Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2549
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
26 สิงหาคม 2549
 
All Blogs
 
Okinawa (4): Ikei-island, Glass boat and Memorial of World War II

ติดตามตอนก่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ

--> Shuri-jo

--> Nagannu-shima

--> Manzamo, Pineapple park and Churaumi aquarium



15 August 2006



เริ่มด้วยแผนที่เกาะโอกินาว่าเหมือนเดิมนะคะ จากที่เมื่อคืนพักยังหมายเลข 6 ในแผนที่ วันนี้เราจะมาเที่ยวหมายเลข 7, 8 และ 9 ก่อนจะนำรถไปคืนบริษัทและเข้าพักยังที่พักหมายเลข 1 เหมือนเดิมค่ะ


วันนี้เราตื่นสายหน่อย เพราะว่าเหนื่อยตื่นเช้ามาหลายวันแล้ว วันนี้เลยกะว่าจะเช็กเอ้าท์สายกว่าปกติ เนื่องจากวันนี้ไม่มีโปรแกรมอะไรเป็นพิเศษด้วย ตอนแรกกะว่าจะไปดูป่าชายเลนกัน (ที่ญี่ปุ่นไม่มีป่าชายเลนค่ะ มีแค่ที่โอกินาว่าเท่านั้น) แต่ว่ามันอยู่ไกลมาก ก็เลยตัดใจไม่ไป เพราะไม่ใช่ทางผ่าน

กว่าจะเช็กเอ้าท์ออกจากโรงแรมก็สิบโมงนิดๆ ได้แล้วค่ะ จัดการเขียนโปสการ์ดหาตัวเอง แล้วเอาไปส่งหน้าโรงแรม ก่อนจะแวบมาถ่ายรูปอีกครั้ง



วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่จะได้อยู่กับเจ้าตัวเล็กสีฟ้าคันนี้ ^^

เป้าหมายแรกของเราจะออกเดินไปที่หมายเลข 7 หรือ Ikeishima ค่ะ โดยระหว่างเกาะเล็กๆ ที่อยู่ติดแผ่นดินนั้น จะมีสะพานต่อเชื่อมกันอยู่ เป็นถนนที่วิ่งอยู่บนท้องทะเลโดยแท้จริงค่ะ กะว่าจะไปเล่นน้ำกันสักพักที่ชายหาดแถบนั้น เนื่องจากมีโบชัวร์แนะนำนะคะ ก็พากันขับรถไป ทะเลสวยมากๆ ก็เลยแวะจอดรถริมสะพาน ถ่ายภาพเหมือนเคย



สีทะเลสวยจริงๆ



มีนักท่องเที่ยวจอดรถลงมาถ่ายรูปเหมือนเราเลยค่ะ แดดแรงจัดมากๆ ถ่ายรูปได้สองสามใบก็กลับขึ้นรถขับรถต่อค่ะ



รูปนี้ถ่ายตอนอยู่บนรถนะคะ



มองออกไปเห็นเกาะเล็กๆ คล้ายโขดหินขึ้นอยู่กลางทะเลค่ะ บริเวณฐานจะเห็นเป็นขนาดเล็ก เพราะถูกน้ำกัดเซาะ ประมาณเดียวกับ เขาตะปู ที่กระบี่บ้านเรานั่นเอง

ขับรถไปจนสุดปลายเกาะ ไปถึงชายหาดเอกชนอะไรสักอย่าง (จำชื่อไม่ได้) กะจะเข้าไปดูเฉยๆ แต่เพียงโผล่หัวรถเข้าไป เขาก็เก็บเงินเราแล้ว หัวละ 500 เยน จ่ายเงินไปอย่างงงๆ ก่อนจะจอดรถในที่จอด แล้วเดินเข้าไปดูชายหาด ทรายสีทราย ไม่ขาวสะอาดแบบบนเกาะนากันนุ น้ำไม่ค่อยน่าเล่นเท่าไหร่ด้วย ก็เลยพากันกลับมาที่รถ จะไปยังเป้าหมายต่อไป แต่ยังเสียดายเงินหัวละ 500 เยน อยู่ ก่อนจะออกจากหาดนั้นก็เลยทำใจกล้าถามคนเก็บเงินว่า เพิ่งเข้ามาได้ไม่ถึงสิบนาที จะคืนเงินให้ได้มั้ย (ฮา) คนเก็บเงิน (เป็นหญิงวัยกลางคน ขออนุญาตเรียกว่า ป้า) ป้าบอกว่าไม่ได้หรอก ก็ไม่รู้นี่ว่าเข้าไปเมื่อไหร่ หลอกหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เราคิดว่าป้าจำได้ เพราะมันไม่ถึงสิบนาทีจริงๆ แล้วหลังจากเราก็ไม่มีคนเข้ามาสักเท่าไหร่เลย แต่ก็เหอะนะ อ้อยเข้าปากช้างแล้ว...ยากที่จะคายคืน ปลง

ออกจากชายหาด เราก็เริ่มหิวข้าว เพราะเกือบบ่ายโมงแล้ว เห็นป้ายเขียนว่ามีร้านอาหารเลยเข้าไปจากถนนที่เลี้ยวเข้าชายหาด 500 เยน เมื่อครู่ ก็เลยตัดสินใจขับไปทางนั้น ขับไปได้ไม่ถึงร้อยเมตรดี เราก็เห็นหญิงสาวสองคนมายืนโบกรถอยู่ข้างนอก ก็เลยตัดสินใจจอดรถ แล้วก็พบว่ารถเช่าของเธอทั้งสองคนตกหล่นอยู่ในถนนเล็กๆ ที่ทอดตรงไปยังชายหาด ก็เลยเดินไปดูกัน เผื่อจะช่วยอะไรได้ แต่เมื่อลองพยายามแล้ว พบว่าช่วยไม่ได้เลย เนื่องจากมันตกลงไปลึกมาก ก็เลยแนะนำให้เธอสองคนโทรไปเรียกบริษัทซ่อมรถมาช่วยแทน (ญี่ปุ่นมีบริษัทแบบนี้น่ะค่ะ เป็นศูนย์ใหญ่โตมีทั่วประเทศเลย ไม่ว่าจะเกิดรถเสียที่ไหน โทรไปก็จะมาในทันใด เคยใช้บริการครั้งหนึ่งตอนไปเก็บตัวอย่าง แล้วรถของแลบไปเสียอยู่บนทางด่วนอ่ะน้า) แล้วพวกเราก็จากมา น่าสงสารพวกเธอสองคนเหมือนกัน เพราะว่ามาเที่ยวแท้ๆ แต่กลับต้องเจอปัญหารถตกหล่มน่ะนะ

พวกเราก็ขับรถเข้าไปยังร้านอาหารที่มีป้ายบอก เป็นร้านอาหารในโรงแรมค่ะ แต่เพียงแค่เอารถผ่านเข้าไปยังป้อมยาม ลุงยามก็ออกมาเรียกไว้ แล้วถามว่ามาทำไม ก็บอกไปว่าจะไปร้านอาหาร ลุงก็บอกว่าต้องจ่ายค่าจอด เราว่าแค่ดูก่อนเฉยๆ แล้วค่อยตกลงใจว่าจะกินหรือไม่กิน ลุงก็บอกว่าไม่ได้ ถ้าเอารถเข้าไปก็ต้องเสียค่าจอด อย่างเซ็ง ก็เลยเปลี่ยนใจไม่กิน ขับรถกลับออกมา

แล้วเมื่อกลางวันวันนั้นก็จบลงที่ McDonald ค่ะ อร่อยดีเหมือนเดิม ฮา

ขับรถขึ้นทางด่วนเพื่อไปยังหมายเลข 8 เป็นจุดที่นั่งเรือท้องกระจก (Glass boat) ชมความงามใต้ทะเล โดยที่เราไม่เปียกค่ะ ประมาณบ่ายสามกว่าๆ ก็ขับมาถึง แต่วันนี้อาการไม่ดีเลย คลื่นลมแรง แม้ฝนจะยังไม่ตก เจ้าหน้าที่ก็ถามว่าจะไปมั้ย คลื่นแรงนะ อาจจะเมาเรือได้ และอาจจะไม่เห็นอะไรมาก โดยส่วนตัวแล้ว เราเป็นคนไม่เมาเรือ แต่คนที่ไปด้วยเป็นพวกที่เมาเรือเก่งมาก ขนาดขับรถขึ้นเขาวกวนยังเมารถเลย (ทั้งๆ ที่เป็นคนขับนั่นล่ะ) แต่ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว ก็เลยตกลงไป คนไม่เยอะ หรือพูดง่ายๆ ก็คือไม่มีเลย แต่ระหว่างที่รอเรือออก ก็มีครอบครัวพ่อแม่ลูก มาเพิ่มอีกสามคน คุณแม่ยังสาวสวยมากเลย ส่วนคุณลูกก็ตัวจิ๋วน่ารักเชียว



เรือลำนี้ค่ะ ที่อาศัยไป ตรงกลางลำเรือจะเป็นกระจกใส มองเห็นพื้นท้องทะเล

คลื่นลมแรงมากอย่างที่บอกจริงๆ เรือนั้นมีเพียงคนขับเรือคนเดียวเท่านั้น ไม่มีลูกเรือคนอื่นๆ ค่ะ จะขับเรือตรงไปยังเนินทรายกลางทะเล มีแนวปะการังน้ำตื้น และดงสาหร่ายทะเลเป็นระยะๆ จะจอดเรือให้ชมอยู่ประมาณ 3-4 จุด แต่เรื่องจากวันนี้คลื่นแรงมากๆ เรือจึงจอดได้ไม่นิ่งเท่าไหร่ แต่ก็เห็นปลาหรือสัตว์ทะเลได้นะคะ น้ำใสใช้ได้เลยค่ะ



ถ่ายภาพผ่านกระจกท้องเรือนะคะ เห็นปลาหลายชนิดว่ายไปมา



ที่นี่มีหอยมือเสือค่อนข้างเยอะค่ะ ตัวใหญ่ดี



เคล็ดลับของการให้ปลามารวมกลุ่มใต้ท้องเรือ เห็นจะเป็นอาหารปลาเม็ดกลมๆ ที่วางอยู่ข้างๆ ลุงคนขับน่ะค่ะ

** คุณลุงใจดีนะคะ มีการโยนอาหารให้ตบท้าย ก่อนจะแล่นเรือออกจากจุดชมจุดหนึ่งๆ ด้วยค่ะ



ตัวเอกของทริปนี้เห็นจะไม่พ้นเจ้าปลาการ์ตูนตัวตลก หรือ เจ้า Nemo ดาราดังของดีสนีย์นั่นเอง (ในรูปข้างบนมองเห็นมั้ยคะ อยู่ในกอดอกไม้ทะเลน่ะค่ะ)



นีโมอยู่มุมล่างซ้ายมือนะคะ

คนที่มาด้วยน็อกไปแล้ว เพราะมองภาพเคลื่อนไหวใต้น้ำมากไป ลุงคนขับเลยบอกให้ไปนอนท้ายเรือพักผ่อน ส่วนเราเองก็พะอืดพะอมใช่ย่อยเลย คลื่นแรงมาก พร้อมกับภาพใต้น้ำที่สั่นไหว คุณลุงคนขับปิดท้ายทริปครั้งนี้ด้วยการโยนอาหารปลาลงไปข้างเรือ ปลาตัวโตๆ กระโดดมาฮุบอาหารกันเป็นแถวๆ เรียกเสียงตบมือเจ้าเด็กตัวจิ๋วร่วมทริปได้เป็นอย่างดีเลย ^^

จบทริปครั้งนี้ด้วยเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้นค่ะ มีคนตายไปแล้วหนึ่งคน ฮา นอนอยู่หลังเรือจนเรือเข้าเทียบท่า ก็ต้องขึ้นมานั่งพักเหนื่อย ดื่มน้ำดื่มท่า แล้วก็ไปนั่งหลับในรถสักพัก (สบายเรา) ก่อนจะเดินทางต่อไป อ้อ ทริปนี้ตกหัวละ 1500 เยน นะคะ

สถานที่ต่อไปของเราก็ยังคงอยู่ในหมายเลข 8 ค่ะ เป็นวัดของชาวริวกิวในสมัยโบราณค่ะ Sefa-utaki ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดๆ นอกจากแผ่นหินจากธรรมชาติเท่านั้น แน่นอนค่ะ...เป็นมรดกโลกด้วยเช่นกัน





มีแผนผังวัดให้ดูด้วยค่ะ จัดการถ่ายภาพเล็กน้อย ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปยังวัดด้านบน



สิ่งก่อสร้างข้างๆ บันได



ระหว่างทางมองลงไปเห็นทะเลด้วย



ส่วนหนึ่งของวัดค่ะ เป็นบริเวณที่ใช้สวดมนต์ในอดีต มีหินงอกหินย้อยลงมา มีคนใส่เงินในกระถางหินข้างล่างด้วยค่ะ



ข้างๆ ทางเดิน

ไฮไลท์ของวัดนี้คงจะเป็นที่นี่ค่ะ



คล้ายๆ เขาพิงกันที่บ้านเราอีกเหมือนกันเลย คาดว่าเกิดจากธรรมชาติค่ะ ไม่ใช่มนุษย์สร้างขึ้นมา และเพราะลักษณะพิเศษทางธรรมชาติแบบนี้นี่เอง ที่ทำให้บริเวณนี้กลายเป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวริวกิวในอดีต



เอามาเทียบให้ดูว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน



ส่วนนี่คือคำอธิบายของวัดในส่วนนี้ค่ะ



มุมสวดมนต์ใต้หินงอกหินย้อย



ถ่ายย้อนกลับไปในบริเวณเมื่อครู่

เมื่อเดินลอดใต้ผาหินที่ตั้งพิงกันอยู่นั้น เราก็จะพบบริเวณนี้ค่ะ



จะเห็นไม่ค่อยชัดหน่อย เพราะแสงไม่ค่อยมี แต่บริเวณนี้เป็นทางตันค่ะ มีหินที่เกาะเป็นคล้ายๆ กระถางตั้งอยู่ หันหน้าไปทางทะเล เป็นจุดสวดมนต์ในอดีตเช่นกันค่ะ มีคนใส่เงินทำบุญเอาไว้ด้วย

หลังจากชมวัดมรดกโลกเรียบร้อยแล้ว เราก็พากันเดินกลับมายังรถ แล้วจอดแวะที่ร้านคาเฟ่น่ารักๆ ใกล้ๆ กับ Sefu-utaki ค่ะ ร้านตกแต่งน่ารักมาก แถมแอร์ยังเย็น สบายเราเลย (อากาศร้อนมากๆ)



ร้านน่ารักมากเลย



ตกแต่งสวยงาม มองออกไปเห็นท้องทะเล



อาหารว่างของเรา เป็นมะม่วงโอกินาว่า กับไอศกรีมมะม่วง ขอบอกว่าอร่อยมาก เซตนี้ 980 เยน

ก่อนกลับก็แวะถ่ายรูปในมุมเดียวกับหนังสือท่องเที่ยวที่ถ่ายรูปร้านนี้ไปโปรโมนในหนังสือค่ะ



ร้านเงียบๆ ไม่มีคน อยากมีบ้านแบบนี้อยู่ริมทะเล คงจะมีความสุขน่าดู นั่งมองทะเลไป เขียนนิยายไป เฮ้อ

หลังจากออกมาจากร้านคาเฟ่แล้ว ก็ขับรถตรงไปยังหมายเลข 9 เนื่องจากวันนี้เป็นวันสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง (15 สิงหาคม) ก็เลยอยากจะไปยังอนุสรณ์สถานสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ตั้งอยู่บนหมายเลข 9 ในแผนที่ค่ะ คนที่ไปด้วย อยากจะไปสวดมนต์ให้กับคนที่เสียชีวิตไปในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่โอกินาว่าเป็นจุดที่เสียหายมากแห่งหนึ่ง แม้จะไม่เท่ากับที่ฮิโรชิม่า หรือนางาซากิ แต่เนื่องจากโอกินาว่าอยู่ทางใต้สุดของญี่ปุ่น ทหารอเมริกายกพลขึ้นบนที่นี่เป็นแห่งแรกค่ะ

แต่กว่าเราจะไปถึง พิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ปิดไปแล้ว (ปิดห้าโมงเย็น) ผิดหวังอยู่ไม่น้อยทีเดียว เพราะคิดว่าวันนี้เป็นวันสำคัญวันหนึ่ง (วันพ่ายแพ้ของญี่ปุ่น) และเกี่ยวข้องกับสงครามโลกด้วย น่าจะปิดช้ากว่าปกติ แต่ก็ไม่มีอะไรพิเศษ เหมือนกับทุกวันทั่วๆ ไป หรือคนญี่ปุ่นรุ่นใหม่จะลืมเหตุการณ์ในตอนนั้นหมดแล้ว



ตัวอาหารพิพิธภัณฑ์ สร้างด้วยสถาปัตยกรรมของชาวโอกินาว่า (ส่วนหลังคานะคะ)



ระเบิดที่ค้นพบเจอ และถูกนำมาตั้งแสดงไว้ ในปัจจุบันยังมีการค้นพบเจอระเบิดต่างๆ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองอยู่เรื่อยๆ ค่ะ เจอทีก็เป็นข่าวที มันเพิ่งผ่านมาแค่ 60 ปีเท่านั้นเอง



สวนทางด้านหลังอาคารพิพิธภัณฑ์ที่ติดกับทะเล มีป้ายหินสลักชื่อคนที่เสียชีวิตในโอกินาว่าช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเอาไว้ มีดอกไม้ไว้อาลัยวางอยู่ปะปราย



เห็นแล้วสะท้อนใจ เพราะรายชื่อแกะสลักเรียงราวเต็ม เป็นแถว



ไม่ได้โกหกเลย แต่ตลอดเวลาที่เดินอยู่ในสวนป้ายชื่อนั่น เราอยากจะร้องไห้มากๆ มันอัดอั้น และรับรู้ได้ถึงความเศร้าจริงๆ



มีบางครอบครัวมากันแบบ ปู่ ย่า พ่อ แม่ และลูก พากันเอาดอกไม้มาวางเคารพผู้ตาย



บางคนก็มาคนเดียว เอาดอกไม้มาวาง มาจุดธูป แล้วก็นั่งสวดมนต์

ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ประชาชนชาวญี่ปุ่นตายไปประมาณ 3 ล้านคน นี่แค่ในญี่ปุ่น แล้วที่อื่นล่ะ จะตายอีกสักกี่ล้านคน ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าจะทำสงครามขึ้นมาทำไม ทำไมไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ก็ไม่รู้ วันนั้นก็ถกเครียดเรื่องนี้ทั้งวัน แต่ดูเหมือนคนที่ไปด้วยจะช็อกกับเหตุการณ์ที่ว่าคนญี่ปุ่นสมัยใหม่ลืมถึงเรื่องสงครามนี้ไปแล้วก็ไม่รู้

ถาม...ทำไมต้องมาจัดตั้งอนุสรณ์สถานฯ ณ ที่ตรงนี้ด้วย ก็ได้ทราบว่า เพราะบริเวณนี้เป็นบริเวณที่กองทัพอเมริกายกพลขึ้นฝั่ง และนักรบชาวญี่ปุ่นไม่อาจจะยอมรับความพ่ายแพ้ได้ ทหารหลายๆ คนจึงกระโดดหน้าผาตกลงไปในทะเลตาย



หน้าผานี้



ทะเลนี้...

ยอมตายเสียดีกว่า ที่จะยอมเสียศักดิ์ศรีที่มี

ไม่แปลกใจเลย ที่ได้เรียนมาว่า เมื่อแพ้สงครามทหารญี่ปุ่นจะยอมทำฮาราคีรีฆ่าตัวตาย

เดินชมแผ่นป้าย และท้องทะเลในประวัติศาสตร์สงครามโลกแล้ว เราก็พากันกลับมาขึ้นรถ ขับไปจอดในลานจอดรถทางด้านหน้า แล้วแวะลงไปดูอนุสรณ์สถานอีกแห่งใกล้ๆ กัน



ปกติเขาเปิดให้เข้าได้ถึง 17.30 น. แต่พวกเราไปช้าอีกแล้ว เลยได้แต่ดูอยู่ข้างนอก ยืนนิ่งๆ ไว้อาลัยให้ผู้จากไปหนึ่งนาที



ฟ้าใสมากๆ เห็นแมลงปอบินผ่านด้วย

คนที่ไปด้วยบอกว่า “สงบสุขนะ” ใช่ บรรยากาศวันนี้มันสงบสุขมากจริงๆ ไม่อยากนึกเลยว่า ณ วันนี้เมื่อหกสิบกว่าปีที่แล้ว มนุษย์ที่อยู่ที่นี่จะต้องเจอกับอะไร และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามทั่วโลกกำลังเจอกับอะไร

ที่ญี่ปุ่นในวันนี้ จะมีการนำอาหารที่กินในตอนสงครามมาให้เด็กรุ่นใหม่ลองกินกันเพื่อให้ได้รับรู้ว่าคนในอดีตลำบากแค่ไหน (ก็แค่เด็กๆ นะคะ ส่วนวัยรุ่นน่ะ ไม่เคยสนใจอยู่แล้ว) เด็กๆ บอกว่า ไม่อร่อยเลย คือเป็นกับข้าวพื้นๆ ที่หาได้ตามมีตามเกิดนั่นเอง แต่กับคนที่เคยผ่านเหตุการณ์ตรงนั้นมาจะบอกว่า อร่อยกว่าตอนนั้นอีก

...อยากให้โลกนี้ไม่มีสงคราม...


หลังจากรำลึกถึงความสูญเสียได้สักพัก เราก็พากันขับรถกลับเมืองนาฮา เลยกำหนดเวลาที่ต้องคืนรถแล้ว (ต้องคืนรถเวลา 17.30 น.) กว่าจะฝ่าการจราจรที่ติดขัดมาถึงบริษัทคืนรถได้ (หมายเลข 1 ในแผนที่) ก็เกินเวลาไปหนึ่งชั่วโมง (อ้อ ต้องเติมน้ำมันให้เต็มถังก่อนไปคืนรถด้วยนะคะ) เจอปรับไป 1050 เยน ปกติแล้วถ้าคืนเกินเวลา 1 ชั่วโมง โดยมากเขาจะหยวนๆ ให้ แต่เนื่องเพราะช่วงนี้เป็นหน้าท่องเที่ยว รถเช่าเต็มตลอดเวลา เขาก็เลยต้องคิดค่าเกินเวลาของเรา ตอนที่เอารถไปคืนในบริษัท ไม่มีรถเหลืออยู่เลยสักคัน ในขณะที่ตอนมารับรถเมื่อสองวันก่อนมีรถจอดเต็มบริษัทเลยค่ะ เป็นช่วง high season จริงๆ เลยนะ

แบกข้าวของขึ้นโมโนเรลไปลงที่หน้าโรงแรมที่จะพักคืนนี้ เป็นโรงแรมที่แถมมากับตั๋วเครื่องบิน อยู่ใกล้ย่านช้อปปิ้งเลย โรงแรมค่อนข้างใหญ่ แต่สภาพห้องเลวร้ายกว่าทุกโรงแรมที่พักมาเลยเชียว ก็ทำไงได้...ของแถมนี่น้า

เอาของเข้าไปไว้ในโรงแรมเรียบร้อย ก็ออกไปเดินที่ช้อปปิ้ง พร้อมกับหาอาหารเย็นกิน เป็นร้านอาหารโอกินาว่าที่ตกแต่งร้านสวยดี สงสัยเพิ่งเปิดใหม่ สั่งอาหารพื้นๆ มากิน (ไม่ได้ถ่ายรูปมาเลยค่ะ หมดแรง) ก็อร่อยดีค่ะ

กินอาหารเสร็จก็กลับโรงแรมมานอนสลบเหมือนเดิม

พรุ่งนี้ต้องกลับแล้ว...ไม่อยากลับเลย T-T

เด็กทะเล
06.8.26



Create Date : 26 สิงหาคม 2549
Last Update : 26 สิงหาคม 2549 12:33:21 น. 4 comments
Counter : 2514 Pageviews.

 
มหาโหดเลยท่าน แค่ยื่นหน้ารถเข้าไปแค่นี้ ก็เก็บเงินแล้วอ่ะ ขูดรีดกันชัด ๆ ยากูซ่าแหง ๆ

เห็นป้ายชื่อผู้เสียชีวิตแล้วขนลุกเลยท่าน เหลือเพียงชื่อยังมากมายเพียงนี้ แล้วตอนที่ศพนอนเกลื่อนกลาดล่ะ กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งอีกเล่า



โดย: หนูลี IP: 210.213.12.200 วันที่: 26 สิงหาคม 2549 เวลา:14:31:05 น.  

 


โดย: shi-sa IP: 203.78.232.131 วันที่: 26 สิงหาคม 2549 เวลา:19:48:09 น.  

 
สงครามสร้างความสูญเสียให้ไม่ว่าจะเป็นผู้ชนะหรือผู้แพ้นะคะ

อยากไปดูน้องปลานีโม่บ้าง อิจฉาๆ


โดย: นายน้อย (nainoi_tplusone ) วันที่: 28 สิงหาคม 2549 เวลา:1:59:34 น.  

 
แวะมาบอกพี่อ้อมว่าคิดถึงมากๆๆๆ เลยค่ะ

คิดถึงที่สุดเลยค่า

แต่ช่วงนี้ยุ่งๆ เลยไม่ได้แวะมา ไว้เปิดบล็อกเมื่อไหร่จะแวะมาบ่อยๆ นะคะ

คิดถึงๆๆๆๆ ที่สุดเลยค่ะ


โดย: ปลากัด IP: 124.121.5.223 วันที่: 2 กันยายน 2549 เวลา:0:41:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลิปิการ์
Location :
ตอนใต้ Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537

ห้ามผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์ โดยการนำรูปภาพ และบทความงานเขียน รวมทั้งข้อความต่างๆ ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมดในบล็อกแห่งนี้ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีตามที่กฏหมายบัญญติไว้สูงสุด
Friends' blogs
[Add ลิปิการ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.