “ฉันดีใจที่มีเธอ”
เพลงที่ร้อยรวมหัวใจชาวNTเข้ากับเด็กผู้ชายสองคนที่เรารักเหลือเกิน

...น่าแปลกไหม เด็กสองคนที่กระแสคู่แรงมากมาย ไม่เคยร้องเพลงด้วยกันสักครั้งตอนที่เป็นนักเรียนโรงเรียนAF
แต่กลับมีคนรอคอยอยากได้ยินเด็กสองคนนี้ได้ร้องเพลงด้วยกัน ได้ออกอัลบั้มดูโอ
จนพี่นัทออกอัลบั้มเพลงป๊อบ กาต้อลกลับกลายเป็นป๊อบร็อคอย่างเหลือเชื่อ
แต่สายความหวังกับอัลบั้มดูโอของเด็กสองคนไม่เคยจางหาย
ไม่ใช่เพราะกระแสวายอย่างที่บางคนปรามาส
แต่เพราะเสียงร้อง วิธีการดีไซส์การร้องที่เข้ากันอย่างน่าทึ่ง
เพลงที่เด็กสองคนเอามาดูเอ็ทกันไม่มีเพลงไหนที่ฟังแล้วขัดหู แต่เพลงนั้นกลับมีมิติที่น่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิม
มันเลยยิ่งเพิ่มเมฆแห่งความฝันที่อยากฟังเพลงที่เป็นของพี่นัทและกาต้อลจริงๆสักครั้ง
ขออย่าให้มันร่วงหล่นมาเป็นหยดน้ำตาแทนที่สายไข่มุกของความสมหวังเลย...



พี่นัทและกาต้อลทำให้เราแทบหมดเวลาในชีวิตที่จะไปทำอะไรช่วงเวลาสามเดือนที่อยู่ในบ้าน
แม้ว่าจะชอบรายการนี้มากมายแค่ไหน
แต่ซีซั่นที่5มันมาเร็วเกินไป เรายังไม่โหยหาที่อยากดูสักนิด
ทำให้เราบอกกับตัวเองว่าปีนี้คงดูแบบชิวๆล่ะ
ซึ่งแรกๆมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ และมันก็เป็นความสุขไปอีกแบบจริงๆนะ ไม่ว่ามีเหตุการณ์แปลกประหลาดแค่ไหนเกิดขึ้นมา เราก็ยังมองด้วยสายตาที่ยอมรับได้ทุกเรื่อง หัวสมองก็โปร่งโล่ง
แต่มันไม่สนุกหรอกนะกับการดูแบบนี้ มันจะไม่ชวนให้เราอยากติดตาม กลายเป็นดูก็ได้ไม่ดูก็ได้

แต่...ก็ต้องยอมรับฝีมือการตลาดของทีมงาน ดราม่าที่สร้างขึ้นสร้างกระแส talk of the town ได้สมใจ
อาจเพราะเราถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว ทำให้มองฟ้าให้กว้างขึ้น
เราถึงได้มองเห็นและยอมรับได้กับเด็กที่ถูกกระแสด่าทอมากมายเป็นประวัติศาสตร์AF
ไม่งั้นเราอาจตกในวังวนความเกลียดชังนั้นไม่ต่างกับหลายๆคนก็เป็นได้

จากเรื่องของความรักของปั๊ม ที่มีคนมากมายคอยตามดู
ปีนี้คู่พี่น้องก็ก่อตัวเกิดขึ้นอีกคู่

GPมอเตอร์ ที่ไม่ใช่ P&G
เราคงไม่มีอะไรเล่ามากมายกับคู่นี้ เพราะกับบล็อกที่ผ่านมาก็อุทิศไปเต็มๆแล้ว จะเล่าก็ซ้ำเดิม
แค่ขอเสริมบางเรื่องที่ลืมเล่าให้ฟัง

คิดว่ามองจากบุคลิกภายนอกพี่กี๋เป็นผู้ชายแบบไหนคะ
สำหรับเรา พี่กี๋เป็นผู้ชายแมน แมนมาก แมนแบบสาวๆอยากได้เป็นแฟน แมนจนแทบมีมาดของนักเลงด้วยซ้ำ
แต่ผู้ชายแมนๆแบบกี๋นี่ล่ะ ที่มีคอนฟลิคท์ที่ไม่ใช่คอนเฟร็คให้เห็นแบบต้องร้องเฮ้ย!!!
ไม่รู้ว่าเพราะแค่ความเป็นพี่ชายใจดีหรือจากตัวตนที่แท้จริงของกี๋ ซึ่งเราก็ไม่เคยเห็นพี่กี๋ทำให้น้องคนไหนนะ
(จะว่าไปคงไม่มีน้องคนไหนแล้วที่จะกล้าได้เท่าปั๊ม)
นอกจากปั๊มแล้วก็เห็นอีกทีที่กี๋อาสาทำให้ครูเป็ดตอนวีคสุดท้าย

บนโต๊ะอาหาร ในมื้อที่มีกุ้งเผาตัวโตให้แกะกินอย่างยุ่งยาก
อย่างที่เรารู้กัน ปั๊มเป็นผู้ชายที่กินเร็ว กินง่าย อะไรยากๆก็ไม่ค่อยจะกินเท่าไร
เมื่อพี่กี๋หอบเอากุ้งเผามาเต็มจาน มานั่งข้างๆเจ้าน้องชายตัวดี
พร้อมนั่งแกะเปลือกกุ้ง เอาเนื้อมากองไว้ให้ไปเรื่อยๆ พร้อมๆกับน้องชายนั่งหยิบมากินไปเรื่อยๆเช่นกัน
ทำเอาต้องร้องโอยยย...........จะเอาใจกันไปถึงไหน
คนกินก็กินไป คนแกะก็แกะไป....พี่กี๋เป็นพี่ชายนะ ไม่ใช่พ่อ!!!....ฮ่า เอิ้กกกกก

แก้ให้แล้วค่ะ กุ้งนะไม่ใช่ปู
และเจ้าตัวแสบแพ้ปูด้วยชิมิคะ
...ผิดเต็มๆไม่ขอแก้ตัวอะไรเลยค่ะ

แล้วกับปั๊มล่ะ ปั๊มมอบความรู้สึกให้พี่กี๋แค่ไหน
สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดคือ ปั๊มเป็นเด็กผู้ชายที่คิดน้อยเกินไปกับบางเรื่องบางคน จนทำร้ายความรู้สึกใครบางคนแบบที่ตัวปั๊มเองไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป
แต่ว่า...กับคนที่มันให้ใจไปแล้ว มันไม่เคยมองข้าม มองเห็นแต่แง่ดีด้วยซ้ำ เรื่องผิดพลาดอะไรไม่เคยเก็บมาใส่ใจ
เห็นชัดมากโดยเฉพาะกับพี่กี๋
วีคสุดท้ายที่พี่กี๋ถามปั๊มว่า วีคไหนที่แย่ที่สุดของพี่กี๋ในสายตาปั๊ม
ปั๊มมันนั่งนึกอยู่นาน นานจนเกินไปแบบคนคิดไม่ออก ไม่ใช่แบบจะหาคำพูดสวยหรูมาปลอบใจ
จนพี่กี๋พูดถึงวีคเพลงอัสนี วสันต์ ปั๊มถึงเหมือนจะนึกได้แล้วพูดประมาณว่า ที่เล่นกีตาร์แกว่งออกมาแล้วหัวเราะเบาๆ
และหยุดแค่นั้น ไม่ต่อความยาวไม่ซ้ำต่อ
เท่าที่สังเกตมาตลอดเวลาที่กี๋โดนเพื่อนหรือเทรนเนอร์แซวเรื่องกีตาร์ ปั๊มจะเงียบไม่เคยร่วม
ไม่ว่าในสถานการณ์ใด ปั๊มไม่เคยเอาเรื่องในแง่ลบหรือข้อผิดพลาดของพี่กี๋มาล้อเล่นสักครั้ง
ปั๊มมอบความเคารพในฐานะพี่ชายของพี่กี๋เสมอมา

ปั๊มเป็นเด็กแบบนี้จริงๆ เป็นเด็กที่รู้ที่ต่ำที่สูงเพียงพอ
มียกเว้นตอนที่มันหลุดสัตว์มาเพ่นพล่านตอนที่อารมณ์กำลังพลุ่งพล่านในครั้งที่ระบายอารมณ์กับครูกานต์
...ที่ทำเอาเราต้องไปเที่ยวบางอึ้งเพราะความประพฤติปั๊มเป็นรอบที่ร้อย

แต่ในสถานการณ์ปกติ สิ่งหนึ่งที่มองเห็นเสมอมาคือ การให้ความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่เคยล้ำเส้นให้เห็น
และเราอยากเหลือเกินที่จะให้ปั๊มทำได้แบบนี้กับทุกคน
เพราะบางครั้ง ด้วยความคะนองปาก กับใครบางคนที่ปั๊มมันไม่เปิดใจ มันแซวเขามากไปจนลืมคิดถึงใจเขา
ซึ่งเราก็พอรู้ว่าเด็กประเภทปั๊ม เด็กหลังห้อง เด็กนักกีฬา มักเป็นแบบนี้จริงๆ การพูดจาเหมือนจะข่มคนอื่นที่คิดว่าข่มได้
โดยที่จริงๆในใจไม่เท่าที่ปากพูดออกมาหรอก แต่ก็เพราะตัวเองก็มีปมบางอย่างด้วยล่ะ เลยกระทำบางอย่างเพื่อป้องกันตัวเองแบบบางทีไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไปว่ามันทำร้ายใจคนอื่นแค่ไหน
คงต้องให้ประสบการณ์สั่งสอนไปเรื่อยๆ
ปั๊มยังเป็นเด็กที่สอนได้...ไม่น่าจะดูผิดหรอก
(ถ้าใครรู้จักเราตอนที่ยังเด็กประมาณปั๊ม คงไม่คิดหรอกว่าเราจะเป็นคนคิดอะไรได้กว้างขนาดนี้
คนอย่างเรายังคิดได้ ปั๊มน่ะเด็กๆ...จริงๆนะ)


นะ.... วกกลับมาคุยเรื่องพี่ชายน้องชายต่อดีกว่า
กับพี่กี๋ที่ดูเหมือนว่าจะตามใจปั๊มจนมันแทบเสียเด็กอยู่แล้ว
แต่เด็กอย่างปั๊ม เวลาอารมณ์ขึ้นแล้ว ก็มีแค่คนเดียวที่เอาปั๊มอยู่ ที่หยุดปั๊มได้
ก็คือพี่ชายที่ปั๊มให้ใจและวางใจมากมายอย่างกี๋คนเดียวเท่านั้น
ถือเป็นข้อพิสูจน์ใจที่เด็กสองคนต่างมอบให้กันโดยไม่ต้องกังขาอะไรอีกแล้ว...จริงไหมคะ

คู่พี่ชายน้องชายคู่นี้ไม่มีวาย (เพราะฉะนั้น อย่าว่าเรานะว่าเป็นคนประเภทจับคู่วาย ไม่ใช่นะเอ้อ....แก้ตัวเข้าไป)
ถ้าคู่นี้วายได้ เราคงมึนตึ้บหาทางไปไม่ถูกแน่.....กร๊ากกกก
มีแต่...ความหนักของหัวใจที่ต่างคนต่างมี ต่างก่อร่างสร้างดอกรักมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายเท่านั้นเอง
เด็กสองคนนี้ดูมีด้ายแดงแห่งโชคชะตาผูกติดกันแบบแปลกๆดีเนอะ

สำหรับพี่กี๋กับปั๊ม
ถ้าถามว่าเราอยากมีพี่ชายอย่างกี๋ไหม....คำตอบคือ ถ้ามีพี่กี๋เป็นพี่ชาย คงได้ควงอวดไปทั่วแหงม
แต่อยากได้ปั๊มเป็นน้องชายไหม...เอ่อ...คือใจเราไม่เย็นพอล่ะ เป็นเพื่อนกันดีกว่า ฟาดปากกันสนุกดี
ปล่อยให้พี่กี๋ดูแลน้องชายตัวยุ่งคนนี้ไปละกัน


พี่น้องสามคู่แห่งตระกูลAF สร้างสีสันมากมายราวกับทุ่งดอกไม้หลากหลายพันธ์
และหลงเหลือร่องรอยความทรงจำที่งดงามให้คงความคำนึงหาเสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านพ้นไปนานแค่ไหน
...นี่ล่ะที่ทำให้เรายังมั่นใจอย่างที่เคยบอก คนเรายอมอยู่กับความรักมากกว่าจมอยู่กับความเกลียดชัง

เส้นทางขรุขระ ที่สร้างความทุกข์ ที่ก่อความรู้สึกร้ายกาจในใจ เมื่อเรานึกย้อนกลับไปมันก็แทบจางหายไปแล้ว
เราจดและจำได้แต่ความสุขที่เด็กๆมอบผ่านจอทีวีเท่านั้นเอง
หัวใจคนเรามันก็ประหลาดแบบนี้ล่ะ เราเลือกได้ที่จะมีความสุข เรียกรอยยิ้มที่มุมปาก
ก็เพราะความทรงจำของคนเรามันมีที่จำกัด ขอจารจำแต่สิ่งสวยงามดีกว่า

กับเด็กทุกคนที่เรามองด้วยหัวใจ
เราไม่เคยเลยสักครั้งที่มองไปเอง คิดไปเอง หรืออยากให้เด็กแต่ละคนที่เราเริ่มให้ใจ ต้องมาสนิทสนมกัน
เราแค่มองเห็นแล้วเริ่มเฝ้ามอง เดินตามเส้นทางความผูกพันที่เด็กต่างมอบให้แก่กัน
จนมันเริ่มสร้างเส้นสายแรงดึงดูดจนติดกับดักสายใยความสัมพันธ์นั้น

อยากขอยืมคำพูดของABที่อธิบายทุกอย่างได้หมดจดงดงาม

“เรารักที่พวกเขารักกัน”







สังเกตไหมคะ...ทำไมเด็กในคอลเล็กชั่นเรา ถึงมีแต่เด็กผู้ชายล่ะ
ก็ไม่ได้ตั้งใจ แต่อย่างที่เคยบอก เด็กของเราต้องเป็นคนดนตรี อย่างน้อยต้องร้องเพลงดี
และส่วนมากเด็กตระกูลAF เด็กที่เป็นคนดนตรี
ที่เล่นเครื่องดนตรีเป็นอย่างกีตาร์หรือเปียโนที่เราหลงรักเสียงของมัน ก็ดันมีแต่เด็กผู้ชาย (แก้ตัวเข้าไป....)
ส่วนเด็กผู้หญิงก็สู้ฟาดฟันกันไปที่เสียงร้อง
(ถ้าถามเราเสียงร้องของเด็กผู้หญิงที่เราชอบที่สุดในบ้านในห้าซีซั่น คือ จีน เสียงของจีนตรึงเราได้ทุกครั้งนะ)

ตอนเขียนบล็อกนี้
คำกล่าวหาของใครบางคนในห้องเรียล พันทิปก็ลอยมาพร้อมอากาศ
ว่า ผู้หญิงไม่ยอมเชียร์ผู้หญิงด้วยกัน ดีแต่หลงเด็กผู้ชาย
คนที่เปิดประเด็นเรื่องนี้มาจากทั้งผู้หญิงและผู้ชาย จากกรณีที่เด็กผู้หญิงเสียงดีๆมักหลุดจากบ้านก่อนเสมอ

เอาทีละประเด็น
เราว่าแค่เปิดประเด็นว่า ผู้หญิงควรที่จะเชียร์ผู้หญิงด้วยกันมันก็ผิดแล้วนะ
พูดแบบกำปั้นทุบดินก็ต้อง อ้าวก็ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนเชียร์ผู้ชายด้วยเหมือนกันนี่นา
เด็กหนึ่งคนไม่ว่าเพศอะไรก็ตาม ต่างมีคนเพศเดียวกันและต่างเพศตามเชียร์ไม่ต่างกัน ที่ต่างก็แค่จำนวน
ที่สำคัญมันอยู่ที่ว่าเด็กคนนั้นจะสามารถดึงดูดได้มากน้อยแค่ไหน
และมันถือเป็นเรื่องปกติที่เพศตรงกันข้าม(ทั้งทางร่างกายรวมถึงด้านจิตใจ)มันจะดึงดูดกันมากกว่าปกติอยู่แล้ว
ที่ออกมาโวยก็เพราะเด็กที่คุณเชียร์ไม่สามารถดึงดูดคนจำนวนมากพอให้ตามเชียร์ได้ต่างหากไม่ใช่เหรอ
มันรวมถึงดึงเงินออกจากกระเป๋าได้มากพออีกด้วยนะ
กลุ่มคนที่รวมตัว รวมเงินจนชนะ มีความผิดตรงไหน ผิดที่เขาใช้ความพอใจต่างจากคุณงั้นเหรอ
ดูๆไปแล้ว สุภาษิตที่ว่า “ขี้แพ้ชวนตี” มันลอยมาให้คว้ายังไงชอบกล

งั้นขอพูดถึงผู้ชายที่ตามเชียร์เด็กผู้หญิง คุณเชียร์เพราะแค่เด็กคนนั้นเสียงดีจริงๆเหรอ ไม่ได้ปนอย่างอื่นแน่นะ
ถ้าแค่นั้น เด็กอย่างพริ้ง อย่างเพชร ไม่เสียงดีเหรอ
แต่ถามว่าคุณเสียดายรวมทั้งเสียใจที่เด็กพวกนี้ตกรอบเท่ากับเด็กผู้หญิงที่คุณให้ใจหรือเปล่า
...ลองตอบตัวเองดูเถอะ

และขอบอกตรงๆ ขนาดเราเองที่ถือว่าเป็นผู้หญิงประเภทมาจากดาวศุกร์ไม่ใช่ดาวอังคารด้วยซ้ำ
เรายังรู้เลยว่า ผู้หญิงดูผู้หญิงด้วยกันด้วยสายตาที่ต่างจากมองผู้ชาย
มันจะชอนไช มันจะจับผิด มันจะรู้สึก มันจะรู้ทัน แสนจะสารพัดรู้สึกรู้สา
มองเห็นในสิ่งที่ผู้ชายมองข้ามไป มองเห็นในเรื่องเล็กๆแล้วมาทำให้เป็นเรื่องใหญ่
ก็ไม่ต่างจากที่ผู้ชายมองผู้ชายด้วยกันออกนั่นล่ะ
แถมเพศตรงข้ามมักจะให้อภัยกับความผิดพลาดของเพศตรงข้ามได้ง่ายและเร็วกว่า
มันเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องแล้วล่ะ
บวกกับการเลี้ยงดูอบรม การเติบโตมาในสภาวะแวดล้อมแบบไหนเข้ามาเสริม
...นี่ถือเป็นการพูดถึงโดยภาพรวมนะ เพราะทุกกฎเกณฑ์ในโลกนี้มีข้อยกเว้นทั้งนั้น
พอจะเป็นหนึ่งในคำตอบได้บ้างหรือเปล่ากับคำถามเรื่องเพศน่ะ

ถ้าจะต่อว่ากันเรื่องประเด็นทางเพศ อย่าเอามาพูดกันดีกว่า
มันเป็นเรื่องที่ดูตลกและเป็นประเด็นอ่อนด้อยจนเกินไป
เดี๋ยวจะโดนย้อนว่า
ตัวคุณก็ใช้เรื่องเพศมาเป็นตัวแบ่งแยกในการเชียร์
ไม่ต่างกันไม่ใช่เหรอ


ถ้าหยิบเอาประเด็นเรื่องความสามารถทางการร้องเพลงมาพูด เราว่ามันควรเป็นประเด็นที่ถูกต้องมากกว่า
เรามาคุยเรื่องประเด็นความสามารถ
ทำไม...ทำไมชอบเอาแค่เสียงดี เสียงทรงพลังมาข่มกัน
เราว่าประเด็นเรื่องนี้ ถึงมันจะตรงจุดแต่มันก็แคบเกินไป
สำหรับเราแล้ว ดนตรีมีมากกว่าเรื่องพลังเสียงนะ
และถ้าคุยเรื่องเสียงร้อง เราว่าเราก็ไม่ผิดนะที่ชอบฟังเสียงร้องแบบ Easy Listening
ถามว่าเรายอมรับกับเพลงแบบใช้พลังช้างสารไหม...........เรายอมรับหมดใจเลย ไม่มีอะไรจะมาแย้ง
แต่ถ้าถามว่าเป็นสไตล์ที่เราฟังหรือเปล่า....ฟังได้แต่ไม่ฟังก็ได้แถมจะดีกว่า

เราคิดว่ารสนิยมทางดนตรีเราก็สูงไม่เลวเท่าไร
แค่เอา...คุณปู่เอนริโค คารูโซ่ เรย์ ชาร์ลส อีริค แคลปตัน เดอะบีทเทิล ลุงโบโน่ของU2 เคน ฮิราอิ
คุณลุงชรินทร์ วงดิอิมพอสซิเบิ้ล มารวมกัน สูงไม่สูงอายุก็เป็นพันปีแล้วล่ะ(เอิ้กกกกก)

แล้วอย่างดีว่าของวงการ อย่างมารีอา แคร์รี่ย์ วิทนี่ย์ ฮุสตัน ซีลีน ดิออน
เราก็มีเกือบครบทุกอัลบั้มรวมบันทึกการแสดงสดด้วยซ้ำ
แต่ว่า...ในเวลาที่เราฟังเพลง ตอนที่วาดรูป เวลาที่ผ่อนคลาย
เพลงที่เปิดคลอไป ก็ไม่ใช่เพลงของเหล่าดีว่าที่เราเปิดนับครั้งได้ ที่ฟังด้วยความทึ่ง ยอมรับเต็มหัวใจกับฝีมือ
แต่ขอบอกตามตรงฟังแล้วเหนื่อยในอารมณ์อิ๊บ
แทนที่จะผ่อนคลาย ดื่มด่ำไปกับดนตรี แต่ราวกับอ่านหนังสือเพื่อสอบไล่
พอฟังไปเพลินๆต้องมาเจอจุดที่ทำให้ต้องสะดุ้ง...เสียงร้องจะบาดความรู้สึกไปถึงไหน

มีช่วงหนึ่งในชีวิตที่ทำให้เรารู้ตัวว่าเพลงแบบที่เราชอบฟังเป็นเพลงแบบไหน
จากที่เคยฟังเพลงแค่ประสาทสัมผัสทางเสียง
ประสบการณ์แรกที่เราได้ดูการแสดงสดของหนึ่งในดีว่า
ตอนที่นั่งดู เราก็เกร็งตาม ยิ่งพอมาถึงช่วงอิมโพรไวส์ แทนที่จะเป็นการฟังเพลง
เรากลับนั่งลุ้นราวกับนั่งดูไมค์ ไทสันบนสังเวียน
ลุ้นว่าจะสามารถไต่ตัวโน๊ตได้ถึงไหม จะอิมโพรไวส์ไหลไปได้แค่ไหน
แทบจะกลั้นลมหายใจตามตอนปิดตัวโน๊ต
ดูคอที่เกร็งจนเส้นขึ้น หน้าตาแดงราวกับมีพิษไข้ ดวงตาฉายด้วยหลากอารมณ์ มือไม้ท่าทางราวกับจะฟาดฟัน
พอเพลงจบ อุ้งมือของเราเต็มไปด้วยรอยเล็บที่จิกคอยเอาใจช่วย
ตอนจบเจอคำถามว่า สนุกไหม.....สนุกแต่เหนื่อยราวกับไปแข่งวิ่ง 100 เมตรมา
จากนั้นเมื่อเปิดเทป จนมาเป็นเปิดแผ่น
ภาพสีหน้าสีตาของศิลปินลอยตามหลอนเสียจนความสุขในการฟังเพลงลดไปกว่าครึ่ง

แต่กับบันทึกการแสดงสดที่จนป่านนี้เรายังชอบเอามาเปิดดูซ้ำแล้วซ้ำอีก
คือ อันปลั๊กกับอิริค แคลปตัน
เราดูด้วยความดื่มด่ำ มีความสุขกับทุกตัวโน๊ตที่รายล้อมห่อหุ้มบรรยากาศ
นี่ล่ะคือดนตรี ที่ส่งผ่านความสุขสำหรับเรา

เราถึงคิดเสมอว่า อย่าเอาแค่ว่า ต้องร้องมีพลังเสียงมากมายเอามาข่มกันเลย
คนที่ร้องราวมีรังสีเฮ้ากวง ถือเป็นนักร้องเสียงดี
แต่คนที่ร้องด้วยน้ำเสียงธรรมดาจะถือว่าด้อยกว่าทางดนตรีงั้นเหรอ
ในโลกนี้มันยังมีคนประเภทเราอยู่นะ คนที่ฟังเพลงเพื่อผ่อนคลายไม่ต้องเสียงร้องดีอะไรมากมาย
ขอแค่ฟังแล้วดนตรีคลอเสียงร้องนำอารมณ์ไปทิศทางเดียวกันที่ทำให้มีความสุขก็พอแล้ว

ถ้าเอาเรื่องรสนิยมทางการฟังเพลงมาเปรียบกัน
มีหวังทะเลาะกันตายไม่ต่างจากการคุยเรื่องการเมืองไทยตอนนี้
คุณไม่สามารถดูถูกคนที่ชอบฟังเพลงฮิพฮอพแค่คุณไม่เคยฟังว่ามันเป็นเพลงตรงไหน
คนที่ชอบR&B ถือว่ามีรสนิยมสูงกว่าคนชอบบอยแบนด์งั้นเหรอ
คุณจะเอาการฟังเพลงคลาสสิคมาตัดสินคนฟังเพลงป๊อบงั้นเหรอ
ไม่งั้นในโลกนี้ เพลงหลากหลายรูปแบบคงไม่ทยอยเกิดมาให้รู้จักมากมายหรอก
แค่ไม่ตรงกับรสนิยมส่วนตัวของคุณ คุณก็ไม่มีสิทธิ์ดูถูกรสนิยมคนอื่น
ศิลปะมันมีคุณค่าในตัวมันเองเสมอ

ยิ่งเรื่องเสียงดีที่เอามาตีกินกันเนี่ย
สำหรับเราแล้วเพลงที่ต้องจริตส่วนตัวเนี่ย เสียงดีเสียงสวยไม่ใช่ประเด็นแรกที่ทำให้เราหันมาสนใจได้
โดยส่วนตัวแล้วเสียงแบบที่เราชอบออกจะเป็นเสียงทุ้มที่ค่อนข้างต่ำ
ต่ำกว่าtonor ประมาณ baritoneหรือถึง bassด้วยซ้ำ
ยิ่งมีความสากของเนื้อเสียงปนอยู่ด้วย ยิ่งถือว่าเป็นเสียงทรงเสน่ห์ส่วนตัวสำหรับเราเลยล่ะ
สงสัยเพราะถูกกรอกหูด้วยเสียงของปู่ร็อด สจ๊วร์ต มาตั้งแต่เด็กละมั้ง
...คือแค่อยากชี้ให้เห็นว่า เรื่องน้ำเสียงนี่มันถือเป็นรสนิยมส่วนตัวจริงๆ
เสียงในแบบที่คุณชอบ อาจไม่ใช่เสียงที่สามารถดึงความสนใจกับอีกบุคคลก็ได้
เราเห็นว่าบางคน ชอบเอาประเด็นเรื่องเสียงเด็ก(โดยเฉพาะตัวแม่ในAF) มายกย่องจนเลยเถิดถึงขั้นข่มกัน
จนก่อทำให้เกิดเป็นข้อบาดหมางกันเปล่าๆ


เราก็ไม่รู้จะพูดอะไรมากมาย
เพราะจริงๆแล้วจนป่านนี้ก็น่าจะยอมรับและเข้าใจได้แล้วว่า
แค่คุณดูรายการอคาเดมี่ แฟนเทเชียเป็นรายการแข่งขันร้องเพลง คุณก็ผิดตั้งแต่คิดแล้ว
ก็ในเมื่อเจ้าของรายการยืนยันเสียงแข็งมาโดยตลอดว่า AFเป็นเรียลลิตี้ไม่ใช่การประกวดร้องเพลง
แต่ถ้าคุณยังยืนยันให้มันใช่
ความผิดมันก็ไม่ตกอยู่กับรายการแล้วล่ะ
มันอยู่ที่คุณดูผิดรายการต่างหาก...ไม่คิดในแง่นั้นบ้างเหรอคะ

การขึ้นเวทีร้องเพลงในแต่ละวีค ก็ไม่ต่างกับการทำข้อสอบในแต่ละสัปดาห์ที่พ่อแม่เอาไว้ใช้ดูการพัฒนา
ดูผลงานของลูกตัวเองที่ส่งไปเรียนพิเศษว่าคุ้มค่าเงินแค่ไหนหรอก
แถมคนตรวจข้อสอบ ดันเป็นบรรดาผู้ปกครองที่ออกเงินส่งเด็กตัวเองเข้าโปรแกรม
ไม่ใช่คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ หรือแม้กระทั่งครูที่ออกข้อสอบ
ผลที่ออกมามันจึงไม่ใช่การวัดผล
แต่เป็นวางเงินประกันว่าเด็กของตัวเองจะได้เรียนโปรแกรมพิเศษนี้ในวีคต่อไปต่างหาก

มันคือการดูดเงินของเจ้าของโรงเรียนที่บรรดาผู้ปกครองก็รู้อยู่เต็มอกกับกฎเกณฑ์ก่อนส่งลูกเข้าไปแล้ว
ก่อนเข้าก็ยอมรับไปแล้ว ก็หมดสิทธิ์ที่จะโวยวายเมื่อลูกตัวเองเข้าไปอยู่ในวังวนอุบาทก์นั้น

เมื่อลูกทำได้ดีก็มีคะแนนพิเศษเพิ่มให้
เวลาลูกทำได้แย่ก็ยิ่งอัดฉีดเพื่อไม่ให้ลูกหลุดออกจากโรงเรียนกวดวิชาที่แสนจะเข้ายากและหน้าเงิน
เด็กคนไหนที่ผู้ปกครองวางใจและเงินไม่ตั๋งพอถึงได้หลุดออกมาง่ายๆและคาดไม่ถึงเสมอ

และถ้าถามว่าทำไมทางโรงเรียนถึงได้ให้ข้อสอบในรูปแบบเดียวล่ะ
คำตอบมันก็ง่ายนิดเดียว
เพราะมันง่ายในการประเมินทั้งสามวิชาที่ผู้ปกครองมากมายอุตส่าห์เสียเงินเป็นเข่งส่งลูกมาเรียนน่ะสิ
คลาสว้อยซ์ คลาสแดนซ์ คลาสแอคติ้ง
จะมีอะไรที่สามารถรวมสามวิชาในหนึ่งเดียวกับหนึ่งโชว์ในเวลาจำกัดได้ง่ายเท่ากับการร้องเพลงไม่มีอีกแล้ว
ลงทุนด้านอื่น ประเมินผลวิชาอื่น ออกข้อสอบแบบอื่นมันกินเวลา เปลืองเงินแถมเปลืองสมองมากกว่า
ให้ผลออกมาทันทีทันควันได้ยุ่งยากกว่า
และที่สำคัญคือ การประเมินแบบอื่นมันคัดเลือกเด็กที่จะเข้ามาอยู่ในโปรแกรมพิเศษได้ยากกว่า
แต่กลับดึงดูดเด็กได้ง่ายกว่ากับการเป็นคนดังที่อยู่ในแสงไฟ...จริงไหม





ถ้าคุณ(จำใจ)ยอมรับได้...ก็ถือว่าคุณตกเป็นทาสของรายการนี้ไปโดยไม่รู้ตัวแล้ว
แต่ถ้ารับไม่ได้...คุณก็ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของเจ้าของรายการก็เท่านั้นเอง









 

Create Date : 15 สิงหาคม 2551
2 comments
Last Update : 28 สิงหาคม 2551 18:10:47 น.
Counter : 716 Pageviews.

 

มายกมือยอมรับ ว่าได้ตกเป็นทาสของรายการโดยรู้ตัวแล้วค่ะ แอบเชียร์คนเสียงดี แต่มักหลงรักเด็กธรรมชาติโดยไม่รู้ตัวทุกที

อยากให้คนดูเข้าใจยอมรับในตัวเด็ก ไม่ใช่เมามันในการด่าคนนู้นทีคนนี้ที เด็กอายุไม่ถึงยี่สิบ ต้องมานั่งอ่านกระทู้ด่าทอตัวเอง ไม่ร้องไห้กระจองอแงก็เป็นคนไม่มีหัวใจแล้ว

เด็กก็เป็นปุถุชนนะคะ ไม่ใช่เทวดา

 

โดย: for Family 22 สิงหาคม 2551 12:24:29 น.  

 

มาอ่านค่ะ ^^

เห็นด้วยมากมายกับคู่ที่ 1 และ 2

แต่อิฉันไม่อินกับคู่ที่ 3

มันไม่ช่ายยยยยยยอ่ะกิ๊ฟ

(ความคิดเห็นส่วนตัว 555)

 

โดย: NaNongPloy 10 กันยายน 2551 16:01:03 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Quaver
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




เป็นคนหัวแข็งที่มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
เป็นคนหัวอ่อนที่มาพร้อมท่าทางแข็งๆ




Friends' blogs
[Add Quaver's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.