เมษายน 2553

 
 
 
 
1
2
3
4
5
7
8
9
11
12
13
14
15
16
17
18
20
21
22
23
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
สมิงไวรัส บทที่ 4


คณะฯได้หยุดพักเที่ยงโดยยึดเอาใต้ร่มไม้แห่งหนึ่ง พวกคนพื้นเมืองต่างเร่งลงมือปราบพื้นที่ ปัดกวาดถากถางวัชพืชออกไป ผ้าปูนั่งผืนใหญ่ถูกคลี่ออกใช้งาน หาญศึกใช้จังหวะที่ทกคนกำลังง่วนกันอยู่ ขออนุญาตออกไปสำรวจพื้นที่โดยรอบ ทั้งๆที่หมอกฤษณ์รีบห้ามแต่ไม่ทัน

"สบายมากครับผู้กอง ผมมีเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดมาด้วย มีผมอยู่ทั้งคนรับรองไม่เเพ้นายสัณฑ์แน่ผมจะนำทางให้เอง"

หมู่แม็กบอกมาพร้อมกับกดปุ่มหนึ่งในนาฬิกา อันมีอยู่มากเกินจำเป็นบนแขน ซึ่งเขาได้ดัดแปลงเครื่องมือทางทหารหลายอย่างไว้ใช้งาน ให้เล็กลงมาอยู่ในรูปคล้ายนาฬิกาเพื่อใส่บนข้อแขนได้ แต่มันยังคงมีประสิทธิภาพสูง การนำของเขา ห่างจากที่พักไปทุกที เมื่อทั้งสี่คนมาถึงจนสุดทาง ข้างหน้าเป็นห้วยลึกพาดตัดขวางเอาไว้

"ผู้กองผมได้รับสัญญาณติดต่อมาจากสายลับของเราจริงๆนะครับ เขาจะต้องแฝงตัวอยู่ป่าแห่งนี้ ไม่ไกลจากเราเเน่ ผมจึงต้องขอให้รีบออกมา ก็สัญญาณเรียกพบเหมือนจะมาไม่ไกลเลยและในทิศนี้ด้วย เเต่ทำไมถึงยังไม่เจอกับเขาอีกก็ไม่รู้เหมือนกัน"

"แน่ใจนะว่า"ผู้กองต้องปราดเหงื่อออกจากใบหน้าที่ไม่เคยแห้งเลย"ไอ้เจ้าผู้เชี่ยวชาญจากกองทัพสิงคโปรคนนี้ ไม่ไปเหยียบกับระเบิดตายห่าไปเสียแล้ว เมื่อวันก่อน เห็นคนขี่พารามอเตอร์ข้ามหัวนำหน้าเราเข้าป่ามาก่อน ผมสังหรณ์ว่าจะเป็น เขา ถ้าใช่ไอ้เจ้าคนนี้มันก็ไม่ฉลาดสักนิด"

ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไรต่อไป เสียงเหมือนของหนักชนิดหนึ่งหล่นดังตุบลงมาสู่พื้น ทั้งสี่หันขวับไปทางเบื้องหลัง ก็เห็นนายสัณฑ์ยืนตระหง่านอยู่บนรากไม้ใหญ่ ร่างสูงผอมในชุดดำ กรอบแว่นดำหนากำลังจ้องมายังคนทั้งสี่คนอย่างเฉยชาไร้ความรู้สึก หาญศึกเห็นดังนั้นก็เร่งเดินเข้าไปหาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

จ่าแจ๋วรีบวิ่งตามทันที ชักปืนออกมา มือกำด้ามแน่น นิ้วมือสอดโกร่งไกปืนอย่างเตรียมจะยิงได้ทันที ร่างนั่นแว้งตัวโดดลงลำห้วยลึกข้างๆก่อนหาญศึกจะไปถึงอีกเพียงไม่กี่ก้าว ทั้งคู่รีบตามมองร่างนั่น แล้วก็ต้องยืนตะลึงลานอยู่ตรงนั้นเองเพราะลำห้วยลึกและโล่งกว้างมาก ที่นายสัณฑ์โดดวูบลงไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่เงาดำนั้นเผ่นโผนกระโจนข้ามลำห้วย กระโดดสลับไปมาบนสองฝั่งด้วยแขนขาทรงพลังเกินมนุษย์แล้วลับหายไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว

จ่าหันมาทางผู้กองถามห้าว ๆ ขึ้นว่า

"ผู้กองทำไมไม่ยิงเสือดำตัวนั้นครับ"

"ฮือม์ ! อะไรกันยิงอะไรกันจ่า ที่ผมเห็นเมื่อกี้คือนายสัณฑ์นะ ถึงจะโผล่พรวดออกมาแบบไม่เป็นมิตรทุกทีก็เถอะ ผมจะไม่ยิงเขาแบบนี้แน่”

เขาทำหน้าสงสัยตอบมา

“ผู้กอง”จ่าออกเสียงมาอย่างยากเย็น“เมื่อกี้เห็นอะไรอยู่กันแน่ แต่ผมเห็นเป็นเสือดำตัวหนึ่ง มันมาหยุดยืนดูพวกเราอยู่นะ แล้วยังทำท่าจะกระโจนลงมาทำร้ายผู้กองด้วย ผมยังเดาไม่ถูกเหมือนกันว่า ทำไมผู้กองต้องเดินเข้าไปหามันด้วย ถ้าเกิดมันจะพุ่งเข้าถึงตัวละก้อ ผมยิงช่วยไม่ทันแน่"

ทหารแก่พูดต่ำ ๆ ยกแขนขึ้นปาดเหงื่อสลัดออกไป หาญศึกหันมาถามอย่างงงงัน

"ผมต้องขออภัยจ่าด้วยที่ทำอะไรวู่วามเสมอ แต่เมื่อครู่ผมเห็นเป็นนายสัณฑ์จริงๆ ไม่ได้เห็นเป็นอื่นไปเลย ไม่รู้ว่าเพราะเหนื่อยมาหนักหรือเปล่า เราสองคน คนใดคนหนึ่งอาจจะตาฝาดไปเองก็ได้"

จ่าตั้งสติได้แล้วและเริ่มเข้าใจในอะไรบางอย่าง เดินเข้ามาจับไหล่นายทหารหนุ่มบีบแน่น และตบหนักหน่วง

"ผู้กอง ! สมัยหนึ่งตอนที่เราปฏิบัติการในป่าลึกเช่นนี้ ผู้กองเคยถามผมเกี่ยวกับเรื่องอาถรรพ์ของป่าโดยเฉพาะเรื่องของเสือกินคน แล้วผมก็ได้เล่าให้ฟังไปอย่างละเอียดไปแล้ว และผู้กองก็เชื่อตามผมว่ามันมีจริง ผู้กองลืมไปแล้วเหรอครับ เรื่องที่ผมย้ำมาตลอดเมื่อเข้าป่าลึกที่มีสัตว์อันตราย คนที่อยู่อาศัยในป่าปัจจุบันนี้เขาก็ยังเชื่อกันอยู่นะ ว่าเสือกินคนมันมีอาถรรพ์อยู่ในตัวจริง”

หาญศึกหน้ามุ้ยรู้สึกว่าจ่าพูดแรงไป

“ผมยังคงมีความรู้สึกเชื่อมั่นในตัวจ่าอย่างเต็มเปี่ยมครับ แต่เรื่องแบบนี่มันเกินเชื่อจริงๆ จ่าจะบอกผมหรือว่าเมื่อกี้ที่ผมเห็น มันคือเสือสมิง ทั้งที่สองตาของผมมันบอกว่า นั่นคือนายสัณฑ์ มันยังไงพิกลอยู่นะ หมอนั่นอาจจะเป็นคนแปลกพิลึก และซ่อนความลับในตัวมากมาย ขนาดผมเห็นหน้าครั้งแรกยังคิดว่าเป็นคนไม่ดีมากกว่า

มันเป็นอคติติดมาตั้งแต่เริ่มแรกแท้เซียว แต่หลังผ่านเหตุการณ์เป็นตายมาเมื่อเช้าผมกลับมองนายสัณฑ์เปลี่ยนไปอีกคนรวมทั้งคนอื่นๆด้วย ซึ่งทั้งหมดเริ่มแรกมันล้วนมาจากเจ้าความอคติของผมเอง"

ทหารอาวุโสผู้คร่ำหวอดมากับสิ่งลึกลับ ความเชื่อและสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาตลอดชีวิตกลับเพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ ตอบกลับมา ให้แก่ความคิดอันกว้างขวางขึ้นของคนหนุ่มตรงหน้า คนสองคนช่างมีอิทธิพลต่อความคิดของชายหนุ่มผู้เคยหลงผิดคนนี้ยิ่งนัก คนหนึ่งที่มองเหมือนผู้หญิงไม่ใช่เป็นผู้ชายไม่แท้ อ่อนปวกเปียกไปทั้งตัวแต่มันไม่จริงเลย เขาเป็นคนกล้าหาญและเสียสละ

อีกคนหนึ่งคือนายสัณฑ์ที่ช่วยให้คณะแพทย์อาสาของหมอกฤษณ์ไปได้ทุกที่ในป่าและก็เป็นตัวปริศนาแห่งอันตราย ที่ญาณสัมผัสของเขาบอกให้ต้องพึ่งระวังให้จงหนัก

"ผมเห็นจะเล็งปืนได้อยู่แล้วถ้าผู้กองไม่มาบังมุมเล็งเสียก่อน"

หมู่แม็กอีกคนถามแหบ ๆ ท่าทางเขายังไม่หายขนลุกขนชันในภาพหวาดเสี่ยวเมื่อครู่นี้

"ผมก็เป็นอีกคนครับยังยืนยัน ว่าผมเห็นเป็นเสือดำไม่ใช่นายสัณฑ์แน่ที่มาหยุดยืนมองดูพวกเรา มันจะเล่นงานผู้กองหรือพวกเราสักคนแน่ๆ โก่งตัวยังกะธนูพร้อมปล่อยซะขนาดนั้น แต่มันกลับยอมแว้งตัวหลบไปเอง ถ้าจ่าไม่เอะอะวิ่งถือปืนตามไปเสียก่อน ผมไม่อยากจะยิงสัตว์ป่าตัวไหนโดยไม่จำเป็นหรอกครับ ยกเว้นแต่ว่าถ้ามันจะเล่นงานเราจริง ๆ ก็ต้องฆ่ามันและก็เป็นตัวแรกด้วยที่พบกับสัตว์ใหญ่ในป่าแห่งนี้

ผู้กองสงสัยบ้างไหมครับ ว่าเราเข้าป่ามาตั้งนานเจอสัตว์ใหญ่อะไรมั้ง แต่ไม่อยู่ๆเราก็เจอกับเสือดำตัวเบ้อเร้อ ตัวมันใหญ่เหลือเกิน ใหญ่เสียจนกระทั่ง ปืนกระจิ๋วหลิวกับกระสุนของเราจะทำอะไรมันได้ ปืนเอชเคเราก็คืนพวกกะเหรี่ยงไปแล้วด้วย"

หาญศึกห่อไหล่

"แล้วหมู่จะรู้ได้ยังไงว่า ว่าเขาเจตนาจะเล่นงานเราแน่ถึงได้จะยิง"

"มันทำท่าจะกระโจนใส่ผู้กองถึงขนาดนั้น แยกเขี้ยวขาว อ้ากรงเล็บ นั่นแปลว่ามันเอาผู้กองแน่ ผมยังสงสัยทำไมผู้กองถึงยังเดินเข้าหามันได้..."

"หมู่แม็กสงสัยอะไร?"

"ก่อนหน้าจะเดินทางมา ผมศึกษาข้อมูลภูมิศาสตร์และข้อมูลของป่ามาก่อนครับ ป่าแถบนี้มองผิวเผินเป็นป่าดงดิบที่สมบูรณ์ แต่ความจริงมันไม่สมบูรณ์สักนิด ผลกระทบจากสงครามความขัดแย้งของมนุษย์ทำให้สัตว์ป่าไม่อาจจะอยู่อาศัยในป่าแห่งนี้ได้ แล้วผมยังได้ยินข่าวลือจากปากชาวบ้านก่อนเดินทางมาอีก ว่ามีสัตว์ป่าดุร้ายชนิดหนึ่ง ที่มันล่าคนมาเป็นอาหารในเขตป่าที่เรามุ่งหน้ามาหรือก็คือป่าแห่งนี้ให้ระวังตัว

ผู้กองเห็นไหมครับว่าตลอดทางเราพบเจอแค่สัตว์เลื่อยคลาน นกและลิงเท่านั้นไม่พบสัตว์ใหญ่เลย ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะบรรดาสัตว์ใหญ่มันพากันอพยพเข้าป่าลึกกันหมดแล้ว ถ้าจะมีเหลือก็มีเพียงประเภทเดียวเท่านั้น ตามรายงานของกองทัพ ว่ามีสัตว์กินเนื้อชนิดหนึ่งที่ยังคงอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ได้ และบวกกับเป็นรายงานของสายลับคนก่อนของเรา ที่เข้ามาป่าแห่งนี้แล้วหายตัวไปและคาดว่าจะเสียชีวิตแล้ว

ในสัญญาณสุดท้ายที่เขาส่งมา ให้ความสำคัญกับเสือดำมากและคำสุดท้ายจากปากของเขาผ่านวิทยุสื่อสารคือ เสือดำล่าคน นี่คือปริศนาของสายลับคนนั้น ก่อนที่เขาจะหายสาบสูญไป หะทีแรกผมคิดว่าเขาคงตื่นกลัวเกินเหตุ ถึงได้รายงานความน่ากลัวของเจ้าสัตว์ชนิดนี้มาน่ากลัวเกินจริง แต่ที่ผมเห็นเมื่อกี้กับทุกคน ผมชักจะไม่แน่ใจเสียแล้ว

สารานุกรมสัตว์ที่ผมรู้มันคงจะเขียนผิดเเน่ ที่ว่าเสือดำเป็นเสือขนาดกลาง แล้วที่เห็นนะมันยิ่งกว่าเสือโคร่งอีก ทางที่ดีที่สุดผมอยากจะขอร้องให้พวกหมอกฤษณ์ได้ย้อนกลับไปเสียดีกว่า เห็นขนาดของมันเมื่อกี้ผมใจหายเลย ปืนในมือของพวกเราจะเอามันอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้"

จ่าแจ๋ว ทองปา หาญศึกหันมามองดูหน้ากัน แล้วหาญศึกผู้เป็นหัวหน้าก็ยิ้มพยักหน้า

"ผมยังคงยืนยันกับจ่า หมู่แม็กและทองปาด้วย ว่าเมื่อกี้ผมเห็นนายสัณฑ์เห็นคนตัวเป็นๆจริง ไม่ได้เห็นเป็นเสือดำอย่างที่ทุกคนบอกเลย ผมยังไม่เห็นความน่ากลัวของเจ้าเสือดำที่ว่าแต่ยังไงเราก็มาเดินเคียงบ่าเคียงไหล่มา ในภารกิจนี่ด้วยกันแล้ว พวกเราต้องฝากชีวิตไว้แก่กันและกัน ผมจะไม่ถือว่าสิ่งทุกคนเห็นหรือสัมผัสได้เป็นสิ่งเหลวไหล ผมจะตั้งสติคิดวิเคราะห์อีกครั้งหนึ่ง แต่ยังไงทุกคนก็ต้องถือคำสั่งของผมเป็นสำคัญ เอาล่ะพวกเรากลับไปรวมกับพวกหมอกฤษณ์ได้แล้ว"

หมู่แม็กใช้เครื่องค้นหาในข้อแขน ของเขานำร่องกลับไปรวมกับทุกคน ร่างของนายทหารยังคงเดินตามได้อย่างเป็นปกติ แล้วค่อยหันมาสบตาจ่ากับทองปา

"ขอบคุณจ่ากับอีกสองคนด้วยนะ การออกปฏิบัติครั้งนี่ผมทำใจไว้แล้วว่าพวกเราต้องเผชิญภัยร่วมกันอีกมากและไม่มีขอบเขตจำกัด ทุกคนล้วนเป็นผู้ได้รับคัดเลือกจากกองบัญชาการสุงสุด คำพูดย่อมจะต้องมีเหตุผลและน้ำหนัก ผมเสียอีกที่ทำนอกภารกิจ ทำตามใจตนเองมาเสียมาก ทำให้ทุกคนต้องถูกเปิดเผยตัว ต้องเสี่ยงมากขึ้นเกินเหตุ แล้วยังทำให้คณะของหมอ กฤษณ์ต้องมาเสี่ยงภัยกับเรื่องของเราอีก การทำหน้าที่เพื่อมนุษยธรรมพวกเขาต้องใช้ชีวิตบนความเสี่ยงสูงมากอยู่แล้ว"

"ถึงเวลาแล้วใช่ไหมครับผู้กองที่เราต้องปลีกตัวออกจากคณะแพทย์อาสาเสียที เพราะผมรู้สึกว่าเราก็เป็นส่วนหนึ่งที่พาพวกเขาไปเสี่ยงอันตราย บางทีหากเราจากไปเสียตอนนี้อาจจะเป็นทางออกที่ดีก็ได้"

จ่าให้ความเห็นมาอย่างตรงๆ

"เห็นจะยังครับ เรามาอย่างเปิดเผยก็ควรจากไปอย่างเปิดเผย ผมไม่อยากจะจากไปสภาพนี้ มันจะเป็นการไม่สมควรโดยเฉพาะกับหมอกฤษณ์เขาเป็นญาติของผมแล้ว ผมจะเป็นคนไปบอกกับเขาด้วยตัวผมเอง คงไม่ถึงกับมีผลเสียอะไรหรอกนะครับ ที่เราจะถือมารยาทในการมาและการไป และผมก็ไม่คิดห่วงกังวลความปลอดภัยของหมอกฤษณ์กับเจ้าน้องสาวตัวแสบของผมอีก

เพราะยังมีเล่าอูและพวกลูกทีมพื้นเมือง ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นนักสู้ที่เก่งกาจกันทั้งนั้น เขาเดินป่าแถวนี้มาตั้งสี่ห้าปีชำนาญกว่าพวกเรามาก ต่อให้ขาดนายสัณฑ์ไปคนหนึ่ง ผมก็เชื่อว่าคณะของหมอกฤษณ์ก็ยังคงเดินหน้าต่อได้"





เมื่อพวกเขากลับมา ที่เหมือนทุกคนกำลังรอพวกเขามาทานข้าวพร้อมกัน กฤษณ์ยังคงนั่งบนก้อนหินแทนม้า เด่นเห็นชัดมาแต่ไกล ด้วยบุคลิกนิ่มๆแล้วรอยยิ้มละไมก็ปรากฏ เมื่อเห็นหาญศึกกับพวกกลับมาอย่างปลอดภัย เเต่เกตุกลับต่อว่ามาเอายกใหญ่

"พี่หาญศึกหายไปไหนมา ทุกคนเขารอพวกพี่จนหิ้วท้องไส้กิ้วกันแล้วนะ แต่พี่หมอให้รอก่อนยังกินกันไม่ได้ พี่มัวไปไหนขืนไปมัวเดินสุ่มสี่ส่มสุ่มห้า ประเดี๋ยวไปเหยียบกับระเบิดเข้าให้หรอก น้องไม่อยากไปตามเก็บชิ้นส่วนเหมือนนายสัณฑ์กับเจ้าขบถสามคนนั้นนะ"

หาญศึกทำตาเข้มๆแบบดุเข้าใส่ ชี้นิ้วไปที่คนพูดแล้วโบกนิ้วส่ายไปมาเป็นนัยบอกว่า มีเรื่องที่ต้องชำระสะสาง ทำเอาน้องสาวยอดแสบถึงกับกลืนน้ำลายอึก รู้ตัวกับเรื่องที่ตนไปโกหกหลอกลวงเขาไว้ต่างๆนานา

"ผมต้องขอโทษคุณหมอด้วยนะครับที่ออกไปโดยพละการ"

เขาปรับสีหน้ายิ้มได้ พูดขึ้น ขณะที่เลือกนั่งลงเคียงข้างอดีตนายโจรขนยาบ้าอย่างตะบัน

กฤษณ์ยังยิ้มละไมอยู่เช่นนั้น

"คุณหาญศึกเป็นทหารย่อมรู้วิธีหลบหลีกอันตรายจากกับระเบิดได้ เกตุเป็นห่วงคุณมาก ก็เลยพูดหลุดปากไปอย่างนั้นเอง ผมต้องขอโทษแทนเธอด้วยนะครับ และตอนนี้ผมมีเรื่องสำคัญจะพูดจะขอความช่วยเหลือ"

"หมายความว่ายังไงครับ"

"เราจะกินกันไปปรึกษากันไปนะครับ"

ที่ตั้งพักอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ของต้นไม้ อันขึ้นซ้อนหรือเป็นกาฝากพันกันเหมือนกำเเพงกั้น นายสัณฑ์เป็นคนกำหนดให้พักตรงนี้ ต่ำกว่าระดับที่พักลงไปเบื้องล่าง มีลำห้วยแห้งขอดพาดผ่านเป็นแนวมาจากเทือกเขาใหญ่ บนต้นไม้สูงมีกล้วยไม้สีเหลืองหรือเอื้องผึ้งออกช่อรวงงดงามมาก และมีคนรู้ใจเอามันลงมาช่อหนึ่งจากจำนวนมากมายบนต้นไม้ มาวางไว้บนพื้นข้างล่าง

หมอกฤษณ์ รับมาดมอย่างชื่นใจรู้ว่านายสัณฑ์เอามาวางไว้ให้ เเต่แล้วก็ต้องรีบส่งต่อให้หญิงสาวคู่รักเพราะเกตุบอกว่าตนเองเป็นผู้หญิงเหมาะกับดอกไม้มากกว่า

อาหารของนายหมอ ที่อภิรักษ์เตรียมมาให้ตามปกติหน้าที่รับใช้ของเขา เป็นแซนวิสปลาทูน่า ยังไม่ทันจะเอาไปให้ก็ถูกเกตุคว้าหมับเอาไป แล้วเอาไปยืนให้แทนเอง

"แซนวิสน่าอร่อยจังเลยนะคะพี่หมอ"

"เกตุน้องกินก่อนได้เลยนะ"

เธอรีบหม่ำอย่างหิวโหยแล้วยังยิ้มแก้มตุ้ยให้ เขาเอื้อมมือไปลูบเส้นผมของเธออย่างเอ็นดู

"วันนี้อาการร้อนมาก การเดินจึงหนักเกินคาดหมาย เกตุน้องคงปรับตัวไม่ทัน ร่างกายก็ยิ่งต้องการพลังงานมาชดเชยมาก กินเยอะๆนะ ทั้งวันเรายังต้องเดินกันหนักอีกหลายชั่วโมง"

"ขอบคุณคะ"

เขาหันไปสั่งอภิรักษ์ให้ทำแซนวิสมาให้เธออีกอัน

มีแต่สายตาไม่พอใจที่เขาคนนั่นจำต้องรีบหลบซ้อนเอาไว้

อาหารของพวกคนพื้นเมืองเป็นข้าวสุกกับเป็นเนื้อตากแห้งสีกระดำกระด่างแบบเดียวกับเมื่อวานเพราะเอามาติดตัวกันมามาก กฤษณ์เห็นสงสัยจึงถามขึ้น

"อาหารสำเร็จรูปที่ฉันสั่งเอามากับเครื่องมีตั้งเยอะแยะ คนหนึ่งมีกินได้เป็นอาทิตย์ทำไมไม่เอามากินกันละ เห็นตั้งแต่เมื่อวานแล้ว กินแต่เนื้อสุกๆดิบๆอยู่ได้"

กฤษณ์ตำหนิ

"คือพวกเราเอามันออกไปหมดแล้วครับ"

มีคนหนึ่งตอบมาอย่างประสาซื่อ

"ทำไมละ"

"มันหนักแบกเสียเปล่าๆเรามาหากินเอาผักหญ้าในป่าข้างหน้าดีกว่าครับนายหมอ พวกเราเป็นลูกป่าไม่กลัวอดตายอยู่แล้ว"

"เฮ้อ… พวกเรานี่นะ รึว่าอาหารสำเร็จรูปมาตรฐานองค์การอาหารและยามันไม่ถูกปากข้าวพัด แกงพะแนง ไก่พะโล้และอีกสารพัด อาหารพวกนี้พวกเราเป็นคนขอมาเองนะแล้วฉันก็จัดหามาให้แล้ว ทำไมไม่กินกันอีก"

"ก็เพราะมันเป็นอาหารดีๆนั่นสิครับนายหมอ"

เล่าอูเป็นตัวแทนทุกคนตอบมา

"ลูกเมียของเจ้าพวกนี้แต่ละคน ยามปกติไม่ค่อยมีโอกาสได้กินอาหารดีๆหรอกครับนายหมอ พวกมันจึงเอาอาหารที่นายให้ยกให้ลูกเมียข้างหลังหมด โดยเฉพาะเจ้าตะบัน เมียมันพึ่งจะคลอดลูกด้วย ต้องกินของดีๆมีประโยชน์ จะได้มีน้ำนมมาเลี้ยงลูก ตัวผมเองไม่มีลูกเมียก็เฉลี่ยๆ แจกพ่อเฒ่าแม่แก่ไปโดยเฉพาะเอาไปกำนัลเฒ่าเซี้ยะด้วย คนข้างหลังจะได้มีกินไม่อดกัน ป่าตอนนี้ไม่ปลอดภัยจะออกหากินเก็บฝักหญ้าล่าสัตว์อย่างเมื่อก่อนได้เสียเมื่อไหร่ สงครามปราบชนกลุ่มน้อย มันทำให้มีพวกทหารป่ากับออกมาเพ่นพ่านไปหมด โจรก็เยอะ ข้าวโพดข้าวไร่เพิ่งเก็บเกี่ยวเข้ายุ้งฉางก็กลัวพวกมันจะมาชิงเสบียงของเราไปอีก"

นายหมอต้องนั่งเอามือเท้าคางเพราะไม่รู้จะพูดอะไรได้อีก

"ฉันก็สั่งมาเผื่อญาติของพวกเราด้วยนี่นา ไม่ใช่น้อยๆเลย ไม่เห็นต้องเอาส่วนของพวกเราๆไปให้อีก พวกเราต้องทำงานหนักกันนะ วันหนึ่งๆต้องใช้พลังงานไปกี่แครอลี่ หมอคำนวณให้หมดแล้ว แบบนี้ต่อไปมันจะไม่ดีต่อสุขภาพของพวกเรานะ"

การเอาใจใส่ดูแลสุขภาพของทุกคนในคณะฯเป็นสิ่งที่หมอกฤษณ์ให้ความสำคัญมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ ก่อนที่จะไปช่วยเหลือใครอื่น น้ำใจตรงนี้ที่พวกคนพื้นเมืองยอมรับว่าจะหาจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว จะมีก็เพียงคนเป็นพ่อเป็นแม่ญาติสนิทเท่านั้นที่ปฏิบัติให้ได้เช่นนี้

กฤษณ์สั่งให้เอาอาหารส่วนของตนมาแบ่งให้ทุกคนกินและสั่งย่างเนื้อหมู่ป่ารมควันเสบียงหลักของพวกคนพื้นเมืองเพื่อเพิ่มปริมาณอาหาร โดยใช้กระทะไฟฟ้าหนึ่งในอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย

"จริงๆเลยนะชอบกินแต่ของสุกดิบๆรู้ไหมมันมีพยาธินะ เชื้อโรคบิด อหิวาก็อาจเจอเข้าถ้าหากขืนยังขืนกินกันแบบนี้อยู่อีก ต้องทำให้สุกเสียก่อนค่อยกินนะ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จฉันต้องให้ทุกคนกินยาขับฆ่าพยาธิด้วย"

"ครับ…"

ทุกคนต่างผสานเสียงกัน

ยอดคุณหมอต้องเป็นคนลงมือย่างเนื้อให้จนสุกด้วยตนเองก่อนส่งให้ทุกคนกิน ปากก็พร่ำบ่นถึงอีกหลายเรื่อง เต๊อะมาแอบสะกิดบอกนายหญิงเกตุว่าแท้ที่จริง นายหมอกฤษณ์ มีนิสัยเหมือนยายแก่ที่บ้านของเขาเลย ชอบจู้จี้ขี้บ่น อาหารและน้ำที่ทุกคนกินดื่ม จะต้องสะอาดปราศจากเชื้อโรค แต่ถ้าวันไหนนายหมอ เกิดลงมือทำอาหารเองแบบนี้เมื่อไหร่ อาหารนั่นจะมีรสชาติแบบอาหารโรงพยาบาล คือจืดชืดสนิท โดยเฉพาะช่วงใหม่ๆที่เกตุมาอยู่แค้มป์ด้วย กฤษณ์ถึงกับลงมือปรุงอาหารด้วยตนเองทุกมื้อ เพื่อเลี้ยงแขกคนสำคัญ ตำนานอาหารโรงพยาบาลที่จึงมาจากเขานี่เอง

สายตาคมปราบส่งมาที่คนนินทาทันที

"อาหารทุกมื้อฉันลงมือทำอย่างสุดใจนะนายเต๊อะ อาหารของฉันมีสารอาหารครบถ้วนและมีประโยชน์ต่อร่างกาย ไอ้รสเผ็ดกินมันมากๆมันมีอันตรายต่อหัวใจรสเค็มก็มีผลต่อไต รสหวานมันก็บ่อเกิดของเบาหวานอีก อาหารรสจัดจ้านทั้งหลายมันไม่มีประโยชน์อะไรต่อสุขภาพเลยนะมากินอาหารเพื่อสุขภาพดีกว่า"

เขาเรียกเอาเนยมาแล้วลงทาเนื้อแล้วขอวิตามินมาบดเป็นผงโรยลงบนเนื้อย่างซ้ำอีก

"จริงหรือค่ะพี่หมอ อาหารทุกมื้อพี่หมอเป็นคนลงมือทำเอง มิน่า ถึงได้อร่อยนัก"

หล่อนมองการย่างเนื้อสูตรพิลึกแล้วไม่นึกศรัทราพี่หมอในเรื่องอาหารเลย

"ต่อไปนี้เกตุน้องจงดีใจได้แล้วนะ พี่หมอจะลงมือทำอาหารให้น้องกินทุกมื้อเอง"

"น้องอิ่มจากแซนวิสแล้วคะ วันนี้น้องไม่อยากทานเนื้อด้วยต้องขอผ่านนะค่ะ"

เล่าอูลุกขึ้นพรึบ

"ผมจะออกไปตามนายสัณฑ์กับเด็กสามคนนั่นนะครับนายหมอ แล้วจะเลยพักกินข้าวกับพวกเขาไปเลย ระหว่างที่ผมไม่อยู่กรุณาอย่าเดินออกไปให้ห่างบริเวณแค้มป์ของเรานักนะครับ"

จอมเมรัยบอกแล้วก็คว้าปืนเดินดุ่ม ๆ หายไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับตะบัน จะงอย เล่าวูพวกพื้นเมืองคู่ใจของเขา ต่างอ้างอีกหลายเหตุแล้วรีบเดินหายออกไปอีก

"ทำไมไม่รอก่อนนะเนื้อย่างนี่หมอโรยวิตามินเสริมเข้าไปด้วยนะ กินเข้าไปแล้วร่างกายจะแข็งแรงปราศจากโรคภัย"

บรรยากาศการกินอาหารเป็นไปอย่างครื้นเครง ทหารจากกองทัพไทยกินทุกอย่างได้โดยไม่สนเรื่องรสชาติ ไม่ว่าอาหารจะแปลกพิสดารเพียงใด การสนทนาในวงอาหารมาจนถึงบทสำคัญ

"เสือดำรึ !?"

"ครับ"

"พวกคุณไปเจอเข้าแล้วได้รับอันตรายบ้างไหม!?"

กฤษณ์ถามอย่างตื่นเต้นผิดกับพวกหาญศึกที่ดูเฉยๆ

"ไม่ครับมันเพียงการพบเจอกันโดยบังเอิญมากกว่า พอมันเจอพวกผมแล้วก็หนีไป"

เขาเลี่ยงพูดในส่วนที่เกี่ยวกับนายสัณฑ์ไปเสีย

"ผมเห็นรอยเท้าของมัน นับแต่คณะของเราเข้ามาในหุบแล้วครับ มันฉลาดมากที่ไม่เข้าเล่นงานคนกลุ่มใหญ่ แต่เลือกจู่โจมคนที่แยกออกมาอย่างพวกผมเมื่อกี้ แต่ดีที่ไม่เกิดอะไรขึ้น แต่ขากลับผมยังเห็นรอยเล็บของเสือเป็นรอยสดๆมานี้เอง

เหนือที่เราพักขึ้นไปอีกขึ้นไปอีกนิด มันลองเล็บของมันกับเปลือกไม้ รอยต่อสู้กันหญ้าแหลกเป็นแปลง ผมว่ามันน่าจะมีมากกว่าหนึ่งตัวด้วยซ้ำ พวกหมอได้ยินเสียงของพวกมันหรือเปล่าครับ น่าแปลกที่สัตว์ใหญ่อย่างพวกมันสามารถอยู่ได้ในป่าที่เป็นที่อันตรายกับทุกชีวิตเช่นนี้"

กฤษณ์และทุกคนในคณะของเขาฟังหาญศึกพูดอย่างเฉยๆไม่วิตกทุกข์ร้อนอย่างที่คนพูดจะเข้าใจจะเห็นภาพก่อน

"นี่ละครับเรื่องสำคัญที่ผมจะบอกกับคุณหาญศึก ถ้าพบเห็นเสือดำตัวโตๆ เที่ยวเดินลับล่อ วนไปมารอบพวกเราแล้วละก้อไม่ต้องตกใจแล้วไปทำร้ายพวกเขานะครับ พวกเราผ่านป่าแห่งนี้มาหลายครั้ง เสือพวกนี้แค่มาเมี่ยงมองอย่างสงสัยเท่านั้น ไม่เคยเข้ามาจู่โจมทำอันตราย คุณสัณฑ์เขาก็สั่งไว้ว่าอย่าไปทำร้าย แล้วเขาจะไม่ทำอันตรายเรา"

หาญศึกเพียงตอบรับไป แล้วก็แอบทึ่งในตัวหมอกฤษณ์ เขามีน้ำใจเอื้ออารีย์ให้เเม้กระทั้งสัตว์ป่าเซียวนั้นหรือ

"สิ่งมีชีวิตทุกชนิดสามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ที่เปลี่ยนไปเพื่อให้ตนเองมีชีวิตอยู่รอดสืบเผ่าพันธุ์ต่อไปบนโลกใบนี้ เสือดำทำไมเขาถึงยังอยู่ได้ในป่าที่คนทำเรื่องโหดกับสัตว์ป่าไว้ ก็เพราะเขาสามารถพัฒนาการจากสัตว์นักล่ามาเป็นสัตว์กินซากแทนไงครับ จมูกที่เคยสูดดมหาเหยื่อที่มีชีวิต ก็เปลี่ยนมาหากลิ่นของดินปืนดินระเบิดเพื่อหลบเลี่ยงอันตราย

และหาซากสิ่งที่ตายแล้วมาเป็นอาหารแทน คุณหาญศึกอาจจะงงว่าพวกเขาไปกินซากอะไร ผมก็ขอบอกเลยว่าซากศพของทหารหรือไม่ก็พวกลูกหาบไงครับ ทุกที่ทุกจุด ที่เกิดการปะทะในป่า ที่นั้นจะมีอาหารให้กับเสือดำกินจนอิ่มหนำ

ดงกับระเบิดแห่งนี้เสือดำสามารถปรับตัวได้อย่างงดงาม แถมยังเป็นแหล่งให้พวกเขามาเยี่ยมมอง ดูว่าจะมีคนมาเหยียบกับระเบิดเมื่อไหร่ เขาแค่มาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่มนุษย์มาทำต่อมนุษย์ด้วยกัน ยิ่งเส้นทางตรงนี้เป็นทางเดินทัพสำคัญที่กองกำลังทุกฝ่ายต้องเดินผ่าน

แต่ละครั้งทหารต้องนำเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิดหรือไม่ก็สุนัขดมกลิ่นนำทางเข้ามาก่อน ถึงจะเดินผ่านได้ แต่ก็ยังมีคนพลาดเหมือนกัน โดยเฉพาะหากมีกองกำลังกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาซุ่มโจมตีอีกฝ่ายในป่าแห่งนี้แล้วละก็ คุณหาญศึกเป็นทหารคงเข้าใจ ว่าต้องมีคนเป็นเหยื่อสังเวยมากขนาดไหน เเต่ผมไม่เคยคิดเกลียดกลัวเสือเหล่านี้เลยนะครับ เขาต้องเอาชีวิตอยู่รอดด้วยการกินคน เพราะเช่นนี้หากคุณหาญศึกไปเจอเสือดำตัวโตกว่าขนาดปกติละก้อ มันเป็นเรื่องปกติของป่านี่ที่เดียว

"น้องกลัวเสือดำจังเลยคะ พวกมันเหมือนยมทูตมารับศพเลย เสือกินคนก็ต้องเป็นเสือสมิงเสือผีสิง เจ้าประคุ้ณ…ขออย่าได้เจอะได้เจอกันเลย ที่นี้เป็นสุสานผีตายโหงอย่างที่พี่หมอเคยพูดไว้จริงด้วย มิน่าเข้ามาถึงเย็นสันหลังนัก น้องว่าเรารีบออกไปจากป่าผีแห่งนี้เถอะคะ"

เจ้าแม่ชมรมขวัญผวาพูด ในขณะที่กวาดสายตาหวาดหวั่นออกไปรอบด้าน


"ไหนเกตุบอกว่าในป่านี่มีนกสวยๆเยอะจะขอออกเดินเที่ยวถ่ายรูปไงละพี่หมอจะพาเที่ยวให้เอามะคนเก่ง"

"ไม่เอ๊า"

"เอาเถอะผมไม่อยากเจอเรื่องแปลกๆจากคุณหมอน้องเขยอีกแล้วคืนนี้ค่อยหารือกันดูใหม่ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ เราไม่ควรจะใช้เวลาอยู่ในป่าแห่งนี้ให้มากนัก ถ้าหากเราถูกใครที่ไหนมาสุ่มยิงแบบเดียวกับเมื่อวานอีก ที่นี้บรรลัยแน่ ผมไม่อยากให้พวกเราต้องตกเป็นเหยื่อกับระเบิดแล้วให้เสือดำมันมางาบหรอกนะครับ"

ร้อยเอกหาญศึกพูดเป็นงานเป็นการ แล้วหันมาทางอภิรักษ์ที่สงบเสงี่ยมเสียนาน

"หากเราเดินกันด้วยความเร็วปกติคุณอภิรักษ์เคยบอกผมว่าเราจะใช้เวลาเดินทางประมาณ ๑ อาทิตย์ไม่ใช่หรือครับในการไปถึงเขาหงส์?"

"ครับประมาณ ๑ อาทิตย์ แต่ต้องหมายถึงว่าเราจะต้องเดินทางกันจริง ๆ โดยไม่แวะไถลพักที่ไหนเกินกว่าแห่งละคืนเลย"

อภิรักษ์ให้ความเห็นเพียงแค่นั้นแล้วก็เงียบไปตามเดิม ยอดคุณหมอนิ่งไปครู่เหมือนจะใช้การใคร่ครวญ สีหน้าของเขาขรึมเคร่งลง แล้วก็หันมาทางนายทหาร

"คุณหาญศึกมีความเห็นอะไรอีกไหมครับ"

"ผมไม่อาจออกความเห็นใด ๆ ได้ทั้งสิ้นครับ ผมขอฝากทุกสิ่งทุกอย่างไว้ที่คุณหมอน้องเขยด้วยแล้วกันครับ เวลานี้ผมบอกได้แค่เพียงว่า คุณกับนายสัณฑ์มีอะไรแปลกพิสดารมากขึ้นทุกทีแล้ว คุณไม่กลัวทหารถือปืนจ่อเข้าใส่ ไม่กลัวเสือกินคน ผมเสียอีกที่เป็นฝ่ายขวัญเสียแทน คุณรักมีเมตตากับสิ่งชีวิตทุกชนิดแม้กระทั้งเสือกินคน มิน่าคุณหมอถึงได้มีอิทธิ พลทั่วทั้งชายแดนแห่งนี้ ก็เพราะมีเมตตาบารมีนี้เอง ขนาดทหารเป็นร้อยยังยอมสยบให้ ผมภูมิใจจริงๆที่มีน้องเขยเป็นยอดคนเช่นคุณ"

เกตุได้ยินหาญศึกพูดถึงพี่หมออย่างนั้นเลยเกิดอาการสำรวมขึ้นมา

"พี่หมอคะ อย่าให้เรื่องของน้องต้องไปรบกวนการทำงานของพี่หมอเลยนะคะ เราไปกันโดยไม่เร่งร้อนก็ได้"

"พี่หมอขอเวลาน้องเกตุหนึ่งอาทิตย์เป็นอย่างมาก แต่กลางทางต้องผ่านหมู่บ้านทับกลาง พี่หมอจะขออนุญาตน้อง หยุดพักที่หมู่บ้านแห่งนึ้นะ เพราะเป็นหมู่บ้านที่พี่หมอจัดตั้งขึ้นมาเอง ทิวทัศน์ที่นั้นสวยมาก พี่หมออยากให้เห็นมันจริงๆ แต่ถ้าเกตุต้องการมุ่งหน้า ตามหาคนพี่หมอก็จะไม่ขัด เราจะเดินหน้ากันเต็มที่เพื่อตามหาเณรกานต์กันตามที่พี่หมอรับปากไว้"

"โธ่…เวลาแค่อาทิตย์เดียวเอง น้องไม่เร่งพี่หมอขนาดนั้นหรอก เราค่อยไปก็ได้ อย่าลืมว่าน้องเป็นคนของพี่หมอเป็นคนของคณะแพทย์อาสาแล้วนะ อย่าให้เรื่องของน้องต้องไปเบียดเบียน แย่งโอกาสที่พวกคนทุกข์ยากซึ่งเขารอคอยความช่วยเหลือจากพี่หมอเลยนะค่ะ เราไปกันตามสบาย ๆก็ได้ เจอคนเดือดร้อนก็หยุดช่วยไปถึงจะถูก"

หาญศึกพลันนึกคำพูดของผู้พันนะเคามวย ที่พูดถึงหมู่บ้านทับกลางขึ้นมาได้ เรื่องมีกองกำลังพิเศษกำลังออกกวาดล้างผู้คนที่นั้น เลยหันมาบอกหมอกฤษณ์ทันที

"ก็ถูกของน้องเกตุเธอนะครับ คุณหมอจะเร่งรีบเดินทางกันทำไม ผมรู้มาว่ามีหมู่บ้านชาวดงอีกมากตามแนวตะเข็บชายแดน และอยู่ไม่ห่างจากที่เราจะเดินไปถึงด้วย พวกเขาคงกำลังต้องการความช่วยเหลือจากโลกภายนอกอยู่นะครับ ผมว่าก่อนจะเข้าไปลึกถึงหมู่บ้านทับกลาง ออกตะเวนช่วยเหลือชาวดงไป สักสามสี่อาทิตย์ก่อนก็ได้ครับ การสู้รบมีมากตามแนวชายแดนเสียด้วย พวกเขาเหล่านั้นคงต้องการความช่วยมากกว่าแน่ๆครับ"

หมอกฤษณ์ต้องพูดขึ้นมาต่ำ ๆ ด้วยอาการซึมเศร้า แล้วก็ถอนใจพยักหน้า


"เอาละ ! ค่อยปรึกษากันใหม่เป็นคราว ๆ ไปนะครับ เปลี่ยนแผนกะทันหันแบบนี้ผมตัดสินใจทันทีไม่ได้ ยังไม่ได้ปรึกษาคุณสัณฑ์เขาเลย แต่เหตุผลของคุณหาญศึกก็ฟังได้มากทีเดียวครับ"





เสียงนาฬิกาบนข้อมือใครคนหนึ่งร้อง ปิ๊บ! สัญญาณครบเวลาหนึ่งชั่วโมงของการพักกลางวันก็หมดลง เล่าอูกับทุกคนกลับเข้ามาแล้วบอกนายหมอว่า พวกนายสัณฑ์ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว เขาจะทำเครื่องไว้ให้เดินตาม แล้วสั่งเน้นย้ำทุกคนให้เคร่งครัดในคำสั่งห้ามออกนอกเส้นทางอีกเป็นอันขาด

แล้วพรานนำก็หันมาสบตาหาญศึกเป็นการปรามเพียงเท่านั้นก็คอนปืนเดินนำหน้าไป นายตะบันนายจะงอยเดินตาม การเดินกลับมาเป็นรูปเดิมอีกครั้ง เกตุเริ่มมีเสียงเพราะกฤษณ์ชวนคุย เรื่องสัพเพเหระให้ลืมเรื่องกลัว บรรยา กาศการเดินจึงไม่เงียบเหงานัก

พงรกชัฏเต็มไปด้วยพืชตระกูลหวาย และไม้หนามนานาพันธุ์ บีบเส้นทางให้ทุกคนลงไปเดินในลำห้วยแทน หน้าแล้งน้ำแห้งขอด ทุกคนเกาะไต่หินเรียบน้ำเซาะพื้นห้วยขึ้นสูงต่อไปให้พ้นหุบ บนตลิ่งสูงชันฝั่งหนึ่งอันเชื่อมต่อไปกับลูกเขา มองเห็นทิวทัศน์เบื้องสูงหรือขุนเขาต่อไปข้างหน้า

ต้นยวนผึ้งอันยืนต้นอยู่ทั่วไปตลอดแนว มีรังผึ้งแสดงรังอยู่บนกิ้งมากมาย แต่มันก็อยู่สูงเสียจนใครก็ไม่อยากแหงนคอมอง ได้ยิงแต่เสียงดัง หึ้งๆๆ อยู่ข้างบนนั้น รากใหญ่โตเกาะยึดตลิ่งเอาไว้ บนรากไม้ที่อยู่เหนือหัวของทุกคนกำลังเดินลอดผ่าน ประมาณตึกสองชั้น มีร่างๆหนึ่งยืนมองลงมาด้วยอาการเฉยชา พวกที่เดินนำหน้าไปไม่มีใครเห็นจะสังเกตเห็น แต่คนหลังขบวน นายทหารตาไวหรือเขาคนนั้นจะเจตนาจะปรากฏตัวให้เห็น

"อ้าว ! นายสัณฑ์ไปอยู่ตรงนั้นเองรึ ?"

หาญศึกทักยิ้ม ๆ แบบไม่สู้ดีนัก

คนปริศนาเพียงยิงฟันขาวตอบลงมาเหมือนเช่นที่เคยเห็น

"ผู้กองครับคราวนี้ผมเห็นเป็นคนแล้วผู้กองเห็นอย่างผมเห็นหรือเปล่า"

จ่าเบียดมากระซิบพูด

"ผมก็เห็นเป็นนายสัณฑ์อย่างเดิมแหล่ะครับ ยืนบนรากไม้ท่าเดียวทรงเดียวกับเมื่อกี้ทุกอย่าง แต่จะว่าไปเค้าหน้าผอมจนแก้มตอบอย่างนั้น หนวดเคราก็ได้รูป ถ้ามองแบบผ่านๆตา ผมว่าใบหน้าของนายสัณฑ์เหมือนหน้าเสือดำจริงๆ เสื้อผ้าทั้งตัวก็สีดำทั้งหมด หากลงไปคลานสี่ขา ไม่ใครก็ใครเห็นจะอุปทานว่าเป็นเสือดำน่ะ มันไม่แปลกเลยใช่ไหมครับจ่า?"

นายทหารหนุ่มหันมากระซิบกึ่งเขยิบตาให้

"จ่าจะต้องพิสูจน์ให้ผู้กองเห็นสักวัน ว่าเสือสมิงมีจริง"

หางคิ้วตีนกาของเซียนพระยิ่งกระตุกเอาๆด้วยถูกแหย่เอาดื้อๆ







Create Date : 24 เมษายน 2553
Last Update : 25 เมษายน 2553 20:52:35 น.
Counter : 1248 Pageviews.

2 comments
  
โดย: thanitsita วันที่: 24 เมษายน 2553 เวลา:13:51:12 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แจ็ค ในสวนถั่ว
Location :
เชียงใหม่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



ยินดีต้อนรับสู่บ้านของคนชอบคิดชอบเขียนครับ
New Comments