กุมภาพันธ์ 2553

 
1
2
3
4
5
6
7
8
10
11
12
13
14
15
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
 
 
All Blog
หมอเถื่อน ณ บ้านไพร ตอนที่ 30


กองไฟกำลังกินลามไม้เล็กเสียงเปรี้ยะปะ ส่งเปลวและความร้อนแผ่กระจายไปทั่วทั้งโถงถ้ำ แสงนวลอันแผ่ไปคล้ายแสงอำพันแลดูสุกใส เกิดการสะท้อนกับหินเขี้ยวหนุมานจนเกิดประกายระยิบระยับ มองดูคล้ายหมู่ดวงดาวน้อยใหญ่ อันมีเต็นท์น้อยลอยอยู่เป็นศูนย์ กลาง ความอบอุ่นอันแผ่ซ่านออกมา เนลอญนั่งสัปหงกอยู่ข้างๆพลันคอตกจากเข่าสะดุ้งตื่นทันที ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เวลาประมาณสองทุ่มกว่าๆ เขาเผลองีบไปเพียงเล็กน้อยประมาณห้านาที และยังไม่ทันที่ฟืนไม้เล็กที่โยนเข้ากองไฟจะไหม้หมดด้วยซ้ำ มองไปข้างตัว เพื่อนของเขาก็ยังคงนั่งหลับอยู่ในท่าเดียวกัน
“เต๊อะ...นายตื่นๆๆ”
มือเขย่าคอ จนหัวคลอน พลันเต๊อะก็สะดุ้งตื่น โงศีรษะขึ้นทันที ผู้ช่วยมือซ้ายของนายหมอ มีท่าทางตกใจจนร้องเสียงเอะอะ เมื่อฟื้นขึ้นมา ใบหน้าซีดเปิด มือกุมอก หายใจหอบแรงถี่ จ้องหน้าเพื่อนอย่างไม่เชื่อสายตา พูดเร็วปรื๋อ
“เนลอญ...”
เรียกชื่ออีกฝ่าย จนน้ำลายฝืดคอ
“อะไร?”
“กันฝันร้ายวะ”
“เหรอ แล้วมาบอกทำไม!?”
หนุ่มชาวมอญหน้าศิวิไลซ์ มือขวาคนสนิทของนายหมอถึงกับคิ้วขมวดย่นยุ่ง หยิบไม้ได้ ก็ซุนกองไฟแรงๆจนฝอยไฟกระจาย ไม่สนใจในอาการของเพื่อนคู่หูชาวกะเหรี่ยง พอไฟในกองสว่างลุกโซน ก็เห็นเค้าหน้าอันจริงจังเงียบขรึมอยู่เช่นนั้น

เต๊อะยิ่งกางแขนกลางมือวาดความน่ากลัวต่อ“จริงๆนะ ฝันบรมร้ายเลย ให้ตายดิ้นกระ แด่วๆตอนนี้เลยก็ได้ ถ้าไม่ได้แกเรียกปลุกเสียก่อน ป่านนี้กันล่องลอยไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ยังกะไปแอดแวนเจอร์นอกโลกมาเลย บรื๋อ...ตอนนี้ก็ยังขนแขนลุกยังสแตนด์อัพอยู่เลย เห็นมั้ยๆ”

กะเหรี่ยงหนุ่มหล่อมาดเซอ พยายามชี้แขนของตนให้เพื่อนดู แต่อีกฝ่ายได้แต่โคลงหัว เบือนหน้าหลบเห็นเหมือนเรื่องไร้สาระ เอาไม้ลงเขี่ยๆหัวเผือกในกองไฟ กลิ้งหลุนๆออกมาแล้วส่าย หัวดิกกับคำพูดเหมือนเพ้อเจ้อของเพื่อน เนลอญคิ้วขมวดเข้มอย่างไม่ศรัทราต่อคำพูดของเพื่อนมากนัก หันมามอง

“ฝันไปเป็นตุเป็นตะอะไร? ของเอ็งหะ แล้วในฝันเจอคนจำนวนมาก รวมทั้งพวกเรา และใครอีกไม่รู้มากมายไหมละ เจอเครื่อง บินเอย เรือรบเอยด้วยไหมละ”
“นายรู้ได้ยังไง?” เต๊อะฉงนในความคำของเนลอญ จ้องหน้าเพื่อน อึ่งไปชั่วขณะ เนลอญไม่สนใจหยิบเผือกเผาขึ้นมาทั้งร้อนๆ แล้วพลันเดาะไปมาเพราะลวกมือ เป่าลมฟู่ๆเหมือนจะให้ความร้อนมันปลุกสติของตน

“ไม่ได้ฝันไปนี่หว่า”พูดเสียงเข้มแต่เหมือนพูดกับตนเองเสียมาก กว่า ท่ามกลางแสงไฟอันแลบเลีย ผิวเหมือนทองทาของเจ้าหนุ่มชาวมอญ กลับปรากฏริ้วรอยของความหวาดกลัว นัยน์ตาไหวระริก และเต๊อะก็แยกเขี้ยวหน้าแหย ชี้นิ้วสั่นๆไปที่ใบหน้าเครียดของเพื่อนสนิท อีกฝ่ายก็มีอาการแย่พอกันพอหันหน้ามา ดวงตาลอยๆ ลูกกระเดือกของเนลอญกระดกขึ้นลงอย่างฝืดๆขึ้นลงเสียหนึ่งครั้งก่อนตอบ

“เออ...เจอเหมือนกันหรือ นึกว่าโดนอยู่คนเดียวเสียแล้ว ฝันอะไรก็ไม่รู้หมือนจริงเป็นบ้า แต่กันจำได้แต่เพียงว่า ตอนเผลอหลับไปแล้วฝันในฝัน ก็อยู่ใกล้เต็นท์ของนายเรานี่แหละ แต่ก็เข้าไปใกล้ไม่ได้ เหมือนมีอะไรมาดึงดูดให้ลอยห่างออกไป ทุกทีๆ ก่อนจะเห็นอสุรกายมากมายมันแห่มารุ่มล้อมเต็นท์ของนายหมอเอาไว้ ผิวของพวกมันดำสนิท มีสรีระร่างกายโตใหญ่มาก ประกอบไปด้วยเล็บมือและเล็บเท้ายาวเหมือนมีดดาบ พวกมันพยายามใช้เล็บมือและเล็บเท้าเกาะตะกุยผ้าใบเต็นท์นอน บ้างก็ห้อยโหนโยนตัวให้พัง ตอนนั้นกันพยายามตะโกนเรียกนายของเราเสียคอแหบคอแห้ง แต่ไม่มีเสียงออกมาเลย”

เต๊อะขยับเข้ามาชิด มือจับแขนเพื่อนไว้มั่น “และในจำนวนนั่นมีอยู่ตัวหนึ่ง มีลำตัวท่อนบนเป็นผู้หญิงที่สวยมาก สวยเหมือนกันเออ...”เนลอญเหลือกตาไม่อยากจะพูด ว่านางอสูรในนิมิตของตน เหมือนดาวพระเกตุคู่หมั้นหมายของนายหมอ ซึ่งบัดนี้ได้เข้าไปนอนอยู่กันนายหมอแล้ว เต๊อะเสริมมาเบาๆ ปะติดปะต่อความจำ มองหน้าเพื่อนแทบลืมหายใจ

“แต่...มีท่อนล่างเป็นงูยาวเฟือยเลยใช่ไหมเต๊อะ ท่อนบนกลับเป็นนางงามเลยใช่ไหม และนางงูตนนั่น ก็เอาลำตัวขดรัดเต็นท์เอาไว้ ดวงตาของนางน่ากลัวมากเหมือนสีอำพันสะท้อนแสงได้ มองกราดเดียวอสุรกายตัวอื่นๆแตกกระเจิงหมด หล่อนชี้หน้ามาที่ฉันด้วย ไม่ให้เข้าไปใกล้ ก่อนนางอสูรจะเลื้อยเข้าไปข้างในได้ เพียงตัวเดียว แปลก... ตัวมันใหญ่มากแต่ไหงเข้าไปในได้หมดได้ยังไงก็ไม่รู้ เฮ้อ...นี่ฉันไม่เคยฝันอะไรที่มันเป็นตุเป็นตะเสมือนจริงขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้สิน่า”เนลอญกัดเผือกเคี้ยวกรวมๆ ทั้งเอามือเท้าคางอย่างกลุ้มใจ เต๊อะ คว้าได้ลูกหนึ่ง ไปกัดกินอย่างตะกรุมตะกราม พูดทั้งของกินเต็มปากว่า

“เนลอญ เราสองคนคงกินมากฝันมาก แถมยังเก็บเอาใบหน้านายหญิงคนใหม่ของพวกเรา เข้ามาในความฝันอีก เห็นทีต้องหายาขับพยาธิออกบ้างเสียแล้วละ ฮ่าๆๆ” อีกฝ่ายยิ้มเนือยๆ“คงงั้นมั้ง...” กัดกินอาหารต่อ อย่างไม่เคลือบแฝงอีกต่อไป
“เป็นอันว่าเราสองคนเผลอหลับยามไปทั้งคู่ ฮ่าๆๆ ให้มันได้ยังงี้เซ...”
เต๊อะสรุปความ สลัดความคิดนั่นทิ้งได้ง่ายกว่าเนลอญเสียอีก
“ชู้วว...อย่าเอ็ดไปประเดี๋ยวนายเราตื่น”เนลอญเตือน เต๊อะเปลี่ยนมาสำรวจข้างตัว หันไปมองที่ว่างอีกที่อันว่างเปล่าจากที่เคยมีอภิรักษ์นอนอยู่

“ก็นายแกลุกไปโน้นแล้ว คงลำคาญเสียงเอ็ง กันว่าเรารีบเอาของกินไปแบ่งพวกเราข้างนอกกินกันด้วยดีกว่า” ทั้งสองคู่หูองครักษ์เงียบนิ่ง มองตามร่างสูงใหญ่แบกถุงนอนออกไป แต่ก็พอจะเดาสา เหตุได้ว่าเพราะอะไร หนุ่มใหญ่ต้องแยกที่นอนไปกะทันหันในคืนพิเศษนี้ ปากถ้ำกว้างลึก ห่างไกลไปประมาณสองร้อยเมตร มีกองไฟย่อมๆ ซึ่งเห็นเงาพวกเล่าอูแต่ละคนกำลังเฮฮา เสียงดังแววๆกันอยู่

“นายอภิรักษ์ย้ายที่นอนไปทำไมหว่า”
“นายอภิรักษ์คงไปดูพวกเล่าอูที่อยู่ข้างนอกละมั่ง พวกนั้นกำลังเสียงดังกันทำไมก็ไม่รู้” เห็นร่างสูงใหญ่เป็นเงาตะคุ่ม เดินแบกถุงนอนจากไปอย่างเงียบๆ ทั้งสองพลันคิดถึงเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นมา

เนลอญหันมาพูดบ้าง“ว่าไป ก็สงสารนายอภิรักษ์นะ ที่ไม่อยู่ๆก็มีผู้หญิงจากที่ไหนก็ไม่รู้มาแย่งคุณหนูของแกไป คุณเกตุเป็นใคร? มาจากไหน? พึ่งจะเห็นหน้ากันไม่ถึงอาทิตย์ด้วยซ้ำ ก็มาคว้าคุณหนูทายาทเศรษฐีไปเสียแล้ว แถมยังเป็นฝ่ายมารวบรัดตัดตอนอยู่ข้างเดียว จนขนาดนายอภิรักษ์ยังแก้ไขอะไรไม่ได้เลย”

เต๊อะก็ได้แต่เพียงพยักหน้าตาม ไม่ออกความเห็น

ปากถ้ำตรงไปโดยไม่มีคดโค้ง เห็นแสงก่อไฟอยู่ลิบๆของพวกเล่าอู พอเริ่มก้าวเดินก็เจอเอาพวกงูเลือยหนีแสกสากไปกับพื้นกรวดอยู่หลายตัว ทั้งสองแปลกใจว่าในนี้ก็มีงูอยู่ด้วย แล้วเต๊อะก็เอียงคอชำเลืองกลับไปยังเต็นท์นอน อันเป็นเรือนหอหลังน้อยไปด้วยกัน ความเงียบงัน ไม่มีเสียงหรือสิ่งเหตุอันใดเหมือนว่าคนข้างในได้หลับไปแล้ว เต๊อะเห็นดังนั้นก็เอียงคอมากระซิบกระซาบกับเพื่อนทันที

“เงียบ...ไม่ได้ยินเสียงอะไรหรือมีอะไรไหวยวบยาบเลย จะเป็นเรื่องมั้ยนะพี่หมอคนสวยของเรา หุหุ มีสาวสวยมานอนด้วยทั้งที กลับไม่ทำอะไรเลย นี่คงจะเอาแต่หลับนอนอย่างเดียวจนทิ้งเจ้าสาวไปแล้วแหงๆ เสียดายเจง วุ้ย”

“เอ็งก็ปรามาสนายหมอ”เนลอญตำหนิเพื่อนด้วยนิสัยคนตรง

“กันเชื่อว่านายของเราต้องทำเรื่องอย่างว่าได้แน่ แต่...คงต้องอาศัยเวลาหน่อยก็เท่านั้น ขอสำคัญ ตอนนี่เราอย่าอยู่เป็นที่เกะกะ ให้คู่รักเค้าต้องเกร็งละกัน นายอภิรักษ์ก็คงรู้เลยรีบย้ายที่นอนไปก่อน”

เต๊อะพูดพร่ำไปสั่นหัวไป ทำเสียงปากจิ๊กจั๊ก อย่างเสียดาย เจ้าหนุ่มหล่อไว้เครา ใบหน้าคมสัน ลูบเคราของตนเบาๆแล้วยิ้ม เมื่อนึกถึงรูปร่างชวนใจของเกตุตอนใส่แต่เสื้อเชิ้ตเผยเรียวขาสวยๆ สะโพกกลมแน่นน่ามอง จนคนข้างๆเขม่น โดดตบหัวเข้าให้

“นี่แน่ะไอ้จอมลามก จอมเจ้าชู้ไม่เลือกไปที่ไหนก็มีแต่หญิงติด ก็เอ็งตั้งหน้าตั้งตาจะแอบฟังเขาอยู่อย่างนี้ แล้วนายหมอจะกล้ามีอะไรๆได้ไง ไปๆ เรารีบเอาเผือกไปให้พวกอยู่ยามข้างนอกกันดีกว่า อยู่อย่างนี้นายหมออาจยังเกร็งคนข้างนอกอย่างเราจนไม่เป็นอันทำอะไรซักที” เต๊อะหัวเราะเเหะๆ เกาท้ายทอย

“เป็นกันหน่อยไม่ได้ ป่านนี้คงได้อย่างน้อย...”ชูสองนิ้วหน้าตาเฉย เพื่อนหัวเราะ

“บ้า คนนะไม่ใช่แมงปอแค่ไม่กี่นาทีจะผสมพันธุ์กันได้ตั้งหลายรอบ” ก่อนแปรลูกเตะเข้าให้โทษฐานทะลึ่งโลน สองคู่หูต่างเฮฮาเดินกอดคอกันไปโดยไม่เปิดไฟฉายเพราะเห็นเป้าหมาย หมู่พรรคพวกอันตรงไปสุดปากถ้ำ



ภายในเรือนหอหลังน้อย กลิ่นของความสุขยังคงอบอวล สองร่างชายหญิงหล่อสวยสมกัน ราวกับเทพบุตรเทพธิดาในวิมานสวรรค์ ทั้งคู่ต่างแลกเปลี่ยนลมหายใจซึ่งกันและกันอย่างใกล้ชิด มิติเวลาในวิมานน้อยกลับแตกต่างออกไปจากภายนอก ชั่วเวลาเพียงสั้นๆกลับยาวนาน และอย่างเพียงพอให้คู่รัก ได้ปล่อยกายปล่อยใจไปตามแรงปรารถนาของกันและกัน จนสุขสมไปครั้งแล้วครั้งเล่า

กฤษณ์มองหญิงสาวซึ่งนอนหลับใหลบนไหล่ของเขา ด้วยแววตาอ่อนโยน หัวใจอันอิ่มเอิบ ใน...ที่สุดก็ได้มาอยู่ด้วยกัน เธอยังคงงดงาม ดวงหน้ารูปไข่ หวานปานจะหยด ปากแดงอิ่ม ขนตาหนาเป็นแพ ล้อมดวงตาหลับพริ้ม คิ้วเรียวสวย จมูกเล็กโด่งเชิดขึ้นแบบคนดื้อ ผิวสวยนวลเนียนใสไม่ได้เติมแต่ง ร่างเล็กที่เขากอดนอนทั้งคืนอบอุ่น เต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนใจของหญิงสาววัยสิบแปดปี มือขาวของคุณหมอหนุ่ม จับลูบไล้ไปตามต้นแขนเรียวสวยแต่แข็งแรงแบบนักกีฬา ลงมาจนสัมผัสกับหัวแหวนเพชรเม็ดงาม เครื่องหมายของการผูกมัดระหว่างเขาและเธอ กฤษณ์มองอย่างชื่นชมก่อนขึ้นมาจูบเบาๆ พร้อมสัญญากับหัวใจว่า เขาจะไม่ยอมให้เกิดอันตรายต่อเธอที่รักคนนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

“เกตุจ๊ะ”
“อือ...”
“มองหน้าพี่หน่อยสิ หลับอยู่หรือเปล่า”
สองมือของชายหนุ่มได้รวบวงหน้ารูปไข่ อันสวยหวานของหญิงสาว อย่างทนุถนอม ตามองเพ่งพิศอย่างเสน่หาในของรักอย่างไม่วางตา ความ มหัศจรรย์ที่เธอมอบให้ ทำให้กฤษณ์สุขสมแทบลืมวันลืมคืน นิ้วมือไล้แก้มนวลไปมาอย่างหลงใหล ราวกับเป็นสิ่งมีค่าที่สุดในโลกอยู่ตรงหน้า หญิงสาวเบือนหน้าหลบนิ้ว ตาแดงเรื่อคล้ายถูกขัดใจอะไรบางอย่าง เจ้าสาวผู้ฉ่ำรัก
กอดเขาไว้แน่น เหมือนจะให้ร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกัน
“กอดน้องไว้แน่นๆนะอย่าจากน้องไปอีกนะ” เธอไม่ยอมคลายวงแขน
“ทำไมละ”
เกตุเงยหน้ามาสบตาเขาเพียงนิดก่อนเบือนหลบ น้ำในตาไหวระริก จากที่ยังนอนสบอยู่บนอก
“น้องกลัวคะ กลัวว่านี่ไม่ใช่ความจริง พอตื่นขึ้นมาแล้วทุกอย่างมันเป็นเพียงแค่ความฝัน ฝันว่าน้องหลงรักพี่หมอข้างเดียว รักมากตั้งแต่วันแรกพบแล้วด้วย”
เสียงกระซิบหวานของเขาที่ข้างหู ยืนยันคำรัก

“ให้พี่หมอออกไปก่อนนะ”
“ไม่อาว...”หล่อนดื้ออย่างเดียว
“ไม่เหนื่อยบ้างหรือไงจ๊ะแม่นักกีฬาคนเก่ง”
นิ้วเสยคางจะจ้องตา เกตุหน้านิ่ว กอดเขาโคลงเคลงเขย่าไปมา เหมือนไม่อยากให้ขัดใจ กอดเขาไว้แน่น หลับตาปี๋ ไม่ยอมปล่อยชายคนรักให้ห่าง เรี่ยวแรงของนักกีฬาสาว ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนว่าเคลือนไหวไม่ได้เลย จนชายหนุ่มต้องถอนลมหายใจเบาๆ

“อย่าหักโหมนักเลยนะ พรุ่งนี้เรายังต้องมีภารกิจอีกมากรู้ไหมเอ่ย”

คุณหมอหนุ่มผู้เข้าใจธรรมชาติของผู้หญิง รู้แล้วว่า เด็กสาว เริ่มติดใจในเรื่องเพศเข้าแล้ว จากเคยเป็นแต่ผู้ให้คำปรึกษากับผู้อื่น แต่ตอนนี่ต้องกลายมาเป็นคู่กรณีเสียเอง เด็กสาวมากมายเสียพรหมจรรย์ก่อนเวลาอันควร หลังจากเสพสัมพันธ์ครั้งแรก จนเตลิดเปิดเปิงเสียคนไป โชดดีที่ผู้ชายคนแรกของเกตุ คือคนที่จะเป็นสามีอย่างเขา กฤษณ์สัญญาจะไม่ให้ชายใดมาแตะต้องภรรยาของเขาคนนี่ได้อีก และพร้อมจะทำลายคนทุกคนที่คิดจะมาแย่งเธอไป มันเป็นความเห็นแก่ตัวครั้งแรก ที่พึ่งเกิดขึ้นในใจของคุณหมอผู้เสียสละตนเองเพื่อผู้อื่นมาตลอด

หญิงสาวชักคิ้วตึง เมื่อเขาเอาแต่มองนิ่งไม่ตอบสนอง

“เคืองพี่เรื่องอะไรอีกละหึ? เอาเล็บข่วนหลังพี่อีกแล้ว อะโอ้ย พี่เจ็บนะ”

เล็บมือน้อยหยิกข่วนอย่างจงใจ หล่อนเริ่มกัดเขาด้วย กฤษณ์รู้สึกว่า เธอเริ่มเปลี่ยนไปอีก เริ่มเป็นฝ่ายกระทำเองมากขึ้น เหมือนนางงูเห่าในตอนแรก

“พี่หมอเหนื่อยแล้วเหรอ!?คะ”

หัวใจของชายหนุ่มนั่นพองโตด้วยความรัก และความเสน่หาจนไม่อาจถอน เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดซึมจนจับรวมกัน แม้เหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็พร้อมยิ้มรับ
ความรักความหลง ทำให้เขาเหมือนตกอยู่ในไฟของกิเลส กฤษณ์ไม่อาจได้ยินเสียงของพระคุณเจ้า ที่พยายามส่งผ่านมาได้อีกเลย

“ก็ได้จ๊ะ พวกนักกีฬานี้แข็งแรงจังเลยนะ”ชายหนุ่มถอนใจเบาๆ กับเด็กดื้อร้ายเหลือประมาณคนนี้ กฤษณ์คงไม่ทันเห็นหรอกว่า คู่รักคู่นอนของเขา กลับมามีดวงตาแบบนางงูเห่าอีกครั้ง ดวงตาแห่งมาร ผู้ต้องการเสพกามตัณหาไม่สิ้นสุด




อาทิตย์ส่องแสงทองอยู่หลังม่านภูเขาเขา เมฆหมอกหนายามเช้ามืด มากเสียจนมองอะไรคลุมเครือขาวมัวไปหมด กระแสลมเย็นจับจิตโชยพัดมาโกรกช่องหิน บนหน้าผาใหญ่ ส่งเสียงครางหวีดหวิว แต่ก็ถูกกลบสะมิดจากเสียงฝีเท้ากระทบดินดังกระหึม จากคนมากกว่าสองร้อยคน

ในหมู่ดงไม้ตระกูลยางเบื้องล่างผาไกลออกไป ต้นเต็งยืนต้น แสมสลับกับหมู่ไม้ใหญ่น้อย โผล่เห็นแต่ยอด กิ้งใบไหวอยู่ลางๆในม่านหมอก เพราะมีการเคลื่อนไหวอย่างมากมายอยู่เบื้องล่าง พวกทหารป่าสัญชาติกะเหรี่ยงต่างเร่งระดมพล ด้วยกำลังพลกว่าสองร้อยคน แม้ทุกอย่างจะขุนมัว แต่ไม่อาจจะปิดบังสายตาจากพวกคนข้างบนหน้าผาได้เลย

ช่องหินผาไกลสูงขึ้นไปนั่น ยังคงมีร่างๆหนึ่ง ยืนเฝ้ามองอยู่
“จ๊าดง่าว แต้ๆหมู่สู ฮ่าๆๆ...”คำสบถหยาบภาษาเหนือของทหารคนเมือง จนร่างใหญ่เป็นโอ่งต้องเดินเข้ามาใกล้

“เจออะไร รีบรายงานมาเร็วๆ ไอ้แม็ก!”

หมู่แม็กลดกล่องส่องทางไกล หันมายิ้ม และพยักเพยิด ส่งกล่องให้จ่าไปส่องดูเอง“พวกทหารกะเหรี่ยงพวกมันเริ่มรวมพลกันแล้วครับ เอาตั้งแต่เช้ามืดเลย พวกมันกำลังจะออกจากแนวป่า มารวมกันอยู่ที่ลานหินโล่งหน้าถ้ำ แต่มันไม่พ้นสายตาของเราไปได้หรอก กล่องส่องกลางคืนอินฟาเรด นี่มองได้ชัดแจ๋วเลยครับ แม้ในม่านหมอกก็เห็น”

“รู้แล้ว! ไอ้ง่าวแม็ก นั่งอยู่นี้ ก็ได้ยินเสียงพวกมันรวมพลอยู่เต็มๆสองรูหูเลย”
จ่าปรี่เข้ามาใกล้ แล้วคว้ากล่องไป ส่องเองบ้าง แล้วเสียงทุ่มต่ำก็รายงานมาทันที เสียงเกือบไม่นิ่ง เมื่อสองตาจับภาพนั่นชัดเจนขึ้น

“ผู้กองครับ จากมุมที่เรามองจากจุดนี้ กับลานหน้าถ้ำ ที่พวกมันตั้งหน่วยอยู่ มีเหลี่ยมมุมภูเขาบังอยู่นะครับ โชคดีของพวกเรา แต่เป็นโชคร้ายของพวกมัน ที่ดันไปรวมพลในตำแหน่งที่เปิดโล่งไม่อยู่ในมุมอับของฝ่ายเรา หากพวกมันยังรวมกันเป็นกระจุกอยู่อย่างนี้ ถ้าระเบิดมาลงสักลูก รับรองไม่เหลือ”

เสียงจากในมุมมืดหนึ่ง ของนายทหารผู้ยืนพิงผนังถ้ำ“สิบเอกไกร อาวุธของพวกมันมีอะไรบ้าง”

ปิ๊บ!ปิ๊บ!ปิ๊บ!

ทหารฝ่ายสื่อสารและอาวุธเริ่มกดปุ่มค้นหาข้อมูล เครื่องรับในรูปนาฬิกาข้อมืออันประสานไปยังศูนย์ควบคุมดาวเทียม ได้ส่งข้อมูลลงมาฉับไว
“ผู้กองครับ จากรายงานข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ควบคุมดาวเทียมภาคพื้นมันส่งมา อาวุธของพวกทหารกะเหรี่ยงมันมีแค่อาวุธพื้นๆ มีปืน เอชเค ๔๗ ประจำกายทหาร อาวุธหนักก็แค่ปืนครกขนาด ๗๐ มม. กับเครื่องยิงลูกระเบิด อาร์พีจี ๗ แต่ที่อันตรายหน่อยก็คือ จรวดต่อสู้อากาศยานแบบประทับบ่า รุ่น ซาร์ ๗ ทำในรัสเซีย ประสิทธิภาพของมัน จะเป็น อันตรายกับอากาศยานที่บินมาในระดับต่ำ และความเร็วไม่มาก เช่นเฮลิคอปเตอร์ เสี่ยงเหมือนกันที่เครื่องของเราจะถูกสอยร่วงลงมา”

มีเสียง ชิ! ลอดออกมาจากปากนายทหารอย่างไม่สบอารมณ์“นี่หมายถึงผมอาจจะทำบาปทำกรรมกับลูกเมียนักบิน หากพวกเขาถูกยิงสินะ”หาญศึกละจากพิงผนังถ้ำ เดินตรงมา ขอกล่องไปส่องดูเองบ้าง

ทหารทั้งสามคนต่างยืนพิงขอบหิน จ้องมองออกไปอย่างเงียบๆ หาญศึกยังคงใช้ความคิดไปกับภาพในโฟกัสของตน เสียงอึกทึกและเสียงแตรเรียกระดมพลยิ่งดังขึ้นทุกที เท้าคนนับร้อยอันย่ำไปบนพื้นดินจนรู้สึกถึงแรงสะเทือนส่งมา แต่กระนั่นการมองด้วยตาเปล่ากลับมองไม่เห็นอะไร มากไปกว่ายอดไม้สูงในหมอกหนาขาวโพลนเท่านั้น

“อย่างกับกองทัพผี”จ่าเเจ๋วพูด กับหน่วยทหารเคลื่อนที่เร็วลึกลับ

“พวกลาดตะเวนจะใช้การเดินเท้าเป็นหลัก หน่วยหนึ่งประมาณสิบคน มากขนาดนี้คงเกิดจากการเรียกระดมพลเพื่อเตรียมศึกใหญ่มากกว่า พวกมันคงไม่เอาช้างมาบี้มดอย่างเราแน่ แต่บังเอิญคณะแพทย์อาสาของหมอกฤษณ์มาถูกลูกหลงด้วยมากกว่า นี่เป็นข้อสันนิษฐานอีกข้อหนึ่งของผม”

หาญศึกลดกล่องลงมา ดวงตาหรี่ลง คิ้วขมวดชิด เค้าความยุ่งยากมันปรากฏออกมาทางสีหน้านั่น“ภูมิประเทศแถบนี้ เป็นร่องเขาสูง ยาวต่อเนื่อง และเป้าหมายก็อยู่ในเหลี่ยม มุมอับต่อการโจมตีทางอากาศด้วย มันบีบให้เครื่องของเราต้องบินโฉบต่ำลงมาตามร่องเขา ในระดับต่ำมากเพื่อหามุมเล็ง แบบนี้ขอเพียงมีจรวดนำวิถีตามความร้อนสักลูกสองลูก ก็สามารถสอยเครื่องให้ร่วงได้”
ต้องบีบขมับอย่างครุ่นคิดหนัก
“เวลานี่จรวดนำวิถีไล่ตามคลื่นความร้อนกำลังแพร่หลายในตลาดค้าอาวุธทั่วโลก เพราะรัสเซียปล่อยของดีราคาถูกออกมา ของก็อปจากจีนก็มีมาก ผมเกรงเครื่องของเราจะถูกสอยร่วงลงมาเสียก่อน”

สิบเอกนายทหารการอาวุธรีบออกความเห็นขึ้นมาบ้าง“ข้อนั้นไม่เป็นปัญหาครับผู้กอง เครื่องของเราจะยิงขีปนาวุธ Maverick อันเป็นอาวุธชนิดยิงจากอากาศสู่พื้น ขับเครื่องด้วยพลังจาก Rocket Motor การทำงานของ Maverick คร่าวๆ ก็คือกระเปาะทีวี ที่หัวจรวดจะส่งภาพขั้นมา ที่ระบบเรดาห์บนตัวเครื่อง เพื่อทำการค้นหาและ เมื่อล็อคเป้าหมายได้แล้ว จรวดจะจดจำภาพนั้นไว้ และเมื่อเรายิงมันออกไป จรวดก็จะเดินทางเข้าหาเป้าหมาย ตามตำแหน่งที่ปรากฏอยู่บนจอภาพอย่างแม่นยำ แต่ในกรณีของเรา ผมซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ภาคพื้น จะทำการชี้เป้า หมายโดยส่งภาพ เป้าหมายขึ้นไปเอง นักบินเอฟ ๑๖ ของเราไม่จำเป็นต้องบินวนค้นหาเป้าหมาย ให้เสี่ยงต่อการถูกพวกศัตรูยิง แค่ยิงข้ามมาจากหลังเทือกเขาเข้ามา ขอเพียงผมเล็งภาพเป้าหมายให้ดี จรวดจะตกลงสู่เป้าหมายอย่างแม่นยำที่สุด โดยที่นักบินไม่ต้องเสี่ยงบินล้ำชายแดนเข้ามาก็ได้”

“อืมม์ งั้นเรอะ”
หาญศึกตอบอย่างเฉยชา

ผู้ควบคุมการใช้อาวุธซึ่งมีเทคโลยีขั้นสูง ทางกองทัพได้กำหนดและระบุตัวของสิบเอกทหารสื่อสารคนนี่ ให้เข้าร่วมภารกิจ เขาไม่อาจเห็นแย้ง แต่ในใจของเขายังไม่ค่อยวางใจหรือเชื่อถือมากนัก

หมู่แม็กกัดกรามแน่น แต่ก็รู้สึกสะใจ“พวกมันประมาทเราเกินไป หากยังรวมกลุ่มกันอย่างนี้ Maverick ลูกเดียวก็พอครับ ไม่ถึงกับกับต้องระดมยิงจากปืนใหญ่ข้ามฝังมาให้เป็นการเอิกเกริกก็ได้ เครื่องเอฟ ๑๖ ยังบินวน อยู่หลังเทือกเขาฝังไทย พร้อมรอรับคำสั่งยิงอยู่แล้ว”

“ผมจะให้โอกาสพวกมันก่อน”หาญศึก เอ่ยเสียงขรึมขัดมา

หมู่แม็กนั่นชะงักไปกับคำพูดนั่น ทองปายังคงแน่นิ่งอยู่ที่มุมใดมุมหนึ่ง ไม่เคยออกความเห็น จ่าแจ๋วพอจะเดาออกว่า นายทหารของตนอยากใช้ไม้อ่อนก่อน เพราะไม่อยากจะใช้ไพ่ตาย คือการโจมตีทางอากาศก่อนจำเป็น

“เราจะใช้การเจราจาเปิดทางกันดีๆก่อน ยังไม่จำเป็นต้องงัดเอาไพ่ตายออกมาใช่ กำลังทางอากาศและหน่วยปืนใหญ่แค่เตรียมพร้อมไว้เท่านั้น ยังไงๆเราก็มาในฐานะคนของคณะแพทย์อาสา พวกมันอาจจะยังไม่รู้ฐานะและเป้าประสงค์ของเรา เป้าหมายของทหารกะเหรี่ยง อาจอยู่ที่การรบใหญ่กับพวกกะเหรี่ยงพุทธเสียมากกว่า แต่บังเอิญพวกนายสัณฑ์ไปล่วงเกินไปฆ่าทหารของพวกมันเข้า เลยถูกตามล่าปิดล้อมอย่างนี้ ยังไงก็ต้องเสี่ยงเดิมพันกันก่อน หากผมคาดเดาไม่ผิด ผมไม่อยากจะใช้การโจมตีทางอากาศเพื่อเปิดทางกับปัญหาเพียงแค่นี้”

“งั้นหรือครับผู้กองเลือกใช้ไม้อ่อนก่อน”
ทหารร่างสันทัด ดูผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก เพราะการใช้การโจมตีทางอากาศนั่น เตรียมมาไว้เพื่อทำลายศูนย์วิจัยอาวุธ มิใช่เอามาใช้เปิดทางเอาตัวรอดจากศัตรู ผู้กองของเขาไม่ได้ตื้นเขินอย่างที่เขาคิดแต่แรกเสียแล้ว

หาญศึกบอกแผนใหม่ของตนอีกครั้ง ทุกคนได้แต่รับฟัง แล้วต้องมองนายทหารของตนคนนี่ใหม่

จ่าแจ๋ว“ผู้กองเลือกใช้การเจรจาก่อน โดยออกไปข้างนอกงั้นหรือครับ อย่างนั่นมันไม่เสี่ยงไปหน่อยหรือ ผู้กองอาจจะถูกยิงทันทีเมื่อก้าวขาออกไปจากถ้ำนะครับ”จ่าคาดไม่ถึงว่าผู้กองจะลดความแข็งกร้าวลงมาได้ หาญศึกส่ายหน้าแช่มช้า ในระยะใกล้ จ่าเหมือนเห็นแววปรงต่อชีวิตของนายทหารคนนี้“เป็นใครก็รักชีวิตของเขา ผมจะไม่ฆ่าใครอีกถ้าไม่จำเป็นต่อหน้าที่ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ผมจะอภัยให้ไม่ได้ และตอนนี้ผมก็คิดว่า มัน ได้ตายไปแล้ว”

จ่ารีบพูดขึ้น“ผู้กองคิดว่านาย สัณฑ์ คือ จอมโจรเสือดำ และตอนนี่มันก็ได้ตายไปแล้วเช่นนั่นรึครับ”
“ยังไม่เห็นศพ แต่ผมมั่นใจว่านายสัณฑ์ไม่น่าจะยังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ หรือถ้าจะยัง ผมคิดว่ามันหมดพิษสงไปแล้ว”
“เล่าอูกับพวกลูกทีมพลเป้ยังอยู่นะครับ ผู้กองมีแผนสำหรับพวกนี่หรือยังครับ”หมู่แม็กให้ความเห็นมาบ้าง

ร่างสูงใหญ่ในเงามืดกลับเหมือนเห็นดวงตาคมกล้า เมื่อหันมามองคนถาม

“ตอนนี่ผมแน่ใจว่า พวกเล่าอูกำลังร้อนรนคิดหาทางวิธีเอาตัวรอด จากทหารกะเหรี่ยงข้างนอก พวกมันกำลังจนกรอก และวิธีเดียวซึ่งผมนึกออกได้ว่าพวกมันต้องใช้ คือการหนีลงใต้ผาเบื้องล่าง โดยวิธีการหย่อนตัวลง ความสูงจากบนนี่ลงข้างล่างอย่างมากคงไม่เกินห้าร้อยเมตร แม้จะตั้งชันดูน่าจะเป็นอันตราย แต่ถ้ามีเชือกดีๆแล้วค่อยโรยตัวลงไป คงไม่น่ามีปัญหาเพราะมันไม่ใช่การปีนขึ้นเขา เป็นเราก็ต้องทำแบบเดียวกันถ้าคิดจะหนี ช่องหินให้โรยตัวลงไป อย่างที่เรามองอยู่นี้ก็มีอยู่มาก ผมคิดว่าพวกเล่าอูคงจะเลือกหนีตอนใกล้สว่าง โดยวิธีการโรยตัวลงมาจากช่องหินซึ่งมีอยู่มากมายเช่นที่เรามอง อยู่นี้ ใต้ผาลงไปคงไม่เกินห้าร้อยเมตร แม้จะตั้งชันดูน่าจะเป็นอันตราย แต่เป็นการหย่อนตัวลงไปอย่างเดียว ขอเพียงมีเชือกดีๆ หรือมีอุปกรณ์ไต่หน้าผาคอยหย่อนตัวลงไป คงไม่น่ามีปัญหา”

ร่างกายกำยำล่ำสันของผู้กอง ต้องเดินกอดอกอย่างครุ่นคิด แล้วขอกล่อง ไปส่องออกไปยังนอกช่องผาอีกครั้ง ดูช่องหินตลอดแนว แล้วปรับเลนส์ขยาย ก็ไม่เห็นพวกเล่าอูในบริเวณปากถ้ำอีกฝังเลย

“พวกมันอาจจะเริ่มแล้วก็ได้”แล้วหันไปข้างหลัง สั่งให้ทองปาออกติดตามไปทันที พวกนักรบรับจ้างเสือพราน นั่นไวต่อคำสั่งนายทหารเสมอ ชั่วแวบเดียวร่างนั่นก็หายไปแล้ว คล้ายกระหายรอรับคำสั่ง
“ปัญหาสำคัญจริงๆของพวกเล่าอู คือจะหนีไปได้นานแค่ไหน ในป่ากว้างใหญ่ก็จริง แต่จะมีทางให้พวกมันไปเรอะ ถ้าไม่รีบบ่ายหน้ากลับเข้าชายแดนไทย ที่ซึ่งทหารกะเหรี่ยงจะล้ำเส้นข้ามพรมแดนตามเข้าไปไม่ได้ แต่พวกเล่าอูไม่มีทางไปถึงแน่ ถ้าปราศจากการช่วย เหลือจากเรา”

จ่าและหมู่แม็กต่างมองหน้ากัน จ่าเป็นผู้ถามก่อน

“ถ้างั้น หมายความว่า ผู้กองจะช่วยเหลือพวกมัน?”

หาญศึกเอามือโบกปัด
“ก็ไม่เชิง”

หาญศึกเริ่มบอกแผนของตน ที่อาจจะรวบรัดจัดการกับศัตรูไปพร้อมกันทั้งสองฝ่าย

“ผมจะเป็นคนไปเจรจากับพวกเล่าอูเอง เพื่อไม่ให้มันพาหมอกฤษณ์ กับคนของเราหนีเตลิดออกไปไกล หากเจ้าเล่าอูมันตกลง ก็จะได้พากันออกไปเจรจากับพวกทหารข้างนอกให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลย ว่าพวกมันต้องการอะไรกันแน่”

“เดี๋ยวก่อนครับผู้กอง”จ่าเหมือนไม่เห็นด้วย

“สมมุติว่าพวกเล่าอู ตอบตกลงร่วมมือกับเรา แต่จะเอาอะไรมารับประกันว่า พอเราออกไปแล้วจะไม่โดนยิงทันที เพราะนายสัณฑ์ก็เล่นฆ่าไปหลายศพเลย ทหารข้างนอกมันต้องแก้แค้นเอาคืนแน่ ผู้กองจะออกไปเสี่ยงเสียเปล่าๆนะครับ”

“ที่ออกไป คือผมคนเดียวกับพวกเล่าอูทั้งสิบ ฟังให้ดี แผนของผมคือ ดึงพวกทหารกะเหรี่ยงข้างนอก ให้มาชุมนุมกันในลานให้มากที่สุด รวมทั้งพวกเล่าอูด้วย ศัตรูของพวกเราจะมารวมกันในลานให้มากที่สุดเพื่อให้เป็นเป้าหมายการยิง”

คราวนี้เป็นจ่าที่ไม่เห็นด้วยกับความบ้าระห่ำของเขาจริงๆ“ผู้กอง!..ไม่ได้นะครับ แบบนั่นไม่เท่ากับผู้กองออกไปตายด้วยสิครับ ผมขอคัดค้านแผนการของครั้งนี้”

หาญศึกหัวเราะดุในลำคอ“ก็ไม่แน่เสมอไปว่าผมจะออกไปตาย ผมกับพวกเล่าอูอาจตกลงกับศัตรูข้างนอกได้ ว่าพวกมันต้องการอะไรกันแน่ หากมองโลกในแง่ดี การเจรจาประสบผล อาจจะไม่มีใครตายเลยก็ได้ แต่ถ้าหากไม่ ผมจะเป็นคนสั่งยิงจรวดด้วยตนเอง ยังไงสะเราก็ยังถือไพ่เหนือกว่า”

นายทหารผู้เยือกเย็น แต่ก็แฝงความดุเดือดเอาไว้ภายใน เหมือนลาวาร้อนแรงใกล้ปะทุใต้ภูเขาสงบ จากในอดีตเมื่อสี่ปีที่แล้วนายทหารคนนี้ ก็เคยเดิมพันชีวิตของตนเอง และลูกน้องในสถานการณ์รบ จนพลิกสถานการณ์ อันกำลังจะเพลี่ยงพล้ำให้กลับมาเอาชัยชนะได้อย่างงดงามมาแล้ว

“มันเป็นเกมส์เดิมพันด้วยชีวิตของผมเอง กับพวกศัตรูทั้งมวล มันจะดีกว่าการที่ผมสั่งยิง โดยที่ไม่ให้โอกาสพวกข้าศึก เหมือนกับพวกอีแอบลอบกัดคนข้างหลังไม่ให้รู้ตัว ยังไงซะทหารกะเหรี่ยงก็ยังไม่ได้แสดงเจตนาคุกคามอะไรมากนัก ไม่งั้นพวกมันคงจะบุกเข้ามา จับตัวพวกเราตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ถ้าเป็นไปได้ ผม ก็ไม่อยากให้เกิดการสูญเสียเหมือนกัน”

มีแต่ความอึดอัดใจของจ่าคนสนิท “ผู้กองจะเสี่ยง โดยเปิดโอกาสให้พวกศัตรูด้วยรึครับ ผมไม่เคยคิดถึงข้อนี้มาก่อน แต่ว่าถ้าหากพวกมันไม่ยอมเปิดทางเออ...ผู้กองจะทำยังไง”

หาญศึกเสียงกร้าว หันมาเผชิญหน้าคนพูดทันที“นั่นเท่ากับพวกมันได้เซ็นใบประหารชีวิตของพวกมันเองแล้ว! จะไม่มีการปรานีกันอีกต่อไป” รีบสั่งการทันที“หมู่แม็ก นายไปหาจุดส่องเป้าหมาย อันใกล้ที่สุดกว่านี้ จ่า หน้าที่ของจ่า คือ คุ้มกันพวกคนของเรา หมอกฤษณ์และเกตุจะต้องอยู่ในที่ปลอดภัยที่สุด ในระหว่างที่ผมออก ไป”

ทหารอาวุโสคิ้วขมวดทันทีกับคำสั่งที่เหมือนกันเขาออกไป
“ทำไมละครับผู้กอง ไม่ให้ผมไปร่วมด้วย ให้ผมช่วยอีกแรงเถอะครับ”

หาญศึกเหลือบตา ในความมืดยังคงเห็นแววตาสีเหล็กชัดเจน
“ผมต้องการความคล่องตัวที่สุด อาจจะต้องมีการวิ่งกันสุดชีวิต ในระหว่างจรวดมาลงก็ได้ ผมไม่อยากให้จ่ามาเสี่ยงด้วยกันกับผม โปรดเข้าใจผมด้วย”

ร่างสูงใหญ่ในเงามืดนั่นค่อยผ่อนลงจากที่พิงผนังถ้ำ จากมุมมืดทำให้ไม่อาจจะเห็นสีหน้าของเขาได้ นอกจากจะไถ่ถาม

“เป็นอะไรไปครับผู้กอง
หาญศึกสะบัดศีรษะเร่าๆ เอามือกุมบีบขมับ จากที่นั่งท่าชันเข่า
“ผมรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย”

กระแสเสียงของหาญศึก บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังเหนื่อยล้า ไม่ห้าวดังกังวานเหมือนเช่นเคย หมู่แม็กพยายามคลำหาจ่า แล้วกระซิบกระซาบอย่างหยั่งความเห็น ร่างใหญ่เป็นตะคุ่มเพียงชี้นิ้วส่ายไปมา บอกนัยว่าห้ามพูดอะไรออกมาตอนนี้ หรือถามเรื่องส่วนตัวของเขาอีก

จ่าเริ่มพูด“เราเจอกันมาหนัก ตั้งแต่กลางวันยันกลางคืน เจอตั้งแต่ภัยธรรม ชาติยันภัยจากภัยมนุษย์ เรื่องหนักๆหัว มันประดีประดังกันเข้ามาไม่หยุดหย่อน ไม่แปลกที่ผู้กอง หรือพวกเราคนใดจะเหนื่อยล้ากันบ้าง เป็นเรื่องธรรมดาละครับ”

จากในนิมิตร้ายซึ่งทุกคนได้ประสบ สิ่งหนึ่งซึ่งเขาจำได้แม่นยำคือตนเองได้ถูกสูบเข้าไปเฉียดใกล้กับแดนนั้นเข้าไปทุกที ปากปล่องนรกมันอยู่ไม่ไกลจากเขาเลย นิมิตร้ายเสมือนจริงที่ ร้อยเอกหาญศึกเคยเจอ หลังจากเขาสั่งฆ่าหมู่ทหารข้าศึกเมื่อสี่ก่อน มันกำลังตามมาหลอกหลอนอีกครั้ง

“จ่าครับ ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับผม จ่าต้องสานต่อภารกิจของเราให้เสร็จสิ้น ทำลายไอ้ศูนย์วิจัยอาวุธบ้านั่นให้ได้ ผมเชื่อมือจ่าดีว่า จ่าจะต้องทำลายมันได้แน่”

“พูดยังกะจะสั่งเสียเลยนะผู้กอง”มีเสียงถอนลมออกมาเบาๆจากร่างที่นั่งคู้เข่า หาญศึกนิ่งเงียบไป ทำให้คนที่เหลือพลอยเงียบไปด้วย ในห้องคูหาถ้ำขนาดกว้างยาวไม่เกินสิบเมตร หินทุกก้อนเย็นเฉียบและมืดชื้น มันช่างเหมือนในหัวใจของพวกเขาเวลานี้ยิ่งนัก

เสียงลึกแผ่วของหาญสึก“ขอโทษนะ ทั้งสองคน มันเป็นความผิดของผมคนเดียว ที่ผมก่อเรื่องยุ่งขึ้นมาโดยใช่ที่ ความจริงหากเราจะหนีไปเสียตอนนี้ก็หนีได้ ไม่จำเป็นต้องมาพัวพันกับเรื่องนอกภารกิจ อันจะสร้างความยุ่งยากตามมาอีกภายหลัง”

“พูดอะไรกันครับผู้กอง พวกเรายินดีที่จะช่วยพวกคุณเกตุอย่างเต็มที่เช่นกัน ขอเพียงพวกเธอปลอดภัย เราค่อยเดินหน้ากันต่อก็ได้ เรายังไม่ถึงกับเข้าตาจน และยังมีแต้มต่อในมือด้วยนะ” หมู่แม็กพูดมาปนหัวเราะ แต่ก็ต้องสะอึก เพราะทุกคนยังเงียบอยู่

“หากพ้นจากเรื่องนี้ไปได้ ผม จะใช้ความเป็นญาติจัดการ ให้หมอกฤษณ์และเกตุกลับเข้าแผ่นดินไทย เรื่องยุ่งยากทั้งหมดจะต้องจบลง รวมทั้งการเดินทางของคณะแพทย์อาสาคงต้องจบลงด้วยเช่นกัน ผมสัญญา”ร้อยเอกหาญศึกกล่าวอย่างหนักแน่น

เรื่องราวความยุ่งยากในภารกิจมากมาย เกิดจากการที่ผู้นำเช่นเขานำเรื่องส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง หาญศึกรู้สึกผิดกับการรับเด็กวัยรุ่นสี่คนนั่นเข้ามาร่วมเดินทาง ทำให้ภารกิจเกิดความยุ่งยาก พวกเขากลายเป็นจุดเด่นมาตั้งแต่มาถึงตลาดชุมสิงแล้ว ขณะที่สายลับของทุกกองกำลังมีอยู่ทั่วไป ในสถานการณ์ในยามเกิดสงคราม ทุกกองกำลังล้วนหวาดระแวง สายลับของข้าศึกหรือมือที่สามจากภายนอกเข้ามาแทรกแซง อย่างเช่นคนของทางการไทยเข้ามาสืบหาและทำลายพวกขบวนการยาเสพติด ลึกเข้าไปถึงชายแดนพม่า หรือพวกตำรวจสากลล้วนเคยมาเพ่นพ่าน จนถูกกองกำลังเจ้าถิ่นจับได้อยู่บ่อยครั้งหากแต่ภารกิจหน่วยของร้อยเอกหาญศึกคราวนี้ มาเพื่อสืบหาและทำลายสถานีวิจัยอาวุธลึกลับกลางป่า เป้าหมายที่ต้องค้นหาและทำลายให้ได้




“วู้!...นายสัณฑ์ ได้ยินหรือเปล่า!”
คำตะโกนเรียกนำทางมาก่อน เพื่อความปลอดภัยของพวกลูกทีมพลเป้ กับเสียงฝีเท้านับสิบ ที่ย่ำกรวดทรายดังแสกสาก แต่ละคนกราดไฟฉายละไล่ค้นหาบุคคลสำคัญของคณะฯซึ่งเงียบหายไปตั้งแต่คืนวาน แต่ละก้าวของแต่ละคนช่างยากเย็นเพราะเกรงในกิตติศัพท์ของนักวางระเบิดอย่างนายสัณฑ์

ดวงไฟแดงรี่สว่างวาบในความมืด เบื้องหน้าของพวกเขา แสงสลัวใกล้สว่างอันเป็นพื้นหลังข้างนอกถ้ำ มองเห็นเงาตะคุ่ม ร่างนั่นนั่งเด่นอยู่บนแท่นหินตรงหน้าของทุกคน
“นาย อยู่ตรงนั้นใช่ไหมครับ!”แสงไฟฉายส่องกราดมาโดนร่าง

“รีบเข้ามา ไม่ต้องกลัวแถวนั่นไม่มีกับระเบิดหรอก”คำขานรับจากร่างที่นั่งนิ่งเป็นหินนั่น

“นายสัณฑ์ พวกเรามาหา เออ...คือ...พวกเราได้ยินว่านายบาดเจ็บหนักเลยรีบมาดู”แต่ที่ทุกคนต่างเบิกตาจ้องเหมือนจะไม่เชื่อสายตา อยู่กึ่งอึดใจพลางหันมามองหน้ากันอย่างฉงนสนเท่ห์ครามครัน เมื่อเห็นร่างนั่นยังอยู่ในอาการปกติเหมือนเดิม

“ฉันยังไม่ตาย”เสียงตอบจากร่างผอม แต่โครงสร้างกระดูกใหญ่ ดูแกร่งเกร็งไปทั้งตัว ในชุดสีดำอันชินตา แล้วทุกคนก็ต้องประหลาดใจ ส่งเสียงออกมาจากลำคอเบาๆเมื่อเห็น เส้นผมบนศีรษะของนายสัณฑ์ต่างหงอกขาว เส้นผมสีดำแสมสลับกับเส้นผมสีขาวเป็นเส้นสายชัดเจน จนเขาคนนี้ดูแปลกตาไป

ณ ปากถ้ำ บนก้อนหินใหญ่ สัณฑ์คนจรไพร หรือไพรวัลย์ ยังคงสถิตนิ่งอยู่เช่นนั้น สภาพเดิมจากเมื่อวาน ไม่เปลี่ยนแปลง ร่างผอมเกร็ง ในชุดสีดำซอมซ่อและขาดกระรุ่งกระริง ทับอีกชั้นด้วยเสื้อกั๊กหนัง แต่ที่ทุกคนตะลึงจ้องมองเขม็งก็คือ ผมหยิกยาวเคลียไหล่ดำเป็นเงาของเขา ซึ่งบัดนี้กลับหงอกขาวเป็นเส้นสาย เส้นไหมสีขาวแสมสลับเป็นเส้นสายไปกับผมดำดูแปลกตาจากนายสัณฑ์คนเดิมไปทันที

มีเสียงถอนลมหายใจเฮือกใหญ่จากร่างนั้น ก่อนไหวตัวมีเสียงกระดูกลั่นกรุบนั่งตัวตรง กริ๊ง! เสียงแหลม เมื่อเขาสะบัดซิบโป้ แสงสว่างวาบขึ้นตรงหน้า ลนบุหรี่ใบตองแห้งของเขาจนส่งกลิ่นและควันชุ่นกึก

มีคนหนึ่งปรี่เข้ามา“นาย เกิดอะไรขึ้น ทำไมเส้นผมบนหัวนายถึงได้หงอกขาวได้”

สัณฑ์ตอบทั้งคาบบุหรี่“เกิดเรื่องนิดหน่อย”
“นายบาดเจ็บ! อย่างที่เล่าอูบอกจริงๆด้วย”

ชายร่างอ้วนดำ คนหน้าสุด รีบสอบถามทันที“นาย... พวกผมพึ่งรู้เรื่องจากเล่าอูว่านายได้รับบาดเจ็บหนัก พวกผมเลยรีบมากัน นายไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม”

สัณฑ์ยังคงก้มหน้าอัดบุหรี่ ไม่มองตอบ พูดอย่างเย็นชาว่า“ฉันสั่งผ่านเล่าอูไปแล้วไม่ใช่เหรอว่า ให้พานายหมอหนีไปตอนฟ้าใกล้สาง แล้วนี่พากันยกโขยงกันมาทำไมอีก”

ตาลีคนหน้าสุด อายุประมาณห้าสิบปี ร่างอ้วนเตี้ย พุงหลามดันเสื้อจนแทบปริ ผิวดำเหมือนมีน้ำมันมาชโลมทั้งตัว ดวงตาโปน จมูกแฟบแบน ริมฝีปากอวบหนา บนคอสวมตะกุดอันใหญ่เท่าฝ่ามือพันรอบด้วยด้ายดินสีมอๆภายใต้เครื่องแบบสีเทาของพลเป้ ยังมีชุดพื้นเมืองสีดำอีกชั้น

“ให้ผมช่วยนายเอง”ตาลีแสยะยิ้มบนใบหน้า อย่างมั่นใจในวิชาอาคมของตัว มือล่วงเข้าไปในย่ามของตนย่างสามขุมเข้ามา แล้วหยิบกะโหลกศีรษะของอดีตสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งออกมา หลับตาพร่ำคาถาทำปากหมุบหมิบ ก่อนลืมตามองจ้องเขม็ง

“นายสัณฑ์ให้ตาลีช่วยไล่ผีให้เถอะ รับรองนายจะหายขาดจากการเจ็บป่วยแน่นอน” พูดจบร่างอ้วนดำอัปลักษณ์ เสียยิ่งกว่าจ่าแจ๋วในสายตานายสัณฑ์ ก็ยื่นกะโหลกศีรษะมนุษย์เข้ามาใกล้ หมุนวนใกล้หน้าเริ่มทำพิธี

ซูด...ซูด...สัณฑ์อัดบุหรี่มองอย่างเฉยชา เเล้วเป่าฟู! ไปรมหน้า หมอผีกะโหลกมนุษย์ จนสำลักควันไอแค่กๆ เซ่ผงะลอยหลัง ควันลอยโขมง คละคลุ้ง ลอยอ้อยอิ่ง แล้วพลันเบื้องหลังของเขา ก็ปรากฏเส้นสายสีแดงเข้มจัด ตัดพาดไปมาเหมือนเส้นใยแมงมุมสีเลือด ทุกคนถึงกับผงะลอยหลังตามอาการของตาลีทันที

“แสงเลเซอร์”ใครคนนึ่งโพลงขึ้น

ริมก้อนหินใหญ่ ในวงไฟฉายเมื่อรีบสังเกตจึงเห็น ระเบิดเคโมว์ ซุกซ่อนอยู่ และพอส่องกราดออกไป ก็พบอีกหลายลูกตามซอกหินและผนังถ้ำ ฝั่งตัวไว้อย่างมิดชิด

พอควันจางแสงก็หาย

“นั่นแสงเลเซอร์จุดชนวนแม๊กนิโตไฟฟ้า ของเคโมว์ เอ็ม ๑๘ ใช่มั้ย เข้าใจเล่นดีนี้ ทุกคนถอยออกมา”เสียงต่ำในลำคออวบใหญ่ นายตะบันผู้มักสุภาพนอบน้อมเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้านายหมอ บุคลิกจึงไม่โดดเด่นเตะตามาแต่แรกในสายตาชาวกรุง ได้ก้าวเข้ามา สัณฑ์ค่อยเลื่อนเปิดซิบเสื้อหนังออกมา แล้วทุกคนก็ต้องสะดุ้งเฮือก เพราะในลำตัวของเขา มีแท่งซีโฟร์พันรวบติดอยู่

ตาลีเห็นระเบิดแล้วแทบเข่าอ่อน มองไปข้างหลังคนอื่นก็ผงะไปแล้ว
“นะนายครับ นายจะเอาระเบิดนั่นมาทำไมตั้งมากมาย จะไประเบิดถ้ำหรือไง มากขนาดนี้ หากระเบิดตูมตามขึ้นมาศพของนาย ก็จะไม่เหลือนะให้เห็นนะ”สิ้นเสียงพูดอันละล่ำละลัก ก็ปรากฏร่างใหญ่ทะมึนพุ่งปราดเข้ามา

“ตาหมอผี ถอยออกไป!!...”
สิ้นเสียงเหมือนผ่า มีร่างใหญ่ฉกรรจ์ ปรี่เข้ามาคนหนึ่ง ใช้มือกวาดร่างใหญ่เป็นตุ่มของตาลีออกไปเหมือนกวาดนุ่น ด้วยพละกำลังมากล้น ตวาดเสียงดังทันที คนที่มาตรงหน้า ชายร่างสูงใหญ่ ผิวดำแดง ผมหยิกขอดติดหนังศีรษะ ดวงตาโปนแต่แฝงแววดุดันเหมือนแววตาเสือ มีริ้วรอยความหยาบกร้านเต็มใบหน้า พูดทีเสียงดังเหมือนฟ้าผ่านั่นคือนายจะงอย

“ไพรวัลย์! เรารู้จากปากเล่าอูหมดแล้ว ว่านายจะพลีชีพเพื่อถ่วงเวลาให้พวกเราหนี นายหมิ่นเกียรติ์พวกเราชาวว้ามากนะ ที่คิดกับพี่น้องเช่นนี้ นายเคยเห็นคนเผ่าว้าขี้ขลาดกลัวตายเหรอถึงได้ให้นายมาพลีชีพเสียสละให้”พร้อมกับขากถุยลงพื้น นายตะบันตรงมาไสคอน้องชายหัวซุนไปท่ามกลางความตึงเครียดของทุกคน

ร่างสูงใหญ่พอๆกับหาญศึก แต่สีผิวดำเป็นถ่าน ผมหยิกยักขด หน้าตาคล้ายนายจะงอยน้องชาย แต่ดูสุขุมกว่า แล้วร่างสูงใหญ่ก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเป็นเงาทะมึน ยืนผงาดเหนือสัณฑ์อย่างมิกริ่งเกรงต่อเส้นชนวนเลเซอร์เฉียดระเบิดแม้แต่น้อย และก่อนก้าวขาแค่องคุลีเดียวจะถึงเส้นตาย สัณฑ์หัวเราะหึๆในลำคอ กดสวิสตัดสัญญาณไปเอง เพื่อนของเขาไม่เคยยั่นหรือครั่นคร้ามต่อความตายสักนิด มีเพียงสองพี่น้องชาวว้าเท่านั้นที่ยังเรียกสัณฑ์ว่า ไพรวัลย์ ตามชื่อเดิมเพราะเติบโตมาด้วยกันสมัยอยู่ที่เมืองยองแล้ว

แววตาเหมือนเสือคู่นั่นจ้องมองลงมา เสียงห้าวดัง“เพื่อนรัก ชนเผ่าว้าของเรามิเคยกลัวเกรงต่อความตาย แต่กลัวการมีชีวิตอยู่อย่างขี้ขลาดตาขาว หากเพื่อนคิดจะเสียสละ เราก็จะขอตายด้วยเพื่อรักษาเกียรติศักดิ์ของชนเผ่าว้าให้คงอยู่”สัณฑ์ยิ้มแยกเขี้ยว เพียงส่งกำปั้นออกไป อีกฝ่ายกระแทกหมัดตอบ เป็นอันเข้าใจความหมายกันดี

มีลูกทีมพลเป้คนหนึ่งควักลูกระเบิดมือแบบลูกเกลี้ยง เดินตรงเข้ามา แล้วโค้งคำนับให้สัณฑ์อย่างสุภาพ “ข้าพเจ้า ชื่อกองแล เป็นชาวม้งจากประเทศลาว จะขอสู้พร้อมกับท่านเพื่อตอบแทนบุญคุณของนายหมอ ได้โปรดมอบเกียรติยศครั้งนี้ให้ข้าพเจ้าด้วย”

“พวกเราด้วย!...”

ทันใดนั่น แต่ละคนต่างดาหน้าเข้ามาเรียงตัวกันพรึบพรับ แสดงตัวตนจะขอสู้กับเขา มีเล่าวูจากยูนนาน นายจั๊ว นายถู่เจ สองคนจากเผ่าอาข่า นายชาติ นายตูยีมู กะเหรี่ยงลูกบ้านสเนพ่อง ต่างแสดงเจตจำนงจะขอสู้ตายกับเขาด้วย

ใบหน้าอันชืดชา ไร้ซึ่งอารมณ์ของสัณฑ์ พลันปรากฏรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก หัวเราะหุๆในลำคอ“เจอะเอาคนบ้าเข้าแล้วไง” ค่อยขยับยันตัวลุกขึ้น จนกระดูกลั่นกราว ร่องรอยของคนอาการโคม่าเมื่อคืนได้หายไป กระดูกทั้งหมดถูกประสาน ไม่มีวี่แววของคนบาดเจ็บหนักใกล้ตายตามที่เล่าอูบอกเลย

ตาลีและลูกทีมพลเป้ อ่านสีหน้าที่เย็นชาเป็นหินไม่ออก และแววตาคู่นั้นยังคงหลบอยู่ในกรอบแว่นดำทึบไม่เปลี่ยนแปลงจากที่เคยเป็น อัดควันนิโคตินเข้าปอดเป็นครั้งสุดท้าย ดีดก้นบุหรี่ทิ้ง แล้วเดินตรงไปที่เล่าวู ผู้สะพาย เอชเค ๔๗ ซึ่งเป็นปืนที่ยึดได้จากพวกทหารป่าเมื่อตอนกลางวัน ขอปืนมาสำรวจดูกลไก สอบถามความเบาๆว่ากระสุนเหลืออยู่เท่าไหร่ เจ้าหนุ่มตี๋จากยูนนาน หลานชายของเล่าอูตอบว่ามีกระสุนเหลือเพียงสิบนัด เขาพยักหน้า ขยับลูกเลื่อนแย้มดูกระสุนที่ประจำอยู่ในรังเพลิง ตรวจสอบดูศูนย์ปืนพบว่ามันบิ่น เป็นรอยเก่านานแล้ว สัณฑ์ส่ายหน้าสบถพร่ำ ว่าเจ้าของปืนคนเก่ามือเลวระยำ มิน่าถึงยิงใครไม่โดนสักคน ส่งคืนปืนให้ เล่าวู เร่งเอาไปแก้ไขแล้วหันมาสอบ ถามเรียงตัว เรื่องอาวุธประจำมือของแต่ละคน ซึ่งเป็นเพียงปืนลูกโม่หรือปืนแมกกาซีนรุ่นเก่า แก่คร่ำคราตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม อันเป็นมรดกตกทอดมาของแต่ละคน ทำเอาสัณฑ์ส่ายหัว

นายตะบันเข้ามาชิด และรายงาน“ปืนสภาพดีที่สุด และกระสุนเกือบทั้งหมดอยู่ที่พวกทหารไทย พวกมันชิงยึดจากพวกเชลยเอาไปก่อนตอนค้นตัว พวกเราได้ตัวปืนแต่กระสุนไม่มี พวกเจ้าทหารไทยมันหอบปืนและกระสุนไปโยนทิ้งเหวให้แหลกพัง โดยไม่ปรึกษาเราสักคำ”ตะบันพูดด้วยเสียงปนอารมณ์แค้นเคือง สัณฑ์เพียงพยักหน้าอย่างเข้าใจ ตบบ่าสหายปลอบใจเบาๆ

สัณฑ์นิ่งคิด พยักหน้าให้อย่างเข้าใจ ก่อนเข้าเกาะไหล่ตะบัน“ฉันขอเวลา ไปสั่งการกับพวกเด็กๆก่อนนะ มีเรื่องบางอย่างต้องสั่งเสียนิดหน่อย นายช่วยไปส่งฉันที”สองพี่น้องมาประกบ เดินไป เพราะตัวเขาไปเองเดินแทบไม่ไหวแล้ว




ในโถงถ้ำซึ่งเล่าอู พาเด็กหนุ่มทั้งสามคนมาหลบมุมนั่งพักในซอกหลีบหนึ่ง มีแง่หินบังไว้คล้ายห้องคูหา มีเสียงครางกระซิกๆจากทั้งสามคนนั่น จากข่าวร้ายของพวกมัน เมื่อรู้ว่าลูกพี่สาวคนสวยได้กลายไปเป็นคนของหมอกฤษณ์ไปเรียบร้อยแล้ว อภิรักษ์และเจ้าคู่หูองครักษ์ทั้งสองต่างยืนอยู่ใกล้ๆ กอด อกมองไปทางเดียวกัน ปล่อยให้ในโถงถ้ำว่างโล่ง แสงจากกองไฟ วอม แวมอย่างสลัวลาง แต่ยังพอเห็นร่างคนสองคนกำลังนั่งซ้อนกันอยู่ คนหนึ่งในชุดสีดำอยู่เป็นนิจ ผมเผ้ายาว หนวดเคราเฟิ้ม หยาบกร้านไปทุกสัดส่วน อีกคนโฉมงาม ร่างบอบบางมักจะปรากฏอยู่ในชุดขาวสะอาดอยู่เสมอ ทั้งสองคนผู้มีบุคลิกนิสัยอันแตกต่างสุดขั้วในสายตาผู้คน แต่พวกเขากลับผูกพันรักใคร่เป็นเพื่อนสนิทกัน

สัณฑ์กำลังบีบหนวดที่ต้นคออันเรียวระหงของหมอกฤษณ์อยู่ “ได้ยินมาว่า นายหกล้มตอนเจอพายุเมื่อเช้า จนคอเคล็ด เวลาจะเอี้ยวคอจะไม่ค่อยสะดวกใช่ไหม เป็นไง ตอนนี้ฉันจับเส้นให้แล้วสบายขึ้นหรือยัง?”
กฤษณ์หลับตาพริ้ม“อือม์ ดีจัง คุณสัณฑ์หนวดเก่งมาก ผมรู้สึกสบายทุกครั้งจริงๆ”
“งั้นก็ดีแล้ว ต่อไปต้องระวังตัวให้มาก จะลุกจะเดินเหิน ต่อไปต้องระวังกว่านี้ เป็นหมอแล้วมาเจ็บตัวเสียเองมันจะลำบาก ทุกคนเขาหวังพึ่งนายอยู่นะ”
“จ๊ะ คุณสัณฑ์”
“มาจ๊ะๆอะไรอีก ฟังดูกระดี้กระเดียมยังกะเสียงผู้หญิง เดี๋ยวนี้ต้องหัดพูดจาแบบลูกผู้ชายชาตรีได้แล้วนะ หัดครับเสียงดังๆหน่อย อุตส่าห์หาเมียให้แล้วนะ”
“เรื่องนี่เออ...”
“ไม่ต้องหลบตาเลยนะ เวลานายอายทีไรแก้มแดงทุกทีเหมือนสาวเลย ฮ่าๆๆ...”

สัมผัสกลิ่นกายอันหอมจรุงจากตัวของกฤษณ์ เพื่อนรักคนนี้ยังคงรักความสะ อาด และช่างพิถีพิถันเลือกน้ำหอมเป็นชีวิตจิตใจ ไม่เพียงเท่านั้น จิตใจของ กฤษณ์ยังสะอาดหมดจดเช่นตัว คนเช่นนี้นะเหรอที่จะมาฆ่าเขา ตามคำสาปของ กานดาหรือนางตัณหา สัณฑ์เกิดคำถามในใจ

“หึๆ องค์พญามารกระหม่อมจะไม่ตาย ในเงื้อมือของเพื่อนรักตามคำสาปหรอก อยากรู้นักว่า หากร่างกายของกระหม่อมแหลกเหลวไปแล้วด้วยแรงระเบิด พระองค์จะทรงมาชุบชีวิตให้กระหม่อมอีกไหม” เสียงเยาะในใจของสัณฑ์


“นายจะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่ คือกลับไปฮันนีมูนนะ”สัณฑ์เริ่มถามขึ้นหลังที่เงียบไปชั่วอึดใจ กฤษณ์ยังเคลิ้มสบายจากการถูกนวด
“เออ อืม...ยังไม่คิด งานยังมีมากอยู่นะ”
“แล้ว ถ้า ฉันจะบอกว่าให้นายกลับเช้านี้เลยละ”
เพื่อนหมอเจ้าสำอาง หันคอมาเล็กน้อยกระพริบตาปริบๆ ไม่รู้จะตอบคำถามข้อนี้ยังไง
“น้องเกตุเค้าเออ...ยังไม่พร้อม เราตกลงกันว่าจะตามเณรกานต์ น้องชายของเธอกลับมาอย่างปลอดภัยเสียก่อน แล้วค่อยคิดเรื่องส่วนตัวกันทีหลัง”
“มัวแต่เอออา อยู่นั่นแหละติดอ่างตั้งแต่เมื่อไหร่ นายเป็นสามีต้องเป็นช้างเท้าหน้านะ จะปล่อยให้เด็กนั่นเป็นคนนำได้ยังไง นายต้องหัดตัดสินใจด้วยตนเองแล้วรู้ไหม ถ้าเป็นฉันมีเมียชอบเถียงแบบเด็กนั่น ต้องฟัดตบล้างน้ำสามเวลาให้เข็ดจะได้ไม่กล้าหือกล้าเถียงอีก”

แววตาที่ซ้อนในแว่นดำนั่นแอบจ้องมองไปยังเต็นท์ อีกคนหนึ่งก็ยังไม่ออกมา สัณฑ์มองอย่างโหยหา อยากเห็นหน้าอดีตลูกศิษย์หญิงคนนี้เป็นครั้งสุดท้ายเหลือเกิน แล้วเขาก็นึกอะไรสนุกๆขึ้นมาได้

“ว่าแต่เมียนาย ทำไมยังไม่ตื่น เมื่อคืนมัวไปทำอะไรกันอยู่นักหนา อยากรู้”สัณฑ์เอาปากจ่อ กระซิบกระซาบเรื่องหยาบโลน จนกฤษณ์หน้าชา เอาแต่หลับตาส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเดียว สัณฑ์เริ่มออกแววทะลึ่งโลนเอาจมูกจ่อลนไปทั่วตัว ทำเสียงฟุดฟิด แล้วชี้หน้า
“กลิ่นของยัยเกตุติดตัวนายเต็มไปหมดเลย โอ...ที่คอนายก็มีรอยแดงเป็นปื้น ไอ้หมอนายนี่มันเด็ดสะระตี่จริงๆ ปราบยัยเด็กบ้านั่นสะอยู่หมัดเลย ฮ่าๆๆ...”
“ปะเปล่านะ!”กฤษณ์ปัดมือเป็นพัลวัน
สัณฑ์เหลือบไปเห็นในเต็นท์ไหวโครม ผู้หญิงข้างในกำลังจะออกมาแล้ว

“ถ้าไม่ใช่ฉันขอดมตัวนายให้ทั่วตัวอีกที ก่อนอื่นขอดมแก้มขาวๆของนายก่อน”
“ยะอย่านะเดี๋ยวน้องเกตุมาเห็น”
“เห็นแล้วจะทำมาย...”
“ไม่เอา อย่าเล่นนะคุณสัณฑ์”
“มามะคนดี คิกๆๆ...”

“กรี๊ด!!...นายสัณฑ์! นายคิดจะทำอะไรพี่หมอ!?...”

ร่างปราดเปรียวของยอดนักกีฬาสาว โผล่พรวดออกมา ทั้งตัวสวมเพียงเชิ้ตสีขาวตัวเดิมทับด้วยเสื้อคลุมแคชเมียร์สีดำ ชายเสื้อคลุมแค่ต้นขา เผยท่อนขาเรียวขาวผ่อง อันชะเวิกชะว้ากออกมาอย่างน่าหวาดเสียวเพราะหล่อนไม่ทันใส่อะไรไว้ข้างในเลย

ใบหน้าดำๆหนวดเคราเฟิ้ม เต็มไปด้วยเค้าความหยาบกร้าน และกำลังยิ้มจนเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ หัวเราะเสียงกวนประสาท ที่เกตุเห็นเหมือนมีมารร้ายมาแฝงอยู่ข้างหลังพี่หมอ แต่ที่แปลกตาคือ เส้นผมของเจ้าคู่ปรับกลับหงอกขาว แสมสลับดำดูแปลกตาไป แล้วเกตุต้องร้องกึ๋ยในใจเมื่อเห็นนิ้วมือใหญ่แกร่งปานเล็บเหยี่ยวรวบอยู่ที่คอคนรัก

“ปล่อยมือจากคอพี่หมอเดี๋ยวนี่นะ นายจะหักคอพี่หมอเรอะ เอามือสกปรกของนายออกไป” เกตุร้องกรี๊ดลั่น กรากเข้าไปกระชากมือปานเล็บเหยี่ยวของสัณฑ์ออกจากคอคนรัก ดึงกฤษณ์ลุกขึ้นแล้วเอาตัวเข้าบัง อ้าแขนปกป้องทันที

สัณฑ์ลุกขึ้นตาม ขยับแว่นดำให้ชิดดั้งหัวเราะเสียงคิกๆๆ...กวนประสาท อีกฝ่ายไม่ลดละ

“เจ้าคนวิตถาร!”
“ใช่แล้วจะทำไม”
“นายโจรป่าห้าร้อย”
“เยอะกว่าร้อยเอกหาญศึกตั้งสี่ร้อย”ยื่นหน้าเข้ามายั่ว
“อย่างงี้ต้องโดนเตะ!สั่งสอน ย๊าก!...”
“โป้หมดแล้ว”
“กรี๊ด!!...”

รีบหุบขา ปิดเป้า หลบม้วนตัวเข้าไปหลบเกาะหลังคู่หมั้นหนุ่ม กฤษณ์รีบบอกเธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วร่างเกือบโป้นั่น ก็รีบวิ่งจู๊ดหายกลับเข้าไปในเต็นท์อย่างรวดเร็ว

สัณฑ์หัวเราะจนตัวงอ เมื่อแกล้งอดีตลูกศิษย์ได้อย่างงดงามอีกครั้ง แล้วก็ต้องสะดุดครางอู้ เอามือกุมสีข้าง ใบหน้าเหยเก ต้องเดินกระย่องกระแย่งมาหาเพื่อนหมอ ถอนหายใจยาว เหงื่อผุดซึม ใบหน้าซีดเปิด ด้วยความเจ็บปวด
มือตบบ่ากฤษณ์เบาๆ“เมียนายนี่ขี้หึ่งชะมัดเล้ย...หึ่งแม้แต่ผู้ชาย ฮ่าๆๆ...อู...โอ้ย...”

กฤษณ์รีบเข้าประคอง“คุณสัณฑ์เป็นอะไรหรือเปล่า? สีหน้าคุณไม่ดีเลย”

สัณฑ์ยิ้มให้กฤษณ์มองอย่างอ่อนโยน นิ่งมองอยู่เช่นนั้นแม้เพียงชั่วอึดใจ มีเพียงกฤษณ์และดาวพระเกตุ สองคนนี้เท่านั้นที่จะให้เป็นอะไรไปไม่ได้

“ฉันแค่สนุกจนลืมสังขารไป เอาล่ะกฤษณ์ฉันมีเรื่องมาหานายเพียงเท่านี้ ไปละ”เขาโบกมืออย่างง่ายๆแล้วเดินออกไป

นายตะบันและจะงอยรีบออกมาจากอีกมุมลับตา มายืนขนาบข้าง เด็กหนุ่มทั้งสามเดินเข้ามาหา เห็นอาการของอดีตครูไพรวัลย์แล้วต้องยิ้มด้วยน้ำตา มองหน้าบุคคลอันเป็นที่เคารพรัก ซึ่งบัดนี้เส้นผมบนศีรษะได้หงอกขาวเป็นเส้นสาย ดูแก่ชราไปอีกหลายปี แต่ก็ยังคมเข้ม เต็มไปด้วยกลิ่นอายของวีระบุรุษในใจของพวกเขาไม่เปลี่ยนแปลง

“พี่สัณฑ์ ให้พวกเราไปด้วยไม่ได้เหรอ”
ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ก็ถูกตวาดทันที
“ถอยไป!!... เจ้าเด็กน้อย”
“จ๊าก!!...”นายคงสะดุ้งสะเด็นออกไปทันทีกับเสียงดังราวฟ้าผ่าของนายจะงอย

นายตะบันสองพี่น้อง ปรี่เข้ามาขนาบข้างพยุงสัณฑ์เดินออกไปทันที แต่ละคนเส้นเอ็นปูดโปนขึ้นหน้า อาการขึงขังน่ากลัวทำหน้าบอกบุญไม่รับใดๆทั้งสิ้น

เล่าอูเดินเข้ามาหาบ้างอย่างเชื่องซึม มิอยากมองร่างนั่นได้อย่างเต็มตา

“นายครับ”เล่าอูพูดเสียงเครือ
“นายจะไปจริงๆหรือครับ นายจะทิ้งเล่าอูให้อยู่คนเดียวในโลกเหรอครับ”
สัณฑ์เพียงพยักหน้าให้อย่างเนิบช้า

“ใช่ ฉันฝากทุกอย่างไว้ด้วย”หันไปมองกฤษณ์ และเต็นท์ซึ่งมีเด็กสาวที่กำลังหลบเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่

เสียงออกจากริมฝีปากอันขาวซีดของเขาเริ่มแหบเครือ ริมฝีปากแห้งแตกและสั่นระริก จนไม่อยากเปิดปากพูดอีก เบือนหน้าโบกมือปัดๆ ไม่อยากจะต้องพูดอะไรเกินจำเป็น เพราะได้ให้คำสั่งทุกอย่างไว้หมดแล้ว








Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 1 มีนาคม 2553 14:57:21 น.
Counter : 1448 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แจ็ค ในสวนถั่ว
Location :
เชียงใหม่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



ยินดีต้อนรับสู่บ้านของคนชอบคิดชอบเขียนครับ
New Comments