ภาพยนตร์เรื่องแรกของ Jonathan Dayton และ Valerie Faris ผู้กำกับคู่หูดูโอที่เคยทำแต่หนัง MV กลายมาเป็นหนังขวัญใจเทศกาลหนังหลายๆเทศกาล ถึงแม้จะพลาดรางวัลใหญ่จากเวทีออสการ์ไปอย่างค้านสายตาคนดูหนังทั่วโลก แต่หนังเชิดชูสถาบันครอบครัวอย่าง little miss sunshine กลับครองตำแหน่งต้นๆบนตารางหนังในดวงใจของทั้งนักวิจารณ์และนักดูหนังโดยทั่วไปได้อย่างไม่ยากเย็น
ด้วยการแสดงอันทรงพลังของนักแสดงตัวน้อยตัวใหญ่ มุกตลกเสียดสีพอแสบๆคันๆ สอดแทรกด้วยคำคมที่เป็นแง่คิด การสอดประสานระหว่างความเป็นดราม่าและคอมเมอดี้ได้อย่างลงตัว ผสมผสานกับบทอันทรงเสน่ห์ Little Miss Sunshine เป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ควรจะเรียกทุกคนในบ้านมานั่งล้อมวงหน้าทีวีโดยพร้อมเพรียง ก่อนชวนออกไปเข็นรถด้วยกัน
Little Miss Sunshine เกือบๆจะเป็นหนังเย้ยหยันความเน่าเฟะของสังคมอเมริกัน เหมือนๆกับที่ American Beauty(1999) และ Sitcom(1998) เคยทำมาก่อน หนังเรื่องนี้วิพากษ์ความฝันเฟื่องของเหล่าอเมริกันชนที่ปรารถนาจะก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่ง เป็นผู้ชนะ เป็นคนแถวหน้า หรือเป็นอะไรต่ออะไร(to be somthing) ตามแบบฉบับ American Dream เพราะพวกเขากลัวการถูกทิ้งรั้งท้ายและอยู่นอกสายตา(to be nothing) มากกว่าอะไรทั้งหมด
มีเพียงครั้งเดียวบนโต๊ะกินข้าวที่หลานโอลีฟตั้งใจฟังลุงแฟรงค์เล่าว่าทำไมเขาจึงคิดฆ่าตัวตาย แต่นั่นก็เป็นตอนก่อนที่สาวน้อยจะรู้ว่าตนเองมีสิทธิ์เข้าประกวดเวที Little Miss Sunshine รอบสุดท้ายไปแบบส้มหล่น หลังจากนั้นเธอก็ได้แต่ร้องกรี๊ดๆ วิ่งไปทั่วบ้านเที่ยวเก็บข้าวของลงกระเป๋า จนไม่ทันสังเกตุว่าพ่อแม่กำลังถกเถียงกันอยู่ว่าจะพาลูกสาวไปประกวดที่อีกรัฐอย่างไรดี
ริชาร์ดก้าวไปไม่ถึงบันไดขั้นที่ 9 เขาหล่นแอ๊กลงมาเมื่อทำทุกทางแล้วหนังสือก็ยังไม่ได้รับอนุมัติให้ตีพิมพ์ ชะตากรรมของหัวหน้าครอบครัวฉุดเอาความฝันของเชอรีลร่วงลงมาด้วย แฟรงค์ถูกตอกย้ำความพ่ายแพ้เมื่อบังเอิญพบคู่รักเก่ามาฮันนี่มูนกับศัตรูคู่อาฆาตระหว่างทาง คุณปู่อัพยา(แสลงภาษาอังกฤษเรียก get high)เกินขนาด จนต้องไป get high in heaven เข้าจริงๆ ปีกของดเวย์นหักก่อนที่เขาจะได้ขึ้นบินจริงเสียอีกเมื่อพบว่าตนเองตาบอดสี สิ่งเดียวที่ยังผลักดันให้พวกเขาไปต่อก็คือความฝันสุดท้ายของลูกสาวคนสุดท้อง
ใน Little Miss Sunshine มีการกล่าวถึงการกลายสภาพทางจิตแบบนิทซ์เช่เช่นกัน จะเห็นได้ตลอดทั้งเรื่อง แต่จะชัดมากในฉากที่โอลีฟขึ้นเวทีประกวดในรอบแสดงความสามารถพิเศษ
ครอบครัวฮูเวอร์คือพวกขี้แพ้อย่างแท้จริง พวกเขาไม่เคยทำอะไรสำเร็จ ไม่มีใครไปถึงฝั่งฝัน จนจบเรื่องปัญหาทั้งหลายก็ยังคงแก้ไม่ตก แต่สิ่งที่พวกเขาได้คืนมาคือ "ครอบครัว" และ "ความสุข" นี่เองที่ทำให้ Little Miss Sunshine แตกต่างจากหนังแนว Road Movie เรื่องอื่นๆ
มันไม่ได้จบลงด้วยความสำเร็จอันสวยหรู หรือทิ้งท้ายด้วยอุดมคติอันเลื่อนลอย หากแต่ตัวละครในหนังเรื่องนี้คือคนธรรมดาๆที่พบเห็นได้อยู่รอบๆตัวเรา หรือแม้แต่เหมือนกับตัวเราเองด้วยซ้ำ และนี่เองที่ทำให้ Little Miss Sunshine เป็นหนังในดวงใจของใครหลายต่อหลายคน
นินทาข้างหลังโรง
ผมคิดเล่นๆว่า.... ชื่อหนัง Little Miss Sunshine นอกจากเป็นชื่อเวทีประกวดนางงามเด็ก ยังอาจแปลได้ว่า "คลาดจากแสงตะวัน(ความสำเร็จ)ไปนิดหน่อย"