https://kaoim.bloggang.com
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
20 กรกฏาคม 2550
 
All Blogs
 
สมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)


ในสมัยปัจจุบัน รู้สึกว่าประชาชนชาวพุทธทุกระดับชั้น มีความสนใจในการปฏิบัติธรรม ซึ่งคงจะเป็นที่เข้าใจ และคงจะมีผู้พิสูจน์ เห็นผล กันมาแล้วว่า การทำสมถะนั้นมี ความจำเป็น คือมีความสำคัญ เกี่ยวกับการแก้ปัญหาชีวิตประจำวัน ความจริง การปฏิบัติกัมมัฏฐานนั้น เป็นหลัก และวิธีการ ที่เราจะต้องศึกษา ให้มีความรู้ความเข้าใจ และจะได้ยึดเป็นหลัก แก้ไขปัญหาชีวิตประจำวัน

เมื่อพูดถึงเรื่องสมถะ ก็คือเรื่องการทำสมาธินั่นเอง สมาธิก็คือการภาวนานั่นเอง บางทีก็เรียกกัมมัฏฐาน บางทีก็เรียกวิปัสสนา บางทีก็เรียกว่าการทำสมาธิ มีคำพูดที่จะใช้เรียกแทนกันหลาย ๆ อย่าง การปฏิบัติกัมมัฏฐาน ในสมัยปัจจุบันนี้ เกิดปัญหายุ่งยาก และนักปฏิบัติทั้งหลาย มีความขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลา ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเหตุชาวพุทธไปติดภาษา ยกตัวอย่างเช่น บางท่าน ในเมื่อฝึกฝนอบรม บรรดาพุทธบริษัทให้ปฏิบัติ ก็ใช้คำว่า จงทำใจให้เป็นสมาธิ และบางท่านก็ว่า จงทำใจให้ว่าง เพียงคำพูด ๒ ประโยคนี้ นักปฏิบัติก็ยังต้องขัดแย้งกัน แต่ความจริงนั้น ทั้ง ๒ คำนี้ เมื่อพูดถึงผลลัพธ์ ที่เกิดจากการปฏิบัติแล้ว มีผลเป็นอย่างเดียวกัน

ในสายของท่านอาจารย์มั่น อาจารย์เสาร์ มักใช้คำว่าจงภาวนาทำจิตให้เป็นสมาธิ แต่ท่านพุทธทาสบอกว่าจงทำจิตให้ว่าง แล้วลองคิดดูซิว่า ทั้ง ๒ ท่านนี้ มีบุคคลบางคนเขายกปัญหาขึ้นมาโต้แย้งกัน ถึงขนาดที่ว่าพิมพ์เป็นเอกสารโจมตีกันขนาดหนัก เท่าที่ได้หยิบยกเอาปัญหา ๒ ข้อนี้ไปพิจารณาแล้วได้ความว่า การทำจิตให้เป็นสมาธิกับการทำจิตให้ว่างนั้นมันมีผลเท่ากัน เพราะเหตุว่า การทำจิตให้เป็นสมาธิ เมื่อจิตสงบนิ่งลงไปแล้ว จิตก็ย่อมปราศจากอารมณ์ ถ้าหากว่าจิตยังมีอารมณ์ จิตมันก็ไม่นิ่ง ในเมื่อนิ่ง เป็นจิตที่ ปราศจากอารมณ์แล้ว ก็เป็นจิตว่าง ท่านที่ใช้คำว่าจงทำจิตให้ว่าง เมื่อบริกรรมภาวนา หรือกำหนดอารมณ์ ของกัมมัฏฐาน อย่างใด อย่างหนึ่ง เมื่อจิตสงบนิ่งลงไปแล้ว ก็เกิดความว่าง เป็นความหมายที่ตรงกัน เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรม นักปฏิบัติอย่าไปติดภาษา การพูดภาษาสมมติบัญญัตินั้น ในธรรมะข้อเดียวกัน หรือผลที่เกิดจากการปฏิบัติอย่างเดียวกัน เราอาจจะใช้โวหารคนละคำพูดได้ เช่นอย่างจิตเป็นสมาธิกับจิตว่าง เป็นต้น

การเจริญสมถกัมมัฏฐาน หรือการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน มีปัญหาสำคัญอยู่ตรงที่ว่า เราปฏิบัติธรรมะ เราจะเอาธรรมะ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ กับชีวิตประจำวันของเราอย่างไร และปฏิบัติเพื่อจะให้รู้ความจริง ที่อยู่ในกายในใจของเรานี้ ส่วนความรู้ ความเห็น อะไรต่าง ๆ นั้น เป็นเพียงเครื่องรู้ของจิต เป็นเพียงเครื่องระลึกของสติ เป็นเครื่องทำจิตให้มีความเจริญ เจริญด้วยพละ เจริญด้วยอินทรีย์ ทำสติให้มีพลัง ทำสติให้เป็นใหญ่ในธรรมทั้งปวง อันนี้คือวัตถุประสงค์ของการปฏิบัติ

การปฏิบัติในทางกัมมัฏฐาน ท่านได้แยกออกเป็น ๒ ประเภท คือ สมถกัมมัฏฐานอย่างหนึ่ง และวิปัสสนากัมมัฏฐานอย่างหนึ่ง สมถะเป็นเครื่องอุบายความสงบใจ วิปัสสนาคืออุบายให้เกิดปัญญา ความย่อ ๆ มีอยู่เพียงแค่นี้

การปฏิบัติสมถกัมมัฏฐาน เฉพาะในตำราท่านได้เขียนไว้ถึง ๔๐ อย่าง ซึ่งจะไม่กล่าวถึง จะกล่าวถึงเฉพาะการทำสมถะ ด้วยการ เจริญพุทธานุสติ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในสายสมาธิ ของท่านอาจารย์เสาร์ อาจารย์มั่น ส่วนมาก ท่านจะสอนให้ลูกศิษย์ลูกหา เจริญพุทธานุสติ เป็นเบื้องต้น เคยได้เรียนถามท่านว่า ทำไมจึงสอน ให้เจริญพุทธานุสติเป็นเบื้องต้น ท่านก็ให้ความเห็นว่า พุทธานุสติคือ พุทโธ แปลออกมาว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นกิริยาของใจ เมื่อใครทำใจให้สงบนิ่ง สว่าง จิตเป็นสมาธิได้ ใจของผู้นั้น จะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นกิริยาที่เข้าถึง จิตพระพุทธเจ้า ยึดพระคุณ ของพระพุทธเจ้า เป็นสรณะที่พึ่ง นี้คือความหมายของพุทโธ

ด้วยเหตุผลดังกล่าว ขอแนะนำให้นักปฏิบัติ ได้บริกรรมภาวนาว่า “พุทโธ” ขอให้ทุกท่าน ตั้งจิตให้แน่วแน่ พระพุทธเจ้าก็อยู่ที่จิต พระธรรมเจ้าก็อยู่ที่จิต พระอริยสงฆ์เจ้าก็อยู่ที่จิต พระพุทธเจ้าอยู่ที่จิต ก็คือความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี พระธรรมอยู่ที่จิต ก็คือกิริยา ซึ่งทรงไว้ ซึ่งความรู้สึกสำนึกเช่นนั้น ตลอดเวลา พระอริยสงฆ์อยู่ที่จิต ก็คือกิริยาที่จิต มีสติ สังวร ระวัง ตั้งใจที่จะละความชั่ว ประพฤติความดี ปลูกความเชื่อมั่นลงในจิต อย่างแน่วแน่

เมื่อพระพุทธเจ้าก็อยู่ในจิต พระธรรมก็อยู่ในจิต พระสงฆ์ก็อยู่ในจิต แล้วก็นึกในใจว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้วก็มานึกเอาพุทโธ ๆ ๆ เพียงคำเดียว แล้วก็มานึกพุท พร้อมกับลมหายใจเข้า โธ พร้อมกับลมหายใจออก ช่วงของการหายใจ เข้าออก นั้นยังห่าง จิตยังสามารถส่งกระแสไปทางอื่นได้ ก็ให้ปล่อย ความรู้ลมหายใจเสีย แล้วให้นึก พุทโธ ๆ ๆ ติดต่อกัน นึกในใจเบา ๆ อย่าให้จิตมันส่งความรู้สึกออกไปข้างนอก และอย่าไปนึกว่า เมื่อใดจิตจะสงบ เมื่อใดจิตจะรู้จะเห็นอะไร นึกพุทโธคล้าย ๆกับนึกเล่น ๆ เหมือนกับเราไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ แต่พยายามนึกติดต่อกัน ถ้าจิตส่งกระแสไปทางอื่น รู้สึกว่าจิตส่งกระแสไป ให้รีบเอาจิตมาไว้ที่พุทโธ ถ้าหากจิตปล่อยวางคำว่าพุทโธ แล้วก็มีอาการสงบนิ่ง ไม่นึกพุทโธ ให้กำหนดลงที่จิต ความรู้สึกอยู่ที่ไหนจิตอยู่ที่นั่น กำหนดรู้จิต ประคองจิตเอาไว้เฉย ๆ เว้นเสียแต่ว่า จิตส่งกระแสออกไปนึกถึงสิ่งอื่น แล้วก็ให้นึกพุทโธตามเดิม ให้คอยสังเกตความเป็นไปขณะที่นึกพุทโธ

ในเบื้องต้น เรานึกถึงพุทโธ เรียกว่า วิตก เมื่อจิตจดจ้องอยู่กับพุทโธ ไม่พรากจากกัน แล้วก็มีความซึมซาบ จิตมีความดูดดื่ม ในบริกรรมภาวนาพุทโธ ทำให้จิตมีความสงบ ไม่ส่งกระแสไปในทางอื่น ในเบื้องต้นนี้เรียกว่า วิจาร เมื่อจิตมีความดูดดื่ม กับคำว่า พุทโธหนัก ๆ เข้า ปีติ คือความดีใจ ความเบิกบานใจ ย่อมจะเกิดขึ้น ในขณะที่จิตมีปีติเกิดขึ้นนั้น ผู้ภาวนามีอาการต่าง ๆ บางท่านก็รู้สึกว่า ตัวสั่น สั่นนิด ๆไม่สั่นมาก แล้วแต่นิสัยของใคร บางท่านก็รู้สึกว่าตัวใหญ่พองโตขึ้น บางท่านก็รู้สึกว่าตัวเล็กลง บางท่านก็รู้สึกว่า ตัวเบาเหมือนกับลอยอยู่ในอากาศ อันนี้เป็นลักษณะของปีติ บังเกิดขึ้นในขณะบริกรรมภาวนา เมื่ออาการดังกล่าวข้างต้นบังเกิดขึ้น ผู้ภาวนาไม่ควรตกใจ ให้กำหนดบริกรรมภาวนาเรื่อยไป ถ้าหากจิตปล่อยวางคำบริกรรมภาวนา ก็ให้กำหนดรู้ลงที่จิต จิตตัวผู้รู้ความรู้สึก อยู่ที่ไหน จิตอยู่ที่นั่น เมื่อปีติบังเกิดขึ้น ความสุข อันเป็นผลพลอยได้ย่อมเกิดขึ้น เมื่อจิตมีปีติ และความสุข เป็นภักษาหาร เป็นเครื่องยึด จิตย่อมอยู่ในลักษณะแห่งความสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่กระวนกระวาย ไม่ดิ้นรน ผู้ภาวนาจะมีความสุขอย่างเยือกเย็น ซึ่งจะหาความสุขอันใด เสมอเหมือนมิได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ จิตก็จะเข้าสู่ความสงบทีละน้อย ๆ จนกระทั่งปล่อยวางวิตก วิจาร ปีติ และสุข เข้าไปสู่ความสงบนิ่งเป็นหนึ่ง เรียกว่า เอกัคคตา มีความวางเฉย เป็นลักษณะจิตอยู่ในสมาธิ ขั้นนี้ นอกจากจะมีความเป็นหนึ่ง และความวางเฉยแล้ว ยังจะต้องมี ความสว่าง เป็นเครื่องหมาย เมื่อจิตสงบลงไปถึงขั้นนี้ ความรู้ว่ามีกายก็หายไปในความรู้สึก เมื่อกายหายไปแล้ว ลมหายใจก็หายไป ยังเหลือแต่จิตดวงเดียวล้วน ๆ นิ่ง สงบ เด่นอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา อันนี้เป็นลักษณะของจิตสงบลงไป ด้วยการบริกรรมภาวนา

ในขั้นต้น ๆ นี้ เมื่อจิตสงบลงไปแล้ว จิตจะไปติดกับความสุข และความสงบ ซึ่งเกิดในสมาธิ แต่ท่านผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ไม่ควรไปวิตก หรือกลัวว่าจิตไปติดอยู่ในสมถะ ถ้าท่านใดสามารถทำความสงบ ได้ถึงขนาดนี้บ่อย ๆ ทำหลาย ๆ ครั้ง อย่างที่เรียกว่าทำให้มาก อบรมให้มาก ทำจนชำนิชำนาญ เมื่อจิตมีสมาธิขั้นสมถะ หรืออัปปนาสมาธิบ่อยเข้า สิ่งที่จะพึงได้จากจิตสงบ นั้นคือตัวสติสัมปชัญญะ ซึ่งจะเพิ่มพลังขึ้นทุกที ๆ เพียงแต่ท่านผู้ภาวนา ทำจิตให้สงบลงถึงขั้นปีต ิและความสุขเท่านั้น พละในตอนต้น ๆ คือ ศรัทธาพละ ย่อมจะเกิดขึ้น จิตของท่านก็จะเกิดความรู้สึกว่า อยากปฏิบัติ อยากทำ ในเมื่อมีศรัทธา ความพากเพียร อันเป็นพละข้อที่ ๒ ก็บังเกิดขึ้น เมื่อมีพละแล้ว ตัว สติ ความระลึก ก็ย่อมบังเกิดขึ้น เมื่อมีศรัทธา วิริยะ สติ เป็นคุณธรรมเกิดขึ้นในจิต จิตเป็น สมาธิ ในเมื่อจิตสงบ เป็นสมาธิ มีพลังแก่กล้าขึ้น ย่อมเกิดเป็น ปัญญา อย่างน้อยก็มีความรู้ว่าสมาธิคืออะไร

ในเมื่อจิตสงบนิ่งลงเป็นอัปปนาสมาธิ สิ่งที่เราจะรู้เห็นเด่นชัดที่สุดก็คือ ความว่างของจิต ไปตรงกับคำที่ท่านพระพุทธทาส ท่านสอนว่า จงทำจิตให้ว่าง เมื่อผู้สอนว่าทำจิตให้ว่าง ถ้าผู้ภาวนาทำจิตให้ว่าง ทำจิตให้เป็นสมาธิได้แล้ว จะเกิดความสว่างขึ้นมา ผู้ภาวนาไม่ต้องคอยฟังคำอธิบาย เมื่อจิตสงบ นิ่ง ว่างลงไป ก็เป็นอันเข้าใจ

สำหรับผู้ที่แนะการทำจิตให้เป็นสมาธิ เมื่อจิตสงบนิ่งเป็นสมาธิแล้ว ยังมีข้อสงสัยอยู่ว่า เมื่อจิตสงบลงไปแล้วอย่างนี้ จะใช่จิตเป็นสมาธิหรือเปล่า นักปฏิบัติมักจะย้อนกลับมาถามอาจารย์ผู้สอนอีก นี่คือความหมาย มีอยู่อย่างนี้

ประสบการณ์ในการบริกรรมภาวนาพุทโธ ๆ อยู่นี้เรียกว่า เจริญพุทธานุสติ และการเจริญพุทธานุสตินี้ เป็นการเจริญสมถกัมมัฏฐาน ข้อสังเกตในเบื้องต้น เมื่อเราตั้งใจจะนั่งสมาธิบริกรรมภาวนา เมื่อกำหนดจิตลงไป เราจะรู้สึกว่าเรามีกาย ในเมื่อมีกายแล้ว เราย่อมจะ กำหนดรู้ว่า ในขณะนั้นสภาวจิตของเรา เป็นอย่างไร ถ้าภาวนาไปมันก็เกิดทุกขเวทนาขึ้นมา จิตยังไปติดอยู่ในความสุข เมื่อเกิดทุกขเวทนา จิตไม่ชอบ ความที่จิตไม่ชอบนั้น เพราะจิตขอบความสุข จิตขอบความสุข อันนี้เป็น กามฉันทะ บางทีบางโอกาส เราอาจมีอารมณ์คล้าย ๆ ค้าง ๆ ซึ่งยังอยู่ในจิต เรียกว่า ราคะ ความกำหนัดย้อมใจ อาจเกิดขึ้นในขณะนั้น นิวรณ์ ๕ ตัวสำคัญอยู่ที่ราคะ ในเมื่อมีราคะ กามฉันทะ ก็ย่อมบังเกิดขึ้น ในเมื่อกามฉันทะบังเกิดขึ้น จิตมันต้องการความสุข ต้องการความสบาย ไม่ชอบการทรมาน ในเมื่อไม่ชอบ การทรมาน อย่างนั้น จิตจะเกิดความหงุดหงิด ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ต่อการที่จะปฏิบัติต่อไป เรียกว่า พยาบาท เกิดขึ้น เมื่อพยาบาทบังเกิดขึ้นแล้ว ความง่วงเหงาหาวนอน ก็ย่อมบังเกิดขึ้น ความลังเลสงสัย เรียกว่า วิกิจฉา ย่อมบังเกิดขึ้น ก็มีความรู้สึกว่า จะภาวนาต่อไป หรือจะหยุด แต่เพียงแค่นี้ อาการทั้งหลายเหล่านี้ เป็นอาการของนิวรณ์ ๕ ประการ บังเกิดขึ้นครอบงำจิตของผู้ปฏิบัติ คือ กามฉันทะ พยาบาท ถีนะมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา

การทำสมาธิในขั้นสมถะเพื่อให้จิตสงบนี้ จุดมุ่งหมายอันสำคัญก็ตรงที่เราต้องการปราบนิวรณ์ ๕ ให้หมดไป ด้วยอำนาจของ สมาธิขั้นสมถกัมมัฏฐาน ในเมื่อนิวรณ์ ๕ สงบระงับไป ผู้ปฏิบัติสงบได้ ตั้งใจประพฤติปฏิบัติต่อไปด้วยความปลอดโปร่ง ด้วยความเบาใจ และด้วยความสะดวก โดยปราศจากกิเลส ๕ ตัวนี้รบกวน กิเลส ๕ ตัวนี้ เราจะกำจัดได้ด้วย อำนาจของสมาธิขั้นสมถะ นี่คือประสบการณ์ ในการบำเพ็ญสมาธิขั้นสมถกัมมัฏฐาน

และอีกอย่างหนึ่ง สมถะเป็นมูลฐานให้เกิดวิปัสสนา ประสบการณ์อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งนักปฏิบัติทั้งหลายควรจะสังวรระวังไว้ นักปฏิบัติทั้งหลายนั้น จิตจะไปติดอยู่กับความสุข พอภาวนาลงไปแล้ว มักจะถามกันว่าเห็นอะไรบ้าง เมื่อถูกถามบ่อยเข้า จิตก็เลย ไปติดกับความสุข เช่นเมื่อครั้งเริ่มฝึกหัดสมถวิปัสสนา ในตอนแรก ๆ ในเมื่อภาวนาไป พอมีตาทิพย์ ครูบาอาจารย์มักจะถามว่า เห็นอะไรบ้าง พอครูบาอาจารย์ถามอย่างนี้บ่อย ๆ เข้า นักปฏิบัติทั้งหลาย ก็ไปติดคำถาม เมื่อเริ่มภาวนา ก็เริ่มเห็นสิ่งโน้นสิ่งนี้ หมายถึงเห็นนิมิตต่าง ๆ จะเกิดขึ้นเมื่อนักภาวนามีจิตสงบ และจะเกิดแสงสว่างขึ้นมา เมื่อเกิดแสงสว่างขึ้นแล้ว จิตส่งกระแสออกไปข้างนอกกาย ตามแสงสว่างไป ก็ย่อมเกิดนิมิตต่าง ๆ ขึ้นมา จะเป็นรูปคน สัตว์ ภูตผีปีศาจ ซึ่งสุดแท้แต่มโนภาพใด จะบันดาลให้บังเกิดขึ้น ซึ่งเป็นธรรมชาติของสมาธิในขั้นนี้ จะต้องเป็นอย่างนั้น

ในเมื่อเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น ท่านผู้ปฏิบัติทั้งหลาย อย่าพึงไปถือว่า เป็นสิ่งที่เป็นสาระสำคัญ ที่เราจะต้องยึด เอาเป็นผลงาน ในการปฏิบัติ เมื่อนิมิตต่าง ๆเกิดขึ้น ให้ตั้งสติไว้ในท่าทีที่สงบ พยายามระวัง อย่าให้เกิดเอะใจขึ้นมา ถ้าเกิดเอะใจเมื่อใดแล้ว จิตจะถอน ออกจากสมาธิ เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว ภาพนิมิตจะหายไปหมด เพราะนิมิตอันนี้ เกิดจากจิตสงบ ในขั้นของอุปจารสมาธิ นักภาวนาที่ฉลาด เมื่อนิมิตเกิดขึ้นอย่างนี้ ให้ประคองจิตให้อยู่ในท่าที่สงบ คือกำหนดรู้ลงที่จิต คือรู้อย่างเดียว ความรู้สึกอยู่ที่ไหน ผู้รู้จะอยู่ที่นั่น จิตก็อยู่ที่นั่น กำหนดรู้ลงที่ตรงนั้น แล้วดูผู้รู้เฉยอยู่ นิมิตนั้นจะอยู่ได้นาน ท่านที่ฉลาดในการภาวนา อาจจะเอานิมิตนั้น เป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติ ด้วยการกำหนดรู้เฉยอยู่ ทำให้เกิดเป็นสติสัมปชัญญะจริง ๆ สามารถประคองจิต ให้อยู่ในสถานะ ปกติได้ จิตก็ย่อมสงบละเอียดลงไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นอัปปนาสมาธิ หรือถึงขั้นสมถกัมมัฏฐาน ถ้าหากไม่ทำเช่นนั้น เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา จิตจะถอนออกจากสมาธิ และจิตจะไม่ถึงอัปปนาสมาธิ นี่คือประสบการณ์ที่จะเกิดขึ้นในขณะที่บริกรรมภาวนาในขั้นนี้

นักปฏิบัติทั้งหลาย ไม่ควรจะตั้งความรู้สึกไว้ว่า เราภาวนาแล้วควรจะเห็นอย่างนั้น ควรจะเห็นอย่างนี้ เอากันตรงที่ เราภาวนาจิตสงบลงไปแล้ว เมื่อจิตปราศจากอารมณ์ ปราศจากความคิด จิตจะนิ่งสว่างอยู่เฉย ๆ เราเองรู้เห็นกันที่ตรงนี้ เมื่อจิตมีสมาธิ เห็นว่าจิตมีสมาธิ เห็นว่าจิตนิ่งลงเป็นหนึ่ง เห็นว่าจิตมีความเป็นกลาง เห็นว่าจิตมีความสว่างไสว เห็นว่าจิตรู้ลงที่จิต เพียงอย่างเดียว เท่านั้น นี่คือความรู้ความเห็นของจิต ที่นักปฏิบัติจะพึงปรารถนา ความเห็นนิมิตต่าง ๆ นั้น ไม่เป็นสาระสำคัญใด ๆ ปัญหาสำคัญอยู่ตรงที่ ให้เรารู้เห็นลงไปว่า คำว่าจิตนั้นคืออะไร อยู่ที่ไหน สิ่งที่เราจะต้องกำหนดให้ได้ อยู่ที่ตรงนี้ เมื่อเรากำหนดลงไปได้ว่า นี่คือจิตผู้รู้ ก็ให้รู้ลงที่ตรงนี้ นิมิตต่าง ๆนั้น ใครจะรู้จะเห็นหรือไม่นั้น ไม่สำคัญ อย่าไปต้องการอยากรู้อยากเห็น

และปัญหามีว่า หากว่าได้ทำจิตให้สงบสว่างลงไปแล้ว เกิดมีนิมิตขึ้นมา เมื่อจิตของเราไปติดนิมิตนั้น เช่น เห็นเทวดา ขณะนั้นจิต จะละฐานเดิม คือฐานที่รู้อยู่ในจิต แล้วก็ไปยึดภาพนิมิตนั้น ภาพนิมิตนั้นไปที่ไหน ก็จะตามไปที่นั่น ในที่สุดเราจะรู้สึกว่า เดินตามหลังเทวดาไป บางทีเทวดาจะพาไปเที่ยวนรก ไปเที่ยวสวรรค์ ไปดูโน่น ไปดูนี่ บางครั้งจิตมันตรงไปดูถึงนิพพาน เห็นนิพพาน เป็นบ้านเป็นเมืองขึ้นมา เป็นประสบการณ์ของจิตที่เราควรจะสังวรระวังเอาไว้

เมื่อผู้ภาวนาทำจิตให้สงบนิ่งเป็นอัปปนาบ่อย ๆ เข้า ถ้าจิตมันไปติดอยู่ในความสุขขั้นอัปปนาสมาธิ ไม่ก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนาสักที เราจะทำอย่างไร เป็นปัญหาที่จะต้องทำความเข้าใจ วิปัสสนามันเกิดขึ้นได้ ๒ วิธี

วิธีที่ ๑ เกิดขึ้นได้ด้วยการพินิจพิจารณาสภาวธรรม

สภาวธรรมที่จะพึงยกเป็นหัวข้อในการพิจารณาเบื้องต้นนี้ ท่านให้ยกเอาขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มาพิจารณา สอนไปสู่ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ความไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง พยายามน้อมนึกว่า รูปก็ไม่เที่ยง เวทนาก็ไม่เที่ยง สัญญาก็ไม่เที่ยง สังขาร วิญญาณก็ไม่เที่ยง นึกเอาอย่างนี้ นึกเอาเรื่อย ๆ และน้อมเชื่อลงไปว่า เป็นความจริง จนกระทั่งจิต มันยอมรับ ลงไปว่า เป็นความจริงอย่างนั้น แล้วจึงกลับมากำหนดจิตให้สงบลงไป โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือบางทีขณะที่เรานึกอยู่นั้น จิตอาจจะเกิด ความสงบขึ้นมาในระหว่าง ในเมื่อจิต เกิดความสงบขึ้นมาแล้ว ก็ให้กำหนดจิต ประคองจิต ให้อยู่ในความสงบอย่างนั้นต่อไป เว้นเสียแต่ว่า จิตมันจะคิดไปเอง หากจิตคิดไปเอง ให้ผู้ภาวนานั้น ตามรู้ความคิดของตัวเอง โดยทำสติตามรู้ความคิด คือจิตคิดอะไรขึ้นมาก็รู้ คิดอะไร ขึ้นมาก็รู้ เพียงแต่สักว่ารู้ อย่าไปช่วยมันคิด โดยธรรมชาติของจิต มันจะคิดอยู่ไม่หยุด เราจะต้องทำสติ กำหนดรู้ความคิดอันนั้น ตามไปเรื่อย ๆ จนกว่าจิตมันจะสงบลง เป็นอัปปนาสมาธิอีกทีหนึ่ง ในเมื่อจิตสงบลง เป็นอัปปนาสมาธิแล้ว ให้กำหนดรู้อยู่อย่างนั้น เมื่อจิตสงบลงไปสู่อัปปนาสมาธิ เราจะไม่มีเจตนา ไม่มีสัญญาใด ๆ ทั้งนั้น จะน้อมจะนึกอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น เพราะในตอนนี้ จิตมันถึงธรรมชาติแห่งความเป็นเอง เป็นสมาธิโดยปราศจากความตั้งใจ ถ้าจิตจะเกิดความรู้ความเห็นอะไรขึ้นมาในขณะนี้ เป็นเรื่องของจิตที่จะต้องเป็นไปเอง จิตในขั้นนี้เราจะตั้งใจน้อมนึกไม่ได้

เพราะฉะนั้น ในตอนนี้จึงขอทำความเข้าใจกับท่านอีกว่า ในตำราท่านกล่าวว่าเมื่อทำจิตให้เป็นสมาธิอย่างดีแล้ว จงน้อมจิต หรือยกจิต ให้สู่ภูมิวิปัสสนากัมมัฏฐาน เมื่อจิตนั้นสงบลงไปสู่ขั้นอัปปนาสมาธินั้นเราจะยกก็ไม่ได้ จะน้อมก็ไม่ได้ จะปรุงจะแต่งอะไร ไม่ได้ทั้งนั้น เพราะจิตมันปราศจากรูป เวทนา สัญญา เจตนาโดยประการทั้งปวง พอจิตมันสงบแล้วมันเป็นไปเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจะทำอย่างไร โอกาสที่จิตมันจะถอนออกจากสมาธิย่อมมี เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิ ในขั้นนี้จะเกิดความคิดขึ้นมา ให้กำหนดตามรู้ ความคิดไป จะคิดเรื่องอะไรก็ได้ มันจะคิดเรื่องของบุญ คิดเรื่องของบาป คิดเรื่องโลก คิดเรื่องธรรม อะไรก็แล้วแต่ หน้าที่ของเรา เพียงแต่กำหนดตามรู้ไปเรื่อย ๆ เมื่อสติตามทันความคิดได้เมื่อใด ขณะนั้นมันก็กลายเป็นภูมิแห่งวิปัสสนากัมมัฏฐานขึ้นมาเอง

และอาจจะสงสัยว่า เมื่อทำจิตแล้ว จิตไม่ถึงขั้นอัปปนาสมาธิสักที จะคอยโอกาสให้จิตถึงอัปปนาสมาธิหรือขั้นสมถะ ไปจนตลอดชีวิต จะทำอย่างไร ผู้ภาวนาจะไม่ตายก่อนหรือ กว่าจะยกจิตขึ้นสู่ภูมิวิปัสสนาได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อเราจะทำจิตให้สงบนิ่งลง เป็นอัปปนาสมาธิ หรือทำสมถกัมมัฏฐานไม่ได้ เราก็ไม่ต้องทำ แนะนำให้ทำอย่างนี้ ในเมื่อเราจะภาวนาเมื่อใด ให้กำหนดรู้ลงที่จิต คอยจ้องดูความคิดของตนเอง ความคิดอะไรเกิดขึ้น กำหนดรู้ นี้เฉพาะในขณะเรานั่งหลับตา กำหนดรู้อยู่อย่างนั้น ไม่ต้องไปนึกถึงอะไร ปล่อยให้ความคิดมันเกิดขึ้นมาเอง คิดขึ้นมาแล้วกำหนดรู้ คิดขึ้นมาแล้วกำหนดรู้ รู้ตามไปเรื่อย รู้เดียวนี้ตามไปเรื่อย ๆ ตัวรู้นั้นคือ ตัวสติตามรู้ทัน นั่นเอง ในเมื่อสติตามรู้ทันเมื่อใด จิตมันจะแสดงอาการสงบลง ถึงแม้ว่ามันจะไม่สงบ นิ่ง สว่าง เหมือนอย่างที่ท่านอธิบายไว้ ในตำรับตำราก็ตาม เป็นแต่เพียง เรามีสติตามทันความคิดของเรา เมื่อสติตามทันความคิดแล้ว ความคิด ความรู้ กับจิต นี้มันจะมีลักษณะ คล้าย ๆ กับว่า มันแยกออกจากกัน จิตตัวผู้รู้ มันจะรู้อยู่เฉย ๆ แต่สิ่งที่ผ่านเข้ามา เป็นความคิดนั้น สักแต่ว่าคิด ไม่มีความยึดถือในจิตอันนั้น อันนี้เป็นตัวสติ ที่มันมีพลังแก่กล้าขึ้น และมันจะมีลักษณะที่ กายกับจิต ที่สามารถแยกจากกันได้ อารมณ์กับจิต ก็สามารถแยก ออกจากกันได้ ถ้าเราอบรมสติตัวนี้ให้มีความเจริญขึ้น เป็นผู้ที่มีสติเป็นใหญ่ในธรรมทั้งปวง อันนี้ถือหลักปฏิบัติสมถกัมมัฏฐานในเบื้องต้น

วิธีที่ ๒ เกิดขึ้นได้ด้วยการพินิจพิจารณากายคตาสติ

สภาวธรรมที่จะพึงยกเป็นหัวข้อในการพิจารณาได้อีกอย่างหนึ่ง คือ ให้กำหนดพิจารณาร่างกายของตนเป็นหลัก ให้พิจารณาตั้งแต่ ผม ขน เล็บ หนัง ฟัน เนื้อ เอ็น กระดูก จนครบอาการ ๓๒ โดยน้อมนึกให้จิตรับรู้ไปในแง่เป็นของปฏิกูล ไม่สวยไม่งาม น่าเกลียด โสโครก ดังที่ปฏิปทาของท่านอาจารย์เสาร์ กันตสีโล บรรยายมาแล้วนั่นเอง




Create Date : 20 กรกฎาคม 2550
Last Update : 20 กรกฎาคม 2550 20:00:51 น. 0 comments
Counter : 581 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

kaoim
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]








Friends' blogs
[Add kaoim's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.