::::: เรื่องราวในอินเดีย 15 ... ตอน เหนื่อย เพราะน้ำตาล!:::::
เผลอแป๊บเดียวผ่านเข้ากลางสัปดาห์ที่ 2 แล้ว เวลาผ่านไปเร็วมากเมื่อมองย้อนกลับไป แต่ไม่รู้ทำไมแต่ละวินาทีมันผ่านไปช้าเหลือเกิน วันแต่ละวันของที่นี่มันยาวนานมาก ตื่นตั้งแต่ตีสี่ตีห้า ตีห้าสี่สิบห้าก็ต้องขึ้นไปสวดโอม และ chanting อื่นๆ หกโมงถึงแปดโมงเรียนอาสนะ แปดโมงถึงเก้าโมงกรรมโยคะ (เหมือนเด็กๆ ทำเวรเลย แต่ต้องทำทุกวัน) เก้าโมงถึงเที่ยงก็เรียนหนังสือ เที่ยงถึงสามโมงกินข้าวแล้วได้พักหน่อย (แต่ก็ต้องซักผ้า อ่านหนังสือ เขียน essay กันตอนนี้แหละ แต่ส่วนใหญ่จะหลับ ไม่รู้ทำไม) สามโมงถึงสี่โมงเรียนหนังสือต่ออีก สี่โมงถึงห้าโมงครึ่งเรียนอาสนะ ห้าโมงครึ่งถึงหกโมงครึ่ง Micro Lesson ชั่วโมงฝึกสอน หกโมงสี่สิบห้าถึงทุ่มครึ่งสวดมนต์ 108 จบ กินข้าวเย็นตอนหนึ่งทุ่มครึ่ง หลังจากนั้นก็มีกิจกรรมต่อ อาจจะเป็น discussion หรือ bhajan (ร้องเพลง) จนถึงสี่ทุ่มนู่น กว่าจะอาบน้ำเข้านอนก็ปาเข้าไปห้าทุ่ม แต่ละวันกิจกรรมเต็มเอี้ยด! แทบไม่มีเวลาหายใจหายคอ ที่ร้ายไปกว่านั้น คือ เราแทบจะไม่มีเวลาเขียน essay หรืออ่านหนังสือทบทวนบทเรียนเลย บางวันเราอาบน้ำเตรียมตัวนอน กะว่าจะอ่านหนังสือสักหน่อย แล้วก็
แว้บบบ
ไฟดับ เพราะเครื่องปั่นไฟหยุดทำงาน แป่ว...ถูกบังคับนอน เคยมีเหมือนกัน เช้าๆ ไม่มีไฟเพราะประชาญตื่นนอนสาย หรือดึกๆ อาบน้ำยังไม่เสร็จแล้วไฟดับเพราะกำลังไฟหมด ก็ต้องอาบน้ำท่ามกลางแสงเทียน เอ้ย! แสงไฟจากมือถือ อยู่ๆ ไปมันก็ปรับสภาพได้เองนะ เดี๋ยวไม่มีน้ำ เดี๋ยวไม่มีไฟ วันก่อนอยู่ๆ น้ำก้ไม่ไหล ทั้งๆ ที่ฝนก็ตกลงมาไม่ใช่น้อย น้ำคงหมดอ่างเก็บน้ำ เพราะไหลออกมาเป็นสีน้ำตาลขุ่นคลั่ก ไม่ได้อาบน้ำไปสองวันหนึ่งคืน ช่วยไม่ได้นี่นา น้ำมาเมื่อไหร่ก็อาบเมื่อนั้นแหละ
ดีนะที่เรียนเรื่อง Very nice ไปเมื่ออาทิตย์ก่อน เพราะตอนนี้มันติดปากเข้าให้แล้วจริงๆ จากตอนแรกที่เริ่มจากการประชดประชันกันขำๆ ไอ้นั่นแย่ ไอ้นี่ไม่ทำงาน เอ้า very nice ไปก่อน แล้วเราก็หัวเราะให้กับมัน
อารมณ์ก็ไม่ขุ่นมัว จิตใจมันเลยว่างพอที่จะข้อดีของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ รู้สึกเลยว่าตัวเองเริ่มใจเย็นลง ยอมรับสภาพอะไรๆ ได้ดีขึ้น แล้วมันก็สบายใจ หัวเราะง่าย มองอะไรขำๆ ไม่ซีเรียส บางทีอาจจะเป็นเพราะอย่างนี้ บ้านเมืองอินเดียถึงดูเละเทะในสายตาของคนอื่น แต่คนอินเดียเขาก็มีความสุขนะ อย่างคนที่เจอในเมืองเนี่ย ยิ้มง่าย หัวเราะเก่ง แต่พูดไม่รู้เรื่อง ฮา...
เฮ้อ...เหนื่อยนะเนี่ย เหนื่อยจนไม่มีแรงจะเคี้ยวข้าว คงเพราะเริ่มฝึกสอนแล้วด้วย แต่คิดว่าไอ้สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดนั้นจะต้องเป็นน้ำตาลแน่ๆ นึกถึงชั้นเรียนอายุรเวทเมื่อวันก่อน ที่พูดถึงเรื่องโภชนาการ น้ำตาล... เจ้าตัวดีที่เพิ่มธาตุ Kapha ในร่างกาย มีผลให้ง่วงเหงาหาวนอน ขี้เกียจกว่าปกติ นี่เรากินน้ำตาลจาก Ladoo ในร้านค้า กับขนมบูชาพระพิฆเนศ มาประมาณ 3 วันเนี่ย เห็นผลทันตาเลย จากที่เคยเด้งขึ้นมาง่ายๆ ตอนตีสี่ครึ่ง มาตอนนี้ตีห้าแล้วยังไม่อยากลุก แถมยังง่วงเหงาหาวนอนอีกตลอดวัน อยากจะนอนลูกเดียวเลย แล้วโยคะนิทราก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงอีกด้วย (นี่ถ้ามีสอบโยคะนิทราสงสัยตกไม่มีชิ้นดี
สอบว่านอนยังไงไม่ให้หลับ) นอกจากนี้ เรายังอยากกินมากขึ้นๆ ทุกวัน โอย... น่ากลัวเหมือนสารเสพติดเลยทีเดียว ตอนแรกนึกว่าเราเป็นคนเดียว ที่ไหนได้เพื่อนๆ ก็เป็นกันหมดเลย เพราะฉะนั้นฟันธงได้เลยว่า
น้ำตาลน่ะ ตัวร้าย!
วันนี้ฝึกสอนสุริยนมัสการ เหนื่อยมากๆ เลย เพราะต้องพูดเยอะ อธิบายเยอะ ที่สำคัญ มันไม่ใช่ภาษาเรา ต้องสอนเป็นภาษาอังกฤษนี่เหนื่อยมากเลย เท่ากับว่าเราต้องเตรียมตัวเป็นสองเท่าของพวกฝรั่งเขา
จำได้ว่าประชาญเคยบอกพวกเราว่า เขาเข้าใจความรู้สึกของพวกเราดีเวลาฝึกสอน เพราะเขาเคยเรียนคอร์สนี้มาก่อน และเคยอยู่ที่จุดจุดนี้ ตื่นเต้นแบบนี้มาก่อนเมื่อหลายปีที่แล้ว ตอนนั้นภาษาอังกฤษเขาแย่มาก สิ่งที่เขาทำในตอนนั้นคือ ยิ้มๆๆๆ และยิ้ม เพราะว่าพูดอะไรไม่ออกเลย ตื่นเต้นจัด แล้วประชาญหน้าดำก็ยิ้มยิงฟันขาวๆ ให้พวกเรา เราหัวเราะกันเสียยกใหญ่ ประชาญน่ารักเหลือเกิน ถึงวันนี้ภาษาอังกฤษของประชาญก็ยังไม่แข็ง grammar ผิดเต็มไปหมด ตอนที่เขาสอน แต่มันจะสำคัญอะไรล่ะ สื่อสารกันได้เสียอย่าง จริงไหม
ส่วนเคท สาวชาวออสซี่ซึ่งตัดสินใจลงหลักปักฐาน เตรียมจะสร้างครอบครัวอยู่ที่อาศรมแห่งนี้บอกกับพวกเราว่า อย่าไปเครียด คิดเสียว่าเรามาเข้าคอร์ส Speaking ก็แล้วกัน เอ...ไม่รู้ว่าเคทพูดแบบนี้ทำให้กังวลมากขึ้นหรือน้อยลงก็ไม่รู้
ตอนนี้อากาศเริ่มร้อน แมลงบินมาจากไหนไม่รู้เต็มไปหมด สัปดาห์ที่แล้วที่ฝนตกตลอดเวลานี่ไม่เห็นมี มาตอนนี้โอ้ว...อย่างเยอะ ขึ้นไป Patanjali Hall ตอนกลางคืนนี่เรียกว่าใช้ชีวิตร่วมกับแมลงเลย แมลงเต่าทองที่นี่สวยมาก (เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมา) แล้วก็เยอะมากด้วย ปีกเขาจะเป็นพื้นสีนวลๆ มีลายสีน้ำตาล ดูๆ ไปคล้ายๆ ลายไม้ ธรรมชาตินี่เก่งจริงๆ แต้มสีให้เต่าทองได้ไม่เหมือนกันสักตัว นั่งๆ อยู่ใน Patanjali Hall ตอนกลางคืน พี่แกก็บินมาเกาะหัวซะงั้น ไม่ชินก็ต้องชินแล้ว เพราะเป็นอย่างนี้อยู่ทุกวัน เจ้าเต่าทองนี่ชอบมาเกาะมุ้งในห้องนอนแน่นๆ ไม่ว่าไรหรอกตราบเท่าที่มันยังเกาะอยู่ข้างนอก แต่อย่าเข้ามาละกัน เข้ามาทีก็เสียเวลาเชิญออกที ไฟก็ไม่มี อาศัยแสงจากมือถื่อเพียเน้อยนิด จากที่ง่วงๆ เลยหายง่วงเลย ในห้องกินข้าวแมลงก็เต็มไปหมด เดี๋ยวนี้เลยโรแมนติก กินข้าวกันในความมืด วันดีคืนดี จิ้งหรีดก็กรีดปีกโซโล่โอเปราอยู่ข้างๆ มุ้ง เพิ่งรู้ว่าเสียงจิ้งหรีดกรีดปีกใกล้ๆ นี่ดังมากๆ ราวนาฬิกาปลุกชั้นดี อันนี้รบกวนพี่จิ้งช่วยกรีดปีกตอนตีสี่ครึ่งน่าจะดีกว่าตอนตีหนึ่งครึ่งนะ อยู่กับแมลงมากๆ หลังๆ มานี้รู้สึกเหมือนเราเป็นเพื่อนกัน ไม่กล้าจะทำร้ายแมลงอีกเลย ยุงยังไม่ตีเลย เพื่อนกันๆ (อ๊ากกก เพื่อนกันก็อย่ากัดกันดิ)
เมื่อคราวที่แล้วติดเลกเชอร์เรื่องโยคะสำหรับคนตั้งครรภ์อยู่ คราวนี้ก็จะขอติดต่อไปอีกสักครั้ง คราวหน้าจริงๆ สัญญาค่ะ รูปด้วย ไว้คราวหน้านะคะ ตอนนี้สายแล้ววววว... วิ่ง!
Create Date : 28 ตุลาคม 2553 |
|
4 comments |
Last Update : 28 ตุลาคม 2553 9:03:41 น. |
Counter : 829 Pageviews. |
|
|
|
มิน่าง่วงตลอดวัน 555
เมื่อกี้เอาหมิงหมิงนอนกลางวัน
กล่อมหลับ
พี่ก๋าก็วูบไปด้วยซะเลย 555
โยคะที่น้องเสี้ยวไปเรียน
เหมือนครูเค้าสอนเรื่องการมีทัศนคติในเชิงบวกกับตัวเองด้วยนะครับ
เพราะอะไรๆที่อินเดียคงไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด
แต่ถ้าเรามองมันว่าเป็นเรื่องสบายๆ
อะไรจะเกิดก็ช่างมัน ยิ้มเข้าไว้สบายใจ
ปัญหาก็ไมไ่ด้เป็นปัญหาเลย
ปล. ขึ้นมาเชียงใหม่เมื่อไหร่บอกนะครับ
เดี่ยวพาไปเลี้่ยงข้าวเพิ่มพุง 555