YOU are not afraid. You think YOU are afraid. ~Shantimayi~
::::: เรื่องราวในอินเดีย 14 ... ตอน Silence Day :::::

นี่เป็นวันที่ต้องมีสติอยู่กับตัวเองจริงๆ เลย
ตื่นขึ้นมาเราบอกเพื่อนๆ ว่า Good morning ไม่ได้
ถามเพื่อนว่าจะเข้าห้องน้ำก่อนหรือเปล่าก็ไม่ได้
เรียกได้ว่าตัวใครตัวมันจริงๆ เหมือนอยู่คนเดียวในโลกเลย
มันเป็นวันที่ "สงัด" จริงๆ เลย
แม้แต่จิ้งหรีดที่เคยกรีดปีกอยู่ตอนเช้า
ก็ยังพลอยร่วมวัน silence day ไปกับเราด้วย

herbal tea ตอนเช้าที่ปกติก็เงียบอยู่แล้ว วันนี้เงียบหนักขึ้นไปอีก
เราต่างไม่มองตากันและกัน หลีกเลี่ยงการสื่อสารทุกประเภท
ตามข้อปฏิบัติที่เคทบอกไว้เมื่อวาน
นั่นคือพยายามอยู่กับตัวเองให้มากที่สุด
ไม่ต้องพูดกับใคร ไม่ต้องสื่อสารกับใคร
อย่าเขียนข้อความส่งกันและกันด้วย
และแม้กับครูเอง หากมีคำถามอะไรเร่งด่วนก็ให้เขียนมา
ไม่งั้นก็เก็บไว้ก่อน ไว้ค่อยถามพรุ่งนี้
เห็นได้ชัดว่าทุกคนพยายามปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
เพราะต่างก็อยากจะสัมผัส "ประสบการณ์"
ของความเงียบด้วยตัวเองกันทั้งนั้น

Chanting ตอนเช้าวันนี้ ครูเท่านั้นที่สวดออกเสียง
ส่วนพวกเราสวดตามในใจ ซึ่งยากกว่า จิตคอยแต่จะหลุดอยู่เรื่อย
แต่ผ่านไปสักห้านาทีจิตก็นิ่งพอที่จะสวดในใจได้
ท่ามกลางความเงียบ เราก็ได้ยินความเงียบ
หมายความอย่างนั้นจริงๆ
ความเงียบในภูเขาของชนบทในอินเดียนี่มันเงียบจริงๆ
ถ้าหากไม่ใช่ Silence Day เราคงไม่ใส่ใจกับความเงียบชนิดนี้
แต่เป็นเพราะวันนี้เราสังเกตมัน เราจึงได้ยินมัน
มันไม่ใช่ความเงียบที่ไม่มีเสียง
ตรงกันข้ามมันเป็นความเงียบที่เสียงแต่ละเสียง
สอดประสานเข้าเป็นบทเพลงบทเดียวกัน
และประสานไปกับคำว่า "โอม" อันลากยาวกังวานของครู
เป็นความเงียบที่โปร่งสบาย ไม่ใช่ความเงียบอันน่าอึดอัด
เป็นความเงียบที่เสียงนกร้องที่ดังอยู่นอกหน้าต่าง
หรือเสียงใบไม้บนภูเขาไหวตามแรงลมไม่อาจทำลายมันลงได้
ความเงียบชนิดนี้ไม่ต้องการการตีความ
เราไม่ต้องคิดเพื่อให้ซึมซับความเงียบอย่างนี้
ตรงกันข้าม การอยู่เฉยที่สุดนี่แหละ
แม้ยากที่สุด แต่บทมันจะเกิดขึ้น มันก็ง่ายที่สุดเช่นกัน

วันนี้ทั้งวันพวกเราจึงอยู่กับความเงียบ
หลังกรรมโยคะในตอนเช้า เอเลนถือไม้ถูพื้นติดมือมาด้วย
เมื่อกลับมาถึงห้องเธอก็ลงมือเลยอย่างไม่รอช้า
เพื่อนๆ อีกสามคนอยู่เฉยไม่ได้ต้องหาอะไรทำ
แรกเคลประจำการในห้องน้ำ
อาเนียหยิบผ้าขี้ริ้วสีส้มเช็ดตู้เตียงหน้าต่าง (และอื่น)
ส่วนเรากระเด็นไปอยู่หน้าห้อง
ทำความสะอาดทั้งเช็ดทั้งกวาด แมลงเต็มไปหมดเลย
เสียงกระดิ่งดัง เก๊งๆๆ น้ำลายเริ่มไหล เหมือนหมาของ Pavlov
แต่ว่ายังไม่ไป ขอทำห้องให้เสร็จก่อน
เมื่อเสร็จเรียบร้อย แต่ละคนไม่พูดไม่มองหน้า
ไม่เหมือนโกรธกัน แต่เหมือนแต่ละคนไม่มีตัวตนอยู่ตรงหน้า
แล้วต่างคนต่างมุ่งหน้าสู่ห้องอาหาร
ก็ให้ความรู้สึกแปลกๆ ดีเหมือนกัน




เล็กเชอร์วันนี้น่าสนใจทีเดียว
เราเรียนเรื่อง Yoga กับความเครียด โรคอ้วน และการตั้งครรภ์

ความเครียดคืออะไร Dr.Prafulla ถามพวกเรา
ทั้งห้องเงียบกริบแทนคำตอบDr.Praf จึงพูดต่อ
ความเครียดก็คือปฏิกิริยาโต้ตอบต่อสถานการณ์ตรงหน้า
คือ fight and flight response (หนีหรือสู้)

ถ้าเรียงตามสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ

1. เหตุการณ์ 
2. สมอง/จิตรับรู้ 
3. ระบบต่อมไร้ท่อทำงาน 
4. ต่อมอะดรีนัลหลั่งฮอร์โมน (ซึ่งถ้าเครียดบ่อย หลั่งบ่อย ต่อมนี้จะเหนื่อยเกินความจำเป็น) 
5. อะดรีนาลินเข้ามาสู่กระแสเลือด (ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ใช้รับมือกับสถานการณ์ตึงเครียดโดยเฉพาะ)

ไอ้สิ่งเหล่านี้ถ้าเกิดขึ้นบางครั้งบางคราวก็ยังโอเค
แต่ว่าถ้าเกิดขึ้นบ่อยๆ ในชีวิตที่ตึงเครียดตลอดเวลาอย่างในปัจจุบันนี้ก็ไม่ดีแน่
เพราะฮอร์โมนชนิดนี้มีผลทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันเลือดสูงขึ้น ลืมหายใจ
ร่างกายอยู่ในภาวะ high alert ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเหนื่อยแน่
และนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพอื่นๆ อีกหลายอย่าง
กุญแจสำคัญสำหรับโยคะในการควบคุมความเครียดนี้คือ
ควบคุมในขั้นที่ 2 คือ สมอง/จิต ให้ได้นั่นเอง

เทคนิคคร่าวๆ ที่ใช้ควบคุมความเครียดนี้ก็คือ
1. การควบคุมการหายใจ เพราะการหายใจคือสะพานสำคัญ
ในการควบคุมระบบอัตโนมัติต่างๆ ในร่างกาย
เพราะคุณสมบัติพิเศษของระบบหายใจก็คือ
เป็นระบบเดียวในร่างกายที่เป็นแบบกึ่งคือ อัตโนมัติ แต่เรายังพอควบคุมได้

2. การเพ่งสมาธิไปที่ผัสสะเพียงอย่างเดียว
เพื่อที่จิตจะได้ไม่วิ่งไปตามผัสสะอื่น เช่นการทำตราตะกะ
ซึ่งก็คือการเพ่งมองไปที่จุดใดจุดหนึ่งเป็นเวลานานโดยไม่กะพริบตาจนน้ำตาไหล
หรือการค้างนิ่งในท่าอาสนะอย่างมีสติรู้ตัวก็มีผลแบบเดียวกันเช่นกัน

3. Nada คือการฟังเสียงจากภายใน เป็นการควบคุมจิตให้สงบ
การสวดโอมเป็นวิธีที่สำคัญในการลดความเครียด ซึ่งมีแง่มุมทางวิทยาศาสตร์รองรับ

4. โยคะนิทรา หรือการฝันอย่างมีสติ ซึ่งสามารถบำบัดความเครียดได้คล้ายๆ กับการสะกดจิต




ต่อมาเรื่องโรคอ้วนบ้าง
Dr.Prafulla เล่าให้ฟังถึงปัจจัยที่นำไปสู่โรคอ้วน ซึ่งก็อย่างเช่น
1. family habits เช่นบ้านนี้นิยมกินขาหมู เพราะพ่อแม่ชอบก็เลยให้ลูกกินด้วย
หรือบ้านนี้ไม่ชอบออกกำลังกาย ลูกๆ ก็เลยไม่ชอบไปด้วย

2. eating habit เอานิสัยการกินก่อน ยังไม่ต้องพูดว่ากินอะไร
อันนี้ก็เช่น ชอบกินจุบกินจิบหรือเปล่า กินไม่หยุดหรือเล่า ชอบกินขนมอะไรงี้

3. กินดึกๆ อันนี้ล่ะตัวดีเลย เพราะอาหารต้องใช้เวลาย่อยเกือบสามชั่วโมง ร่างกายถึงจะเอาไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าย่อยไม่เสร็จ มันก็แบละๆ อยู่ตรงพุงนั่นแหละ

4.Social Eating โอ้โห … อันนี้โดนเต็มๆๆๆๆๆๆๆ ไปเลย กินเพราะเจอเพื่อน อยากคุยกัน เลยไปนั่งร้านกาแฟ อย่างนี้เป็นต้น

5.ฯลฯ มากมายก่ายกอง

แล้วจะรู้ได้ไงว่าตัวเองอ้วนหรือแค่คิดว่าตัวเองอ้วน
ก็นี่เลย วัดค่า Body Mass Index หรือBMI ซะ
อย่างที่สาวๆ หลายคนคงเคยทำกันมาแล้ว
ง่ายๆ ก็คือBMI = น้ำหนัก(กิโลกรัม) / ส่วนสูง (m) x ส่วนสูง (m)
ได้ค่าออกมาเท่าไหร่ก็เอามาเทียบค่า

น้อยกว่า 18.5 = ผอมเกิ๊นนนน
18.5-23 = กำลังสวย
23-25 = อวบระยะสุดท้าย ลดตอนนี้ยังทัน
มากกว่า 25 = แย่แล้ว ต้องหาหมอแล้วจ้า!

แล้วโยคะเข้ามาช่วยได้ยังไง : ในเบื้องต้นก็ช่วยได้แบบเบสิคๆ
ถ้าอ้วนมากๆ จริงๆ ก็ต้องไปหาหมอนะจ๊ะ
โยคะจะช่วยให้เราใส่ใจสุขภาพ มีสติมากขึ้น และปรับสมดุลได้

1. อย่างแรกเลยคือ สุริยนมัสการ ทำไปเลย32 รอบต่อวัน

2. อันนี้น่าสนใจมาก คือท่า ยืนด้วยไหล่ และท่าปลา
สองท่านี้จะไปกระตุ้นต่อมไทรอยด์โดยตรง
ซึ่งต่อมนี้ควบคุมการทำางานของความอยากอาหารและความอิ่ม
อาสนะสองท่านี้จะทำให้ต่อมนี้แข็งแรงและทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
คนที่กินมากไปก็จะกินน้อยลง และคนที่กินน้อยลงก็จะกินเพิ่มขึ้น
ดังนั้นจึงไม่ได้มีประโยชน์แค่ลดน้ำหนักนะ แต่จะปรับร่างกายเข้าสู่จุดสมดุล
แต่ผู้หญิงมีประจำเดือนห้ามทำท่ายืนด้วยไหล่นะจ๊ะ

3. ท่าบิดกระดูกสันหลัง อันนี้จะช่วยในระบบย่อยอาหารข้างใน
ย่อยดี ดูดซึมดี ร่างกายเอาไปใช้ได้ดี ก็จะไม่รู้สึกน้ำตาลตกอยากกินนู่นกินนี่ตลอดเวลา
อีกอย่างการบิดแล้วค้างอยู่ในท่านานๆ เท่ากับเรากำลังบีบไขมันรอบๆ เอวให้แตกตัว
และแน่นอน เอวบางร่างน้อยก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว

4. ท่าอูฐ หรือว่าท่าวัชระนอนหงาย ซึ่งจะทำลายไขมันที่หน้าขาและพุง
อาสนะท่ายืนต่างๆ ถ้าน้ำหนักไม่มากเกินไปยังพอทำไหว
ทุกท่าดีหมด แต่ต้องระวังเจ็บเข่าเพราะน้ำหนักตัวด้วย

5. การฝึกปรานยามะ และสัทกรรม :
เป็นการเพิ่มความร้อนในร่างกาย และดึงเอาไขมันส่วนเกินออกมาใช้
เช่น การฝึกกะปะละบาติ อัคนิสา และ อุทธิยานะพันธะ

สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ การฝึกโยคะไม่ใช่เพื่อการลดน้ำหนัก
แต่เป็นการปรับร่างกายเข้าสู่สภาพปกติสมดุลของแต่ละบุคคล
เพื่อสุขภาพที่ดีที่สุด และน้ำคนคนนั้นไปสู่ศักยภาพสูงสุดที่สามารถไปถึงได้




(PrenatalYoga โยคะสำหรับคนท้อง เขียนต่อบล็อกหน้านะคะ)




วันนี้เราอยู่ในความเงียบจนถึงเวลาประมาณ 16.30 น.
เพราะหลังจากนั้นเป็น Micro Lesson ที่เราจะมาฝึกสอนกัน
จึงต้องออกจาความเงียบกันแต่เพียงเท่านี้
แต่แปลกที่หลังจากอยู่ในความเงียบมาเกือบทั้งวันแบบนี้
พอบทจะให้พูด มันไม่รู้จะพูดอะไร มันเงียบๆ อยู่ในตัวเองแปลกๆ
แม้แต่คนที่พูดมากที่สุด พูดมันทุกเรื่องอย่างริชาร์ด
ที่เปรยๆ ไว้ตั้งแต่เมื่อวานว่าอยากรู้ตัวเองจะเงียบไหวมั้ย ก็ยังพลอยเงียบไปด้วย
รู้สึกได้เลยว่า ไอ้ความสงบที่มันเกิดจากข้างในเนี่ยมันเป็นยังไง
แม้จะเป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ และเป็นความสงบเพียงกระผีกเดียวของนักพรตผู้แก่กล้าก็ตาม
แต่ได้สัมผัสเพียงเท่านี้ หัวใจมันก็ชุ่มเย็นอย่างประหลาด (เว่อร์ไปๆๆๆ)
บางคนติดใจ หลังจาก Micro Lesson ก็ขอ silence ต่อไป
วิธีการก็คือแขวนป้ายไว้ที่หน้าอกว่า

I'm in silence.
ฉันยังเงียบอยู่

ทุกคนก็จะเข้าใจตรงกัน และไม่มีใครไปสุงสิง เอ้ย! รบกวน
อ้อ...ป้ายนี้เบิกได้ที่เคทค่ะ เธอคือนางฟ้าที่จัดหาทุกอย่างให้พวกเรา ฮา...

เมื่อวานลืมเล่าเรื่องพระพิฆเณศ
ช่วงนี้มีงานเทศกาลเฉลิมฉลองพระพิฆเณศ
ก่อนอาหารเย็นวันนี้ ก็จะมีพิธีกรรมเล็กๆ น้อยๆ
ที่หน้ามีรูปปั้นเล็กๆ ของพระพิฆเณศที่ครูนำมาตั้งไว้หน้าห้องครัว
เครื่องหมู่บูชาพร้อม และขนมหวานนนนน!
มีการร้องเพลงบูชา พร้อมกับวนๆ ถาด แบบฮินดู
เสร็จปุ๊บก็มีขนมหวานนนนนให้กิน เราจะได้ขนมแบบนี้ทั้งหมด 10 วันเชียวค่ะ




หลังอาหารเย็นวันนี้มี discussion ให้เราพูดถึงความรู้สึกต่อ silence day ครั้งแรก
ความรู้สึกของทุกคนออกจะคล้ายๆ กัน คือสบายมาก
ไม่มีใครรู้สึกอึดอัดที่ต้องอยู่เงียบๆ กับตัวเองเลย
ออกจะชอบกันด้วยซ้ำที่ไม่ต้องยุ่งอะไรกับใคร
มีเวลาส่วนตัวได้โดยที่ไม่ต้องอยู่คนเดียว อันนี้ทำให้เราคิดไปถึงตอนอยู่ม.ปลาย
เราเคยเขียนลงใน webboard สักที่ (ตอนนั้นยังไม่มี weblog ให้เล่น)

...อยากเหงา แต่ไม่อยากเหงาคนเดียว
ได้ไหม อยากเหงาด้วยกันหลายๆ คน
อยากมีใครมานั่งเหงาเป็นเพื่อน
เธอช่วยมานั่งเหงาใกล้ๆ กันหน่อยได้ไหม...


(แหะๆ อารมณ์ม.ปล๊ายยย ม.ปลาย วิ้วววว!)






Create Date : 27 ตุลาคม 2553
Last Update : 27 ตุลาคม 2553 8:32:15 น. 4 comments
Counter : 893 Pageviews.

 
สงสัยพี่ก๋าต้องหัดทำสุริยนมัสการวันละ 32 รอบครับ 555

ตอนนี้พุงกลมมากเลย 5555

เฮ้อ --- เวลาอ้วนแล้วจะผอมนี่ยากจริงๆเลยนะครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 27 ตุลาคม 2553 เวลา:10:31:47 น.  

 
ค่า BMI = 23.1 นี่ จะถือว่าหุ่นกำละงสวย หรือว่าอวบระยะสุดท้ายดีน้อ


โดย: ฟ้าสางที่ปางสวรรค์ วันที่: 27 ตุลาคม 2553 เวลา:20:13:15 น.  

 
ฝึกโยคะมาสามสี่ปีแล้วค่ะ
มีปีกว่าที่ผ่านมาห่างหายไปบ้าง

แต่โยคะก้อยังอยู่ในกะตัวตลอดค่ะ



โดย: TheKPP วันที่: 27 ตุลาคม 2553 เวลา:23:02:51 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับน้องเสี้ยว









โดย: กะว่าก๋า วันที่: 28 ตุลาคม 2553 เวลา:7:29:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

gluhp
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Here...
I'm on the rooftop

Between...
pavement and stars.

Here's...
hardly no day
nor hardly no night

There're things...
half in shadow
and half way in light

It's where...
I gather my thoughts
and grow my dreams

which...
are scattered
all around

In my words,
my songs,
my dance.

คน นั่งจ้องชีวิต
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
27 ตุลาคม 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add gluhp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.