::::: เรื่องราวในอินเดีย 1 ... ตอน เริ่มเล่า :::::
...จะไปเรียนโยคะที่อินเดีย... เพื่อนหลายคนถึงกับถาม ...เฮ้ย! แกโอเคป่าว มีปัญหาไรปรึกษาชั้นได้นะ... ก็เป็นงั้นไป พ่อถึงกับเอ่ยปาก ...คราวหลังช่วยทำอะไรที่มนุษย์ปกติเขาทำกันหน่อยนะ...แหม..พ่อจ๋า โธ่ถัง กะละมังรั่ว!!! -_-
อาศรมที่เลือกไปนี้อยู่ในภูเขาชานเมืองนาสิก ห่างจากมุมไบไป 170 กิโลเมตร จริงๆ แล้วก็เพราะว่าติดตามอ่านงานของเพื่อน blogger แถวๆ นี้นี่เอง พี่หมวย (หมวยเกี๊ยะA2) คุ้นๆ ชื่อกันบ้างมั้ยคะ ประกอบกับได้อ่านหนังสือฮารี โอม..โยคี ของคุณ จิรศักดิ์ ศรีพันธุ์เดช ที่เขียนถึงประสบการณ์การไปเรียนโยคะที่อาศรมนี้ แวะเวียนเข้าไปชมเว็บไซต์ของอาศรมนี้อยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็ตัดสินใจว่า โอเค...ไปวะ (อ่านแรงบันดาลใจได้ที่บล็อกก่อนหน้านี้)
แต่ถึงจะตัดสินใจไปแล้ว ก็มีอะไรให้ต้องไขว้เขวมาตลอด เราส่งใบสมัครไปตอนเดือนกุมภาพันธ์ สำหรับคอร์สเดือนกรกฎาคม เพราะว่าคนสนใจเยอะ ต้องจองล่วงหน้าประมาณครึ่งปี จ่ายตังค์เรียบร้อยหมดแล้วด้วย เพราะจะได้ถือเป็นการบังคับตัวเอง ปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่นาน เราก็ผ่านการออดิชั่นละครเรื่อง น้ำใสใจจริง ซึ่งกำหนดการแสดงเดิมมันอยู่ในช่วงเดือนกรกฎาคมเป๊ะๆ เลย นั่งตัดสินใจอยู่สามตลบ ละครก็อยากเล่น อินเดียก็อยากไป พ่อบอกว่าเล่นละครเถอะ จะไปทำไมอินเดีย (ก็เขาไม่อยากให้ไปตั้งแต่ต้นแล้วไง) ก็เลยลองส่งเมล์ไปถามที่อินเดียว่าทำไงดี เลื่อนไปคอร์สหน้าได้มั้ย ทางอาศรมก็ใจดี ส่งเงินคืนมาให้ โดยไม่รวมค่า registration fee แล้วบอกว่าให้ไปสมัครคอร์สเดือนกันยายน โดยไม่ต้องจ่ายค่า registration อีกรอบ โอเค เยี่ยมๆ เปิดสมุดนัดดูตารางงาน เดือนกันยายนว่างโลด เย่!!!
แต่แล้ว... เหตุก็เกิดอีกจนได้ การแสดงตอนเดือนกรกฎาคมมีอันต้องเลื่อนออกไป เมื่อกรุงเทพฯ เกิดเหตุวุ่นวายที่ทุกคนคงจำกันได้ น้ำใสใจจริง ต้องเลื่อนการแสดงมาเป็นช่วง ส.ค.-ก.ย. แทน ขำไม่ออกเลยทีนี้ เอายังไงดีล่ะชั้น ท่าทางจะไม่ได้ไปแล้วทีนี้ จริงๆ จะไม่ไปก็ได้ เพราะเงินค่าสมัครก็ยังไม่ได้จ่าย แต่ว่า... ไม่อยากเสียความตั้งใจ ความรู้สึกข้างในมันบอกว่าถ้าจะไปก็ต้องคราวนี้แหละ ไม่งั้นคงจะอีกนานแสนนานกว่าจะรู้สึกว่า พร้อม ที่จะไป
ปัญหายังไม่หมด ความยุ่งยากเริ่มขึ้นอีกตอนไปขอวีซ่า คุณจะขอ tourist visa ไม่ได้นะคะ ต้องทำเป็น student visa ค่ะ แหม... เจ้าประคุณ อิชั้นจะไปแค่เดือนเดียวจะให้ทำวีซ่านักเรียนเชียวเหรอ แล้ววีซ่านักท่องเที่ยวมันมีอายุตั้งหกเดือน (วีซ่านักเรียนแพงกว่าเยอะค่ะ) ใช่ค่ะ เธอพูดห้วนๆ ตอนนี้ที่อินเดียเขาเข้มงวดมาก ถ้าผิดประเภทเขาก็ส่งกลับเลย แต่ที่จะไปเนี่ยเป็นอาศรมนะคะ ไม่ใช่มหาวิทยาลัย ตังค์ก็ยังไม่ได้จ่าย แล้วจะเอาเอกสารอะไรมายื่น ไอ้เราก็งงจริงๆ ก็ไม่รู้ล่ะค่ะ มันก็อยู่ที่ลูกค้าว่าจะขออะไร เราก็ออกให้ทั้งนั้นแหละ แต่ว่าถ้าตำรวจไปเจอว่าคุณไปเรียนโยคะ ไม่ได้ไปเที่ยว เขาก็อาจจะกักตัวคุณไมให้กลับ อ้าว...! ให้มันได้อย่างนี้สิคุณ ยังมาลอยหน้าลอยตาขู่กันอีก แทนที่จะให้คำแนะนำกันดีๆ เป็นอันว่าวันนั้นก็ยังไม่ได้ขอ .... เซ็งสุดๆ อารมณ์เสียพนักงานคนนั้นมากๆ ด้วย
ตามล่าหาคำตอบกันอีกหลายวันว่าจะขออะไรดี ทั้งโทร.ไปที่สถานทูต ถามอาศรม ถามเพื่อนคนอินเดีย ก็ยังไม่ได้คำตอบ สุดท้ายโทร.ไปขอคำปรึกษารุ่นพี่ที่โคตรไม่สนิท แต่พี่เขาไปอินเดียมาแล้วหลายรอบ (รู้จักกันสมัยเรียนกับสถาบันโยคะวิชาการด้วยกันเมื่อหลายปีก่อน) พี่เขาฟันธง ... ขอวีซ่านักท่องเที่ยวค่ะน้อง เพราะเพื่อนพี่เคยพยายามทำให้ถูกต้อง หาเอกสารมายื่นขอวีซ่านักเรียน ปรากฏว่าตอนจะกลับกลับไม่ได้ โดนตำรวจกักตัว โทษฐานที่ทำไมมาถึงแล้ว ไม่ไปรายงานตัวกับตำรวจ แต่ก็เราไม่รู้นี่นา ... (เขาบอกว่าต้องไปรายงานตัวกับตำรวจว่ามาถึงแล้ว แล้วจะไปเข้าเรียนแน่ๆ) เลยกรอกเอกสารวีซ่าใหม่อีกรอบ คราวนี้ก็โม้เลย จะไป sightseeing, trecking, namaskar Sai Baba ก็ว่าไป ก็แค่นั้นแหละ หนึ่งวันเท่านั้น และแล้วก็ได้มาจนได้ วีซ่านักท่องเที่ยว เหอะๆๆ เกือบถอดใจไม่ไปแล้วไหมล่ะ วุ่นวายดีนัก
การเดินทางไปสู่สิ่งที่ไม่คุ้นเคย ก้าวแรกมักเป็นก้าวที่ยากสุด มีข้ออ้างร้อยแปดพันเก้าที่เราจะสรรหามาอ้างกับตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงการออกเดินทาง ความไม่กล้าที่จะเผชิญสิ่งใหม่ๆ นี่แหละ ที่ทำให้ขาเราหนักแสนหนัก แต่เมื่อได้เริ่มขาออกมาได้แล้ว ก็ถึงคราวต้องปล่อยสิ่งต่างๆ ให้มันเป็นไป ต่อจากนี้ อะไรๆ ก็ไม่ยากแล้ว เพราะตั้งใจมั่นว่าจะเรียนรู้และน้อมรับทุกๆ ประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามา เอาวะ...เป็นไงเป็นกัน คราวนี้... ต้องคราวนี้เท่านั้น
ไปแน่นอนจ้า ยื่นคำขาดกับปะป๊ามะม้าครั้งสุดท้ายก่อนวันเดินทางหนึ่งวัน พร้อมกับรูดซิปกระเป๋าเดินทาง แสร้งทำหน้ามั่นใจทั้งที่ข้างในฝ่อแทบแย่แล้ว แต่จะให้ป๊ากะม้ารู้ไม่ได้ คนอื่นไปได้เราก็ต้องไปได้สิ ถ้ามัวแต่กลัวชีวิตนี้ก็คงไม่ได้ทำอะไรกันพอดี อินเดีย ก็ อินเดีย สิ (วะ) ... ก็ได้แต่ย้ำกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วพ่อกับแม่สุดที่รักก็ยังไม่วายเตือน เอาเจลล้างมือไปยัง แล้วหน้ากากปิดจมูกล่ะ ต้องเอาไปนะ ตอนนี้เขามีโรคระบาดนะ เตรียมยาไปด้วย แล้วกระดาษทิชชู่ล่ะเอาไปหรือยัง ฯลฯ นี่ ถ้าอยู่ไม่ไหวก็กลับมานะ ไม่ต้องกลัวเสียฟอร์มหรอก พ่อยังอุตส่าห์เปิดทางไว้ให้ เชื่อเขาเลย ไม่ให้กำลังใจกันเลย
เราเลือกสายการบิน Jet Airways เพราะได้ข่าวมาว่า Indian Airlines ดีเลย์สุดๆ ออกเดินทางจากที่นี่ตอนเช้าถึงมุมไบตอนสิบเอ็ดโมง จะได้ถึงเมืองนาสิกก่อนมืด เพราะต้องนั่งรถต่อไปอีก 6 ชั่วโมง 170 กิโลเมตรตั้ง 6 ชั่วโมงเชียวเหรอ ตกใจตั้งแต่อยู่ที่เมืองไทยแล้ว เขามีสามทางให้เลือก คือ รถไฟ รถโดยสาร (แบบหาคนร่วมทางไปด้วยแล้วแบ่งจ่าย) แล้วที่แพงที่สุดคือเช่ารถแท็กซี่ส่วนตัว ที่ทางอาศรมจะติดต่อให้ รถไฟนี่เราไม่เอาแน่ เพราะ กลัว ได้ยินกิตติศัพท์มาเยอะ แล้วยิ่งโง่ๆ งงๆ อย่างเรา เอาไว้หาโอกาสขึ้นรถไฟคราวหน้าแล้วกัน แชร์รถโดยสาร อืม... จะได้แชร์กับใครก็ไม่รู้ ไม่เอาดีกว่า ชอบความเป็นส่วนตัว ก็เลยตัดสินใจเลือกแบบสุดท้าย แพงที่สุดก็ยอม (3200 รูปี โดยประมาณ) คิดว่าเป็นรถที่อาศรมติดต่อให้น่าจะปลอดภัยระดับหนึ่ง
แต่พอคุณพ่อสุดที่รักรู้เข้าก็ไม่ยอม ด้วยความเป็นห่วงนั่นแหละ "170 กิโล ทำไมตั้ง 6 ชั่วโมง มันแค่กรุงเทพฯ ชะอำแค่นั้นเองนะ แปลว่าถนนมันคงแย่มาก" เลยจัดการติดต่อเพื่อนสนิทของคุณพ่อที่เป็นไกด์อาชีพ ให้จัดการหารถของเอเจนซี่ที่นู่นให้ ทำไปทำมา จัดการอิท่าไหนอิชั้นยังงงงวย กลายเป็นว่านอกจากจะได้รถแล้ว ยังได้ตั๋วเครื่องบินเพิ่มอีกสองที่นั่ง พร้อมกับที่พักในโรงแรมอีก 3 คืน ให้ปะป๊ากับมะม้าบินไปเที่ยวอินเดียด้วย ตอนแรกนึกว่าพูดเล่น แต่เขาเอาจริงวุ้ย ยืนยันว่าจะไปส่งถึงที่ ไม่งั้นไม่ให้ไป >_< หาเรื่องลำบากให้พ่อกับแม่อีกแล้วมั้ยตู >_<
Create Date : 03 ตุลาคม 2553 |
|
5 comments |
Last Update : 5 ตุลาคม 2553 0:06:51 น. |
Counter : 3357 Pageviews. |
|
|
|