ค น ทั่ ว ไ ป นิ ย ม ป ลู ก ต า ม รั้ ว บ้ า น เพราะนอกจากจะขึ้นง่ายตามธรรมชาติแล้ว ยังสามารถทำเป็นรั้วรอบบ้านเรือนเพื่อให้สวยงามแล้ว ยังมีกลิ่นหอม ทั้งดอก และฝักอ่อนยังสามารถนำไปปรุงเป็นอาหารไว้รับประทานได้อีกด้วย โดยดอก หรือฝักอ่อนจะมีรสหวาน นำมาทำยำ แกงส้ม หรือทำเป็นผักลวกจิ้มกับน้ำพริกก็ได้เช่นกัน ได้ทั้งคุณค่าทางอาหารสูง และดีกับสุขภาพอีกด้วย เ ป็ น ไ ม้ เ ถ า เ ลื้ อ ย จัดอยู่ในวงศ์ Asclepiadaceae ซึ่งเป็นไม้ที่ชอบขึ้นตามตามธรรมชาติในป่าดงดิบและป่าละเมาะ อาจจะมีชื่อเรียกตามภาค และแต่ละท้องถิ่นที่ไม่เหมือนกัน อาทิ ทางภาคเหนือจะมีชื่อเรียกว่า ผักสลิด ส่วนทางภาคกลางและใต้เรียกว่าดอกขจร เป็นต้น ใ บ มีลักษณะรูปทรงกลมปลายใบแหลม ใบเชิงเดี่ยวเรียงกันคล้ายรูปหัวใจ กว้างและยาว 6-10 ส่วนลำต้นจะมีน้ำยางออกสีขาว ด อ ก จะมีสีเขียวอ่อนๆ อมเหลือง ออกมาเป็นช่อๆ คล้ายพวงอุบะ มีสีเขียวอ่อนอมเหลือง จะมีกลีบเลี้ยงเชื่อมกันส่วนปลายจะเป็น 5 แฉก ผ ล นั้นทรงกลมยาวคล้ายลูกนุ่นผลอ่อน ผลอ่อนมีสีเขียวจะมีเมล็ดติดกับใยสีขาวปลิวว่อนคล้ายลูกนุ่นนั่นเองชื่ อ วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ : Telosma minor ชื่ อ ว ง ศ์ : Asclepiadaceae ชื่ อ ส า มั ญ : Cowslip Creeper ชื่ อ พื้ น เ มื อ ง : ดอกสลิด ผักสลิดคาเลา สลิดป่า ผักสลิด กะจอน ขะจอน แต่อีสานบางพื้นที่เรียกว่า ผักขิก ลั ก ษ ณ ะ ทั่ ว ไ ป : ดอกขจร เป็นไม้เลื้อยเถาเล็กแตกยอดจำนวนมาก ทุกส่วน ของลำต้นมีน้ำยางขาว ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามเป็น ใบคู่เป็นรูปหัวใจ กว้างและยาว 6 10 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบเว้า ขอบใบเรียบ มีช่อดอกสีเหลืองอมชมพูอ่อนออกเป็นช่อแบบซี่ร่ม ดอกย่อยมีกลีบเลี้ยง เชื่อมติดกันส่วนปลายแยก 5 แฉกกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้นๆ ปลายกลีบแยกเป็น 5 แฉก ดอกบานไม่พร้อมกันดอกอ่อนสีเขียว เมื่อบาน เริ่มหอมตั้งแต่ช่วงบ่าย ดอกออกมากตั้งแต่ต้นฤดูหนาว นำดอกขจรมาเป็นผัก ทำอาหารรับ ก า ร ป ลู ก : ขจรเป็นไม้กลางแจ้ง มีวิธีการปลูกโดยการนำกิ่งที่ได้จากการปักชำ หรือการทาบกิ่ง มาปลูกลงดินในบริเวณ ที่มีแสงแดดส่องถึง หรืออาจเป็นริมรั้วก็ได้ เพื่อให้เถาขจรได้เลื้อยพาดกำแพงรั้วเพื่อการทรงตัว หรืออาจจะ ทำกำแพง ไม้ระแนงเพื่อให้เถาขจรเลื้อยพาดไปได้ เมื่อออกดอกก็จะแลดูสวยงามไปอีกแบบ อีกวิธีก็คือการตอน ใช้ขุยมะพร้าวแช่น้ำไว้ 1 คืน ใส่ถุงพลาสติกมัดหนังยางไว้เพื่อเป็นถุงตอนหลายๆ ถุง เวลาตอนให้กรีดถุงด้านหนึ่งแล้วนำไปหุ้มตรงข้อของเถาขจร มัดให้แน่น ให้ตอนข้อเว้นสองข้อ ประมาณย 20 วันก็ออกราก แ ส ง ขจรเป็นไม้กลางแจ้งที่ชอบแสงแดดจัด ปุ๋ ย ขจรเป็นไม้ที่ไม่ต้องการปุ๋ยมากนัก เนื่องจากขจรเป็นไม้ที่ทนได้ทุกสภาพดิน ฉะนั้นปุ๋ยที่มีอยู่แล้วในดิน กับการเพิ่มปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอกลงในดินบริเวณโคนต้นบ้างก็จะดียิ่งขึ้นสำหรับการให้ปุ๋ยเพื่อการค้านั้นควรให้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมักใส่ที่โคนต้นได้เรื่อยๆ ส่วนปุ๋ยเคมีใช้สูตร 15-15-15 สลับกับ 25-7-7 เดือนละ 2 ครั้ง และหลังการตัดแต่งกิ่ง ซึ่งถ้าดูแลดีดอกก็จะดกและโตมากกว่าปกติ ที่สำคัญต้องตัดแต่งกิ่งที่แก่ออกอยู่เสมอ เพื่อให้แตกยอดใหม่ออกมาเรื่อยๆ ส่วนมากจะตัดแต่งกิ่งช่วยเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน เพราะช่วงนี้จะออกดอกน้อย จะตัดอย่างหนักเอาไว้เฉพาะส่วนที่ลำต้นตั้งตรงขึ้นไป และต้องแบ่งแปลงไว้เพื่อให้มีแปลงที่เก็บดอกได้ เพราะช่วงนี้จะขายได้ราคาดี หลังตัดแต่งกิ่ง 2-3 สัปดาห์ก็จะแตกยอดใหม่มีดอกให้เก็บได้เรื่อยๆ หลายปี และยืดอายุต้นขจรได้อีกนาน การตัดนั้นให้ตัดสูงจากพื้นดิน 25 ซม. แต่ละหลุมไม่ควรตัดหมด ให้เหลือไว้ต้นละ 1 หลุม จากนั้นก็รดน้ำให้ปุ๋ยตามปกติ 3-4 เดือน ก็ให้ดอกอีกมาก ต้นขจรจะให้ดอกหลังจากย้ายปลูกได้ 30 วัน และจะให้ผลผลิตมากที่สุดช่วงอายุ 8-10 เดือน โดยเฉพาะในช่วงเดือน พ.ค.-ก.ค. ผลผลิตจะเริ่มลดลงในเดือน พ.ย.-ธ.ค. เพราะเป็นช่วงฤดูหนาว เมื่อเก็บช่อดอกแล้วนำไปล้างน้ำ 2 ครั้ง ก่อนคัดแยกดอกบานไว้ต่างหาก ดอกตูมจะขายได้ราคากว่าดอกบาน ก า ร ข ย า ย พั น ธุ์ : การปักชำกิ่ง หรือทาบกิ่ง หรือเพาะเมล็ด ต้นขจร ถ้าเพาะจากเมล็ดใช้เวลานานมาก กว่าจะออกดอกถ้าจะให้ออกดอกไวๆต้องปลูกจากกิ่งชำ ต้นขจรเป็นพืชที่ชำติดง่าย ชำโดยการนำเถาที่มีอายุเกิน 1 ปีขึ้นไปมาตัดเป็นท่อน ชำในถุงดำที่ผสมดิน 1 ส่วน กับขุยมะพร้าว 1 ส่วน ปักท่อนพันธุ์ลงในดินลึกประมาณ 2 นิ้ว นำไปอนุบาลต่อในเรือนเพาะชำที่มีแสงผ่านประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ รดน้ำทุกวันประมาณ 1 เดือนก็สามารถนำมาปลูกได้หรือแบ่งจำหน่ายต้นพันธุ์ได้ ส ร ร พ คุ ณ ท า ง ย า : ใช้รากผสมยาหยอดตารักษาตา ทำให้รู้รสอาหาร ดับพิษ ยอดอ่อน ดอก ลูกอ่อน บำรุงธาตุ บำรุงตับ ปอด แก้เสมหะ เป็นพิษ ราก ทำให้อาเจียน ถอนพิษเบื่อเมา ส่ ว น ที่ ใ ช้ เ ป็ น อ า ห า ร : ยอดอ่อน ดอกตูมและบาน ผลอ่อน คุ ณ ค่ า ท า ง อ า ห า ร : ยอดอ่อนและดอกขจรในปริมาณ 100 กรัม มีวิตามิน แร่ธาตุ ต่างๆ คือวิตามินเอ มากถึง 3,150 I.U. วิตามินซี 45 มิลลิกรัมแคลเซียม 70 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 90 มิลลิกรัม ทั้งยอดอ่อน ผลอ่อน และดอกของขจรสามารถนำมาทำอาหารได้ทั้งนั้น เฉพาะใช้เป็นผักต้มหรือผักลวกจิ้มน้ำพริก หรือทำเป็นอาหารอื่น เช่น แกงส้มดอกขจร ยำดอกขจร แกงจืดดอกขจร ข้าวต้มดอก ขจร เป็นต้น และส่วนที่มีคุณค่าทางอาหารมากที่สุดคือส่วน ยอดอ่อน ทั้งนี้ดอกขจรมีคุณค่าวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ขจรจะไม่มีโรคและแมลง ที่ก่อให้เกิดความเสียหายมากนักเจ๊หลีขอบคุณข้อมูลจาก-//www.komchadluek.net-//www.rakbankerd.com/agriculture/wb/show.php?Category=agriculture&No=15665
เจ๊หลี "美 麗"กิน ๆ เที่ยว ๆ เหตุที่ใช้ชื่อนี้เพราะเป็นความใฝ่ฝันว่า สักวันจะใช้ชีวิตแบบ กิน ๆ เที่ยว ๆ ไงคะ ^.< แต่คงไม่ถึงกับเดินไม่ไหวแล้วค่อยเที่ยวหรอกนะคะ 555++หลาย ๆ คนถามว่าทำไมเจ๊หลีไม่เขียน Blog บ่อย ๆ เหตุผลคือเจ๊หลีติดงานประจำที่ทำอยู่ค่ะ ทำงานจันทร์-เสาร์ กว่าจะได้บล็อก ๆ หนึ่งเจ๊หลีก็ต้องทำขนมไปด้วย ถ่ายรูปไปด้วย มือก็เปื้อนกลัวกล้องพังก็กลัว กลัวขนมไม่ได้ที่ก็กลัวลำบากมากนะคะ เพื่อน ๆ ลองหลับตานึกภาพดูก็ได้... แต่เจ๊หลีก็เลือกที่จะทำค่ะ เก็บไว้ให้ตัวเองได้ดูว่าผ่านมาเราทำอะไรไว้บ้าง เรื่องการอัพ Blog เจ๊หลีทำเพราะชอบถ่ายรูป โดยเฉพาะชอบลองสูตร ไม่ได้หมายความว่า ทำขนมหรืออาหารเก่งหรอกนะคะเพื่อน ๆ ลองทำลองดู แล้วนำมาแชร์กันใน Blog ถูกผิดยังไงช่วยแนะนำได้ค่ะพักเหนื่อยก็เข้า Blog.... Blog เป็นพื้นที่เล็ก ๆ ที่แสดงความเป็นตัวตนของเจ๊หลี ..ทุกรายละเอียดเจ๊หลีทำด้วยความตั้งใจ และใส่ใจ หาก Blog นี้ทำประโยชน์ให้ใครได้แม้เพียงคนเดียว...เจ๊หลีก็ยินดียิ่งแล้วนะคะ อยากให้ทุกคนทราบว่า เจ๊หลี.ปลื้มมากมาย ^0^ สำหรับทุก comment ที่น่ารักและอีกหลาย ๆ กำลังใจค่ะ