::::: เรื่องราวในอินเดีย 11 ... ตอน ออกไปเที่ยว!!!!! :::::
วันนี้ Day Off ได้ออกไปเที่ยวแล้ว อยู่ที่นี่เราจะมีวันหยุดอาทิตย์ละครั้ง สำหรับครั้งแรกนี้ ตื่นเต้นไม่น้อย คงได้ช้อปปิ้งแหลกแน่ๆ เลย โปรแกรมวันนี้คือเข้าไปเมืองนาสิก จะไปซื้อเครดิตโทรศัพท์ไว้โทร.กลับบ้าน จองตั๋วรถไฟ หาซื้อของฝากเพื่อนพี่น้องในเมืองไทย และแลกเงินรูปีเพิ่มด้วย
ระหว่างทางที่เข้าไป เราก็สังเกตบ้านเมืองเขาไปด้วย ที่นี่วัวกับควายใช้ชีวิตกันกลางถนนจริงๆ คงจะคล้ายๆ กับบ้านเราที่มีหมา, แมว ใช้ถนนร่วมกัน ที่นี่ไม่ค่อยมีแมว มีแต่วัว ควาย แล้วก็หมา เราเห็นแมวแค่สองตัวที่อาศรม เป็นแมวจากในป่า นอกนั้นก็ไม่ได้เห็นแมวที่ไหนที่เลย ส่วนหมาอินเดียนั้นตัวผอมๆ สูงๆ ดูบักโกรกยังไงๆ อยู่ หน้าตาก็คล้ายๆ กับหมาไทยเรานั่นแหละ สงสัยจะเป็นหมาเอเชียนเหมือนกัน แต่จะว่าไป หน้าคนไทยกับอินเดียก็ไม่เห็นจะเหมือนกันเลย (เกี่ยวอะไรกันเนี่ย)
เพื่อนร่วมทาง
หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในอาศรมหนึ่งอาทิตย์เต็มทำให้รู้เลยว่า อากาศในเมืองเป็นพิษขนาดไหน นอกจากควันรถแล้ว หูเรายังถูกกรอกด้วยเสียงแตร เสียงเครื่องยนต์ต่างๆ มากมาย รู้สึกไม่คุ้นเคย นี่จากเมืองใหญ่มาแค่อาทิตย์เดียวเองนะ
หลังจากแท็กซี่หย่อนเราลงที่ออฟฟิศแล้ว โยคีหนวดเฟิ้มที่ออฟฟิศก็แจกแผนที่ให้เราคนละใบ พร้อมเบอร์โทรศัพท์ของประชาญ เคท และกันดาร์ เผื่อใครหลงทาง ในแผนที่มีตำแหน่งของ Big Bazaar ห้างใหญ่ที่เราเคยไปมาแล้ว Tibetan Market, เมืองเก่านาสิก, ไปจนถึงออฟฟิศจองตั๋วรถไฟ
ที่แรกที่พุ่งตรงไปเลยคือ "ร้านกาแฟ" Lavazza (อันนี้ไม่ยักกะมีในแผนที่แฮะ เหอะๆๆ) สัปดาห์ที่ผ่านมา มีใครหลายคนบ่นปวดหัวเพราะอดกาแฟ แปลกตรงที่เราไม่มีอาการอย่างว่านั้นเลย ทั้งๆ ที่ก็กินกาแฟอยู่ทุกวัน แถมยังขายกาแฟเอง ต้องชิมกาแฟช็อตเพียวๆ อยู่แทบจะทุกวัน แต่ก็ไม่ได้ติดกาแฟ เพียงแต่กาแฟมันอร่อยดี จะมีคาเฟอีนรึเปล่าก็ไม่เป็นไร ดังนั้นเราเลยส่งเมนูเดิมคือ Decaf Iced Latte ที่อร่อยติดความรู้สึก ส่วนเพื่อนๆ คนอื่นๆ ก็ขอคาเฟอีนเต็มๆ กันไปเลย
หลังจากจัดการกับกาแฟเรียบร้อยแล้ว เรื่องสำคัญที่เราต้องทำวันนี้คือ ไปจองตั๋วรถไฟ นาสิก-มุมไบ สำหรับอีกสามอาทิตย์ข้างหน้าที่เราจะกลับบ้านกัน ที่ต้องรีบจองวันนี้ก็เพราะว่ารถไฟอินเดียขึ้นชื่อว่าคนเยอะมากๆ ค่ะ เราตามข้อมูลในแผนที่ไป ที่ออฟฟิศบอกว่าเดินไปแค่ 15 นาที ที่ไหนได้ ใช้เวลาเดินตั้งเกือบครึ่งชั่วโมง ถนนหนทางก็ไม่ดี แถมยังโอ้เอ้ซื้อผลไม้อีก ไม่ค่อยแน่ใจก็ถามทางกับคนอินเดียแถวๆ นั้น คนเมืองนี้ไม่ค่อยพูดอังกฤษกัน คำตอบที่ได้คือสั่นหัวยึกๆ แล้วยิ้มๆ ดีนะที่ Dr.Praf ครูสอนอนาโตมีบอกไว้เมื่อวันก่อน ว่าคนอินเดียถ้าสั่นหัวยึกๆ แปลว่า yes แต่ถ้าสะบัดหน้าซ้ายขวาล่ะ ก็แปลว่า no เพราะฉะนั้นเราจึงรู้ได้ว่า โอเค มาทางนี้ถูกแล้ว
แผงผลไม้ข้างทาง
พอไปถึง เราก็ค้นพบว่ามันแน่นจริงๆ แค่จองตั๋วคนก็แน่นเอี้ยดแล้ว ตารางรถไฟเต็มฝาผนัง งงสุดๆ ไม่รู็จะกรอกอะไรลงไปในแบบฟอร์มดี เราพวกเลือกชั้นรถไฟกันว่าจะนั่งชั้นไหน สารภาพตรงๆ ว่าเรากลัวมากเลย ได้ยินกิตติศัพท์รถไฟอินเดียมามากมาย เลยบอกเพื่อนๆ ว่าขอชั้นแพงๆ หน่อยเถอะ แต่กลับไม่มีใครเห็นด้วย (ไปกัน7-8 คน) เพราะไหนๆ ก็มาแล้วมัวไปนั่งชั้นแพงๆ ทำไม มติ (เกือบเอกฉันทน์) บอกให้นั่งชั้น Sleeper Class หรือตู้นอนไป คือดีกว่าชั้นสามหน่อยนึง แต่ว่าไม่มีแอร์ มีแต่เตียง (ที่ใช้เป็นเก้าอี้ยาวๆ ได้) ที่นั่งทั้งหมดเราก็จะใช้แบ่งกันนั่ง แล้วก็ใช้วางกระเป๋าเดินทางของเราด้วย ค่าตั๋วเดินทางตกคนละ 120 รูปี เดินทางสี่ชั่วโมงครึ่ง ตอนเช้าของวันกลับบ้าน
จากนั้น เราก็เดินย้อนกลับมาทางเดิม แล้วก็ออกปฏิบัติการช้อปปิ้ง มีร้านขาย gift shop อยู่แถวๆ นั้น มีของแต่งบ้านตั้งแต่เล็กๆ ไปถึงใหญ่ๆ กิ๊บติดผมแบบอินเดียๆ กระเป๋าใส่มือถือที่วิบวับมากมาย ไปจนถึงเสื้อผ้าหญิงชาย และส่าหรีแพงลิบลิ่ว (ลองใส่นะ แต่ไม่ได้ซื้อ อิอิอิ) เราได้พระพิฆเณศมาหนึ่งองค์เล็กๆ ทำเลียนแบบคริสตัล 75 รูปี เป็นพระพิฆเณศแบบเมืองนาสิก คือมนๆ ไม่มีหน้าตา ไม่มีรายละเอียดอะไร แต่ดูรู้ว่าเป็นช้างแน่ๆ ของชิ้นใหญ่ที่เราได้จากร้านนี้คือรูปเครื่องหมายโอมติดฝาผนัง เป็นรูปที่เราเห็นจาก Meditation Hall เมื่อตอนขึ้นไปทำ Karma Yoga เมื่อวันก่อน เป็นแบบเดียวกันเป๊ะ แน่นอนว่าไม่ใช่งานแฮนด์เมดแน่ แต่ดีไซน์แบบนี้ เมื่อปิ๊งแล้วก็ช่วยไม่ได้ ก็ถอยออกมาในราคาพันกว่ารูปี ซี้ดดด.... แล้วจะแบกกลับบ้านยังไงเนี่ย
รูปโอมใน meditation hall
ฝากของไว้ที่ร้านก่อน แล้วค่อยกลับมาเอา เป้าหมายต่อไป มุ่งหน้าไปยังบิ๊กบาซาร์ ที่อยู่เยื้องๆ กัน ผ่านแมคโดนัลด์ เห็นมีป้าย McVeggie กับ Veggie Puff Pie อยู่หน้าร้าน เอาละสิ หิวแล้ว ถึงที่อาศรมจะไม่ให้เรากินของข้างนอก แต่นี่มันก็มังสวิรัติแหละน่า ว่าแล้วก็เลี้ยวเข้าแมคโดนัลด์ สั่งMcVeggie รสชาติก็ใช้ได้ดีเหมือนกัน เขาเอาผักๆ มันฝรั่งๆ ทอดรวมกันเป็นแผ่น ไว้คราวหน้าจะลอง Veggie Puff Pie มาอินเดียทั้งทีต้องไม่พลาด ร้านอาหารที่นี่ (สังเกตตั้งแต่บนเครื่องแล้ว) เขาจะเขียนเอาไว้เลย Veg / Non-Veg ซึ่งแสดงว่าคนที่นี่กินอาหารมังสวิรัติกันเยอะทีเดียว โดยอาหารมังสวิรัติของอินเดียนั้นรวมถึงนมและเนย (กีร์) ด้วย แต่ไม่รวมไข่
ที่บิ๊กบาซาร์นี่ ยามก็ตรวจเข้มอีกเหมือนกัน เราต้องเอากระเป๋าของเราใส่ลงในกระเป๋าพลาสติกใสๆ รูดซิปแล้วปิดตาย เวลาจะออกต้องใช้กรรไกรตัดออก ที่นี่คงขโมยเยอะ เลยต้องทำถึงขนาดนี้ อย่างแรกที่คิดจะซื้อคือ "ขนม" Digestive Cookie ของแร็กเคลอร่อยมาก แย่งเขากินไปเยอะ คราวนี้เลยจะซื้อเอาไปแบ่งคนอื่นมั่ง ต่อมาคือถั่ว...เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ที่อาศรมมีขายแต่ซื้อบ่อยแล้วเขิน อันนี้ซื้อไว้เลยครึ่งโล ราคาไม่ถูกหรอก แต่อร่อย อยู่ที่อาศรม (คิดไปเองว่า) ขาดโปรตีน
ฮ่าๆๆ ข้อแก้ตัวชัดๆ
เสร็จจากชั้นขนมก็แว่บไปต่อที่ชั้นเครื่องใช้ในครัวเรือน มองหาน้ำยาซักผ้าแต่หาไม่มี มีแต่ผงซักฟอก กับสบู่ซักผ้า อืม.... ในห้องอาหารที่อาศรมก็ใช้สบู่ล้างจาน (แบบซันไลต์สมัยเก่าๆ) อย่ากระนั้นเลย ผงซักฟอกบ้านเรามีเยอะแล้ว ใช้สบู่ซักผ้าดีกว่า เลือกก้อนใหญ่เลย กะเผื่อเพื่อนๆ ใช้ทั้งห้องนั่นแหละ อันนี้เลือกกลับมาแล้วไม่ค่อยโอเค เพราะตอนใช้จริงกะไม่ถูก ถ้าเป็นผงซักฟอกเราจะรู้ว่าเราควรจะใส่เยอะแค่ไหน แต่อันนี้มันงงๆ ตรงที่ เอ...ถูเท่าไหร่ดี ฟองก็ไม่มี เอ๊ะ งงๆ ฮ่าๆๆๆ
ป้ายแนะนำสินค้าในบิ๊กบาซาร์
สภาพในบิ๊กบาซาร์แบบแอบถ่าย
เรากับอาเนียเดินเลือกเครื่องประดับในบิ๊กบาซาร์อีกเล็กน้อย ก็ถึงเวลาต้องกลับบ้าน เอ้ย! กลับอาศรม ก่อนเวลานัดไปรวมตัวกันที่ออฟฟิศ พวกเราก็พร้อมใจกันไปที่ร้านกาแฟ ขออีกสักถ้วยเถอะน่า... ก่อนจะกลับไปจำศีลต่อที่อาศรม
ราวๆ หนึ่งชั่วโมงต่อมา เราก็กลับถึงอาศรมในภูเขา อากาศบริสุทธิ์จนสัมผัสได้ นึกรักที่พักของเราขึ้นมาจับใจ เออหนอ...ช่างเข้าใจเลือกทำเลจริงๆ ภูเขารายรอบ อากาศสดชื่น มีความสุขจริงๆ ที่ได้มา ดูสิ วันก่อนยังอยากกลับบ้านอยู่เลย คนอินเดีย เอาเข้าจริงก็น่ารัก (เท่าที่เจอนะ) ดูเหมือนรอยยิ้มเขาจะเปื้อนหน้าตลอดเวลา คิดอะไรไม่ออก พี่แขกแกก็สั่นหัวยึกๆ ไว้ก่อน เราอวดข้าวของที่ช้อปปิ้งกันมาพอหอมปากหอมคอ แล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนรอเวลาขึ้นไปสวดมนต์ วันนี้คนขึ้นไปสวดมนต์น้อย คิดว่าคงเพราะเหนื่อยกันด้วย แปลกนะ เราอยู่ในเมืองใหญ่ทุกวันเราไม่รู้สึกอะไร แต่พอเอาตัวออกมาอยู่ในภูเขา รู้สึกเลยว่า เข้าไปในเมืองทีนี่ เหมือนถูกดูดพลังงานเลย
คืนนั้นพวกเราก็เอาของฝากที่ซื้อมาจัดใส่กระเป๋า ใครบางคนพูดแซวขึ้นมาว่า "ยังไม่ถึงสัปดาห์ที่สองเลย แพ็คกระเป๋าแล้วเหรอ" เราตอบไป "อะไร .. นี่เหลืออีกสามสัปดาห์ก็กลับบ้านแล้วนะ ต้องเริ่มแพ็คแล้วล่ะ" แล้วตกลงนี่เราอยากกลับบ้านหรือไม่อยากกลับบ้านล่ะเนี่ย เหอๆๆๆ
Create Date : 16 ตุลาคม 2553 |
|
14 comments |
Last Update : 16 ตุลาคม 2553 1:23:16 น. |
Counter : 1653 Pageviews. |
|
|
|
จำได้ว่าตอนไปซื้อของ
ต่อราคาแล้วเจอส่ายหน้าก็ขำๆเหมือนกันครับ 555
ไม่คุ้นกับการส่ายหน้าจริงๆด้วย หุหุหุ
เพราะพอต่อราคาแล้วเขาไม่ให้ เราไม่ซื้อ
พี่ก๋าก็ดันเผลอส่ายหน้าไปว่าไม่เอา 5555
ส่วนการขับรถบีบแปรนี่
ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของชาวอินเดียเลยนะครับ
ถ้ารถคันไหนไม่มีแตรหรือแตรเสีย
พี่ก๋าว่าคนขับอาจจะคลั่งได้เลย 5555