Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2549
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
27 ตุลาคม 2549
 
All Blogs
 
Hiroshima Part II (จบ): Miyajima



1 October 2006


วันนี้นัดกันเช็กเอ้าท์ออกจากโรงแรมตอนเก้าโมงเช้า ฝนตก...สงสัยอาจารย์จะแช่งเอาไว้ เพราะทุกวันที่ไปงานประชุมฯ แดดออก ฟ้าสวย อากาศดีสุดๆ แต่วันเที่ยว (วันเดียวเท่านั้นนะเนี่ย) ดันมีฝน อากาศค่อนข้างเย็นมาก เพราะฝนตก แถมไม่มีร่มกันสักคัน ดีจริงๆ พากันเช็กเอ้าท์แล้วเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่โรงแรม พร้อมกับซื้อตั๋ว one day pass ที่ร่วมนั่งรถรางกลางเมืองกับเรือเฟอร์รี่ไปเกาะมิยาจิม่า

เสร็จแล้วก็เดินตากฝนพรำๆ ไปขึ้นรถรางกลางเมือง แล้วก็ไปเปลี่ยนสายไปมิยาจิม่าที่ใกล้ๆ กับ Atomic Dome นั่งรถไปเกือบๆ ชั่วโมงได้กว่าจะถึงท่าขึ้นเรือเฟอร์รี่ไปมิยาจิม่า อากาศเย็นมาก จนเราขอนั่งข้างในตัวเรือ ไม่ได้ออกไปยืนท้าลมหนาวกับเด็กๆ ที่แลบ เลยไม่มีรูปบนเรือนะคะ ประกอบกับนั่งเรือแค่สิบนาทีเท่านั้นเอง (ไปกันทั้งหมด 6 คนรวมเราด้วยค่ะ)

เกาะมิยาจิม่าเป็นเกาะที่มีชื่อเสียงของฮิโรชิม่าค่ะ เนื่องมาจากวัดอันสวยงามที่ติดอันดับเป็นมรดกโลกนั่นเอง วัดบนเกาะมิยาจิม่า ชื่อ วัด Itsukushima ค่ะ


ท่าเรือบนเกาะมิยาจิม่า




สัตว์ที่พบได้มากบนเกาะแห่งนี้



เจ้ากวางน้อยไม่กลัวคนเลย คนต่างหากต้องกลัว เดินไม่ดีได้เหยียบทุ่นระเบิดที่กระจายเรียงรายแน่ๆ



แผนที่เกาะกับกวางที่ยืนโอดโฉม

ที่ท่องเที่ยวเด่นๆ ของที่นี่นอกจากวัดอิสึกุชิม่าที่มีประตูตั้งอยู่กลางน้ำแล้ว ก็คือการนั่งรถกระเช้าไฟฟ้าขึ้นไปดูวิวบนเขาค่ะ แต่พวกเราไม่ได้ไป เพราะอากาศแบบนี้...แน่นอนเลยว่าไม่เห็นอะไร นอกจากนั้นก็ยังมีสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำด้วยค่ะ แต่ไม่มีเวลาเลยไม่ได้เข้าชมค่ะ เสียดายเหมือนกัน เพราะน้องจากฮอกไกโดที่ไปมาบอกว่าจับเพนกวินได้ด้วย...อิจฉา อยากไปบ้างจัง

นอกจากนั้นที่ขึ้นชื่อก็คือใบเมเปิ้ล หรือชื่อภาษาญี่ปุ่นที่เรียกว่า โมมิจิ ค่ะ ช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่นี่จะสวยมากๆ แต่เสียดายพวกเรามาเร็วไปหน่อย ใบไม้ยังไม่เปลี่ยนสีเลย อ้อ ที่นี่มีขนมขึ้นชื่อเรียกว่า โมมิจิมันจู ด้วยนะคะ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อไป ^^

วัดอิสึกุชิม่าอยู่ห่างจากท่าเรือพอประมาณค่ะ ต้องเดินไปตามทางประมาณสิบนาที แต่ไม่เหงาค่ะ เพราะสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าขายของที่ระลึกมากมาย แต่เสียดายที่วันนี้ฝนตก ก็เลยเดินแบบเปียกๆ ไปหน่อย รีบเดินไปให้ถึงวัดโดยเร็วที่สุด

จากท่าเรือมองไปเห็นประตู (Torii) กลางน้ำสวยงาม



เราเคยมาแล้วเมื่อสองปีก่อน มาเที่ยวกับนักเรียนต่างชาติตอนเรียนเอก ทางมหาวิทยาลัยจัดมาค่ะ มาพักที่เรียวกังที่นี่คืนหนึ่ง แล้วก็เดินเที่ยวบนเกาะ แต่ไม่ได้เข้าชมวัด เพราะว่าตอนนั้นไต้ฝุ่นเข้า ทำให้วัดได้รับความเสียหาย ต้องปิดซ่อม เสียดายมากๆ วันนี้เลยมาเอาคืน ;)




ทางเดินเลียบริมทะเล แม้ฝนตกแต่ก็ยังมีคนประปราย


เข้ามาดูประตูใกล้ๆ กันค่ะ



ผู้ที่สร้างวัดนี้ขึ้นมาคือ คิโยโมริ ค่ะ ถ้าใครได้ดูละครเรื่อง โยชิสึเนะ ที่ทักกี้เล่นให้ช่อง NHK จะรู้จักดีเลยค่ะ เพราะคิโยโมริเป็นตระกูลฝ่ายตรงข้ามของโยชิสึเนะ ทำให้ตระกูลโยชิสึเนะแพ้ และเป็นคนเลี้ยงโยชิสึเนะจนโต แต่ตอนหลังก็ต้องมาพ่ายแพ้ต่อโยชิสึเนะนั่นเอง

ทำไมประตูถึงตั้งอยู่กลางน้ำ จากที่จำได้คร่าวๆ ตอนที่มาคร่าวก่อนแล้วคุณป้าไกด์อาสารัวภาษาญี่ปุ่นอธิบายให้ฟังได้ความว่า ตอนที่จะทำการสร้าง ได้มีการยิงธนูเสี่ยงทาย ว่าจะสร้างประตูที่ไหน ธนูก็ถูกพัดตรงลงมาที่ตรงนี้ล่ะค่ะ ก็เลยสร้างประตูกันกลางน้ำเลย

ช่วงน้ำขึ้นประตูจะอยู่กลางน้ำ และพาน้ำลงก็สามารถลงไปเดินดูได้ค่ะ ประตูและตัววัดจะมีการทาสีใหม่ทุกๆ ห้า หรือสิบปี (จำเวลาแน่นอนไม่ได้ค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ) ล่าสุดเพิ่งทาไปเมื่อสองปีที่แล้วตอนที่เราพาดูพาดีค่ะ ก็เลยยังเห็นแดงสวยอยู่ เสาที่สร้างประตูก็จะมีการทะนุบำรุงเปลี่ยนเสาด้วยนะคะ แต่กี่ปีเปลี่ยนครั้งเราก็จำไม่ได้แล้วค่ะ ไม้ที่นำมาทำเสาก็จะเอามาจากจังหวัดคากาว่าค่ะ เป็นไม้ต้นเดี่ยวๆ เลยด้วยค่ะ (อันนี้คุณป้าบอกเหมือนเมื่อสองปีก่อนนั่นล่ะค่ะ)



ถ่ายรูปรวม จะเห็นว่ากวางไม่กลัวคนเลย จะกินคนซะด้วยซ้ำ ฮา


ส่วนนี่คือส่วนของวัดที่ตั้งอยู่บนน้ำค่ะ



ส่วนเจ้ากวางตัวนี้แอบดูพวกเราอยู่ ฮา




ส่วนนี่เด็กปีสี่สองคนกำลังทำท่านก (Tori) เลียนแบบประตูที่ออกเสียงคล้ายกันว่า Torii นั่นเอง ^^



ขอบอกว่าเพี้ยนได้ใจ ฮา อ้อ ตอนกลางคืนโดยมากเขาจะมี light up ที่วัดนะคะ จะมีการล่องเรือมาลอดประตูวัดกันด้วย สวยงามเชียว เป็นเรือท้องแบนแบบสมัยโบราณค่ะ มีคนพายเรือ เสียดายตอนนั้นพวกเราได้แต่ยืนมอง (เมื่อสองปีก่อน)

เสร็จแล้วพวกเราก็พากันเดินไปยังทางเข้าค่ะ ไปจ่ายเงินซื้อตั๋วเข้าชม 300 เยน



ได้เข้าชมแล้ว หลังจากพลาดโอกาสเมื่อสองปีก่อน อ้อ เวลาจะซ่อมแซมหรือบูรณะวัดนะคะ ต้องรออนุมัติจากทางราชการก่อนค่ะ เพราะว่าวัดนี้เป็นมรดกโลก จะอยู่ๆ มาซ่อมก็ไม่ได้ค่ะ ต้องมีการทำเรื่องอะไรวุ่นวายเลยล่ะค่ะ การซ่อมแซมก็เลยจะค่อนข้างช้านะคะ



แน่นอนว่าที่หน้าวัดก็จะมีอ่างให้ตักน้ำล้างมือแบบนี้ค่ะ แต่เคยดูรายการทีวี เขาให้ล้างหน้า และบ้วนปากด้วยนะคะ

เก็บรูปรวมอีกครั้ง



ที่วัดนี่เขาเปิดให้จัดงานแต่งงานด้วยนะคะ แต่แน่นอนเลยว่า...แพงค่ะ ฮา

เดินเข้ามาในวัดแล้ว...แดงงามมากๆ






ระหว่างทางเห็นคนมาเอาที่ปัดรังควานมาปัดตัวเองด้วยค่ะ เลยถ่ายรูปมา...แบบนี้



ชมวัดต่อเลยนะคะ ช่วงน้ำลง เห็นเนินดินชัดเลย



เคยดูข่าวตอนที่วัดเจอไต้ฝุ่น แผ่นไม้กระดานลอยไปกับน้ำเลย พวกเจ้าหน้าที่นี่กระโดดเกาะเลยนะคะ แบบว่าไม่ห่วงตัวเองเลยล่ะ

โคมไฟสวยๆ ที่ริมชายคา



วันนั้นที่ไปเห็นเด็กนักเรียนนั่งกับพื้นวาดภาพกันหลายคนเลยค่ะ แต่เห็นว่ามากับพ่อแม่นะคะ ไม่ได้มากับโรงเรียน




ระหว่างที่เดินชมก็เห็นประตูเป็นระยะๆ



ส่วนภาพนี้ทางด้านหลังของวัดค่ะ จะมีเจดีย์สีแดงตั้งอยู่บนเนินเขาด้วย แต่ไม่ได้เปิดให้เข้าชมนะคะ




แน่นอนค่ะ...ไปวัดก็ต้องไปเสี่ยงเซียมซี



น้องที่แลบเป็นนางแบบ



น่าประหลาดใจมาก หกคนที่ไป เสี่ยงออกมาได้ใบไม่ดีกันทุกคนเลย ฮา เด็กๆ หน้าซีด ขากลับนี่จะเจออุบัติเหตุหรือเปล่านะ แต่เราก็บอกไปว่า...เจออากาศไม่ดีไปแล้วไง เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก ก็ขำๆ กัน

เซียมซีใบที่ได้ไม่ดีก็จะเอาไปผูกไว้แบบนี้ค่ะ



บางทีก็จะผูกไว้ที่กิ่งไม้นะคะ แต่ที่นี่เขาจัดเป็นที่ไว้ให้เรียบร้อยเลย

เรากับน้องผู้ชายอีกคนเดินออกไปนอกชาน แบบไม่กลัวฝน เพราะมันจะถ่ายวัดได้สวยที่สุดแบบนี้



สวยดีค่ะ แต่เสียดายฝนตกเยอะไปหน่อย สงสารกล้องนะ

ส่วนภาพนี้ค่ะปะรำพิธีเวลามีงานเทศกาลหรือพิธีสำคัญค่ะ จริงๆ จะมีการร่ายรำที่ขึ้นชื่อของที่นี่ด้วยน่ะค่ะ แต่ว่าเป็นในเดือนหน้า ช่วงฤดูใบไม้ร่วง พวกเรามาเร็วไปอีกแล้ว




เดินต่อไปอีกนิดก็เห็นสะพานค่ะ ปิดไม่ได้เดิน เพราะคาดว่าเป็นสะพานที่ใช้เดินทางเข้าวัดในสมัยก่อนนะคะ





อีกมุมของประตู




ทางออกแล้วค่ะ




พอเดินออกมาก็จะเจอศาลเจ้าเล็กๆ อีกสองสามหลังค่ะ จริงๆ มีเปิดให้เข้าชมด้วย แต่ต้องเสียค่าเข้า ซึ่งถ้าซื้อก็จะสามร้อยเยน แต่ถ้าซื้อรวมกับตั๋วเมื่อกี้จะลดเหลือห้าร้อยเยน (เข้าสองที่) เด็กๆ แอบเซ็ง เพราะไม่ทันนึกก็เลยตัดสินใจไม่เข้าไปดู มาถ่ายรูปกับรากไม้ข้างหน้าแทน




เทพเจ้าในศาลเจ้า




ร้านขายเครื่องราง ในวัดอิสึคุชิม่าไม่ยอมให้ถ่ายรูปค่ะ เลยมาถ่ายที่ศาลเจ้าข้างนอกแทน



มีทำบุญจุดธูปเหมือนบ้านเรา




มีเสี่ยงเซียมซีเหมือนกัน แต่แบบแนวจับสลากค่ะ



ครั้งละร้อยเยน แต่ไม่จับแล้ว...ครั้งเดียวก็พอ ^^

เดินออกมาเดินวนดูรอบนอกของวัดนิดหน่อย ถ่ายทางเข้าในสมัยอดีต




เสร็จแล้วก็พากันไปเดินดูร้านค้าขายของที่ระลึก พร้อมกับทั้งจะหาของกินใส่ท้องเป็นอาหารกลางวัน

ระหว่างทางที่เดิน ตึกบ้านเรือนสวยดีค่ะ มีหมอกน้อยๆ เพราะฝนยังตกพรำๆ



แดดไม่มี เลยเห็นเจดีย์ดูทะมึนไปหน่อย




ร้านนี้ขายโมมิจิมันจูค่ะ



เขาทำกันให้เห็นนะคะ มีเครื่องค่ะ เป็นพิมพ์รูปใบโมมิจิ



อ้อ เป็นเมเปิ้ลใบเล็กนะคะ มีห้าแฉกไม่ใช่สามแฉกเหมือนเมเปิ้ลบนภูกระดึงบ้านเรา

เขาจะหยอดแป้งเป็นเปลือกนอกก่อนค่ะ



แล้วค่อยใส่ไส้เอาไว้ตรงกลาง รสชาติดั่งเดิมก็ต้องไส้ถั่วแดงค่ะ แต่ตอนนี้มีปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพิ่มอีกหลายไส้ค่ะ ทั้งไส้ครีม (เราชอบมาก) ไส้ช็อกโกแลต ไส้อัลมอนด์บด เป็นต้น

เสร็จเรียบร้อยแล้ว ขายแยกเป็นชิ้นก็มี เป็นกล่องก็มีค่ะ



ชิ้นละ 60-70 เยน แล้วแต่ร้านค่ะ บางร้านก็ใจดี ให้ชิมฟรีเลยด้วย


แต่ที่เราถูกใจเห็นจะเป็นเจ้านี่ค่ะ



เทมปุระโมมิจิมันจู...ป้าจะเอาโมมิจิมันจูมาชุบแป้งเทมปุระแล้วทอด อร่อยมาก มีสองไส้ให้เลือก คือถั่วแดงกับครีม เราสั่งไส้ครีม อร่อยจริงๆ

เสียบตะเกียบเอาลงไปทอด แล้วเสิร์ฟมาบนกระจาดไม้ไผ่สาน



อันละ 130 เยน ติดใจสุดๆ ถ้าไม่ติดว่าต้องกินข้าวกลางวัน เราจะสั่งอันที่สองแล้วล่ะ อร่อยมากค่ะ


หลังจากนั่งกินเทมปุระโมมิจิมันจูพร้อมทั้งนั่งพักเหนื่อย (เขามีที่นั่งให้) เข้าห้องน้ำเรียบร้อย ก็พร้อมออกลุยต่อ

ร้านรวงข้างทาง



ร้านขายของที่ระลึกเยอะมาก ก็เพลินตาดีค่ะ ดูอย่างเดียวไม่ได้ซื้ออะไร

เสร็จแล้วพวกเราก็เลือกร้านฝากท้องมื้อกลางวันกันค่ะ หน้าร้านมีคนกำลังย่างหอยนางรมตัวยักษ์อยู่ พร้อมกับมีตู้โชว์การเลี้ยงหอยนางรมแบบแขวนด้วย



มีสองตู้ มีปลาว่ายน้ำ หอยนางรมภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า kaki ค่ะ มันจะมีผลไม้ชื่อ kaki เหมือนกันค่ะ คือลูกพลับนั่นเอง ลงเสียงหนักผิดจังหวะหน่อย เข้าใจผิดได้นะคะ ว่าจะเป็นหอยหรือเป็นผลไม้กันแน่...ภาษาญี่ปุ่น...ยากจริงๆ

พวกเราเน้นหอยค่ะ มาถึงฮิโรชิม่าทั้งทีต้องกินหอยนางรม ก็เลยสั่งอาหารหอยมากิน

Kaki-donburi



ของน้องที่นั่งตรงข้าม

ส่วนเราสั่ง Kaki-meshi



ข้าวหอยนางรมค่ะ อร่อยดี สั่งเหมือนกันอย่างละสองคน ส่วนอีกคนสั่งอุด้งใส่หอยนางรมค่ะ ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ ^^’’

กินอาหารมื้อกลางวันกันเรียบร้อย เราก็เดินเตรียมเดินทางกลับค่ะ เพราะเดี๋ยวจะกลับถึงคุมาโมโต้ดึกไป

ระหว่างทางเราก็เห็นทัพพีตักข้าวยักษ์



ถ่ายรูปคู่ซะเลย คือที่นี่ทัพพีตักข้าวเป็นคล้ายๆ กับเครื่องรางน่ะค่ะ มีประกวดวาดภาพลงบนทัพพีด้วยนะคะ เอาตัวอย่างมาให้ชม สวยดีค่ะ ^^




เสร็จแล้วพวกเราก็พากันเดินไปขึ้นเรือกลับค่ะ แต่ก่อนกลับก็ขอปิดท้ายด้วยเจ้าเกาะนะคะ



เจ้าตัวนี้ยืนอวดโฉมอยู่บนคั่นที่กั้นระหว่างชายหาดกับทางเดินแคบๆ ยังงงว่ามันจะลงมายังไงหนอ


นั่งเรือกลับขึ้นฝั่ง ต่อรถรางกลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรม แล้วพวกเราก็ลากกระเป๋าขึ้นรถรางไปสถานีฮิโรชิม่าแล้วก็วิ่งสู้ฟัดไปกะจะให้ทันรถชินกันเซนในอีกห้านาที แล้วก็พบว่าตารางรถไฟที่เราดูมันเป็นของเดือนที่แล้ว (เดือนกันยายน) วันนี้มันเดือนตุลาคมแล้ว...เพราะงั้นตารางรถไฟเปลี่ยน เครียดเลย ฮา ดีน้องๆ ไม่รุมอัด ก็รอไปอีกสิบห้านาทีรถไฟก็มาค่ะ

นั่งรถชินกันเซนไปต่อรถที่ฟุกุโอกะ คนแน่นมากๆ ขากลับจากฟุกุโอกะไปคุมาโมโต้เลยต้องยืนกันก่อนสักพัก ถึงได้นั่งค่ะ

และสุดท้ายก็กลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย...

สนุกดีค่ะ แม้ว่าวันสุดท้ายฝนจะตกก็ตาม...


ขอบคุณที่ติดตามชมจนจบนะคะ ^^

ไว้วันหลังจะพาเที่ยวที่อื่นต่อค่ะ

ด้วยความขอบคุณจาก...เด็กทะเล



เด็กทะเล
06.10.26



Create Date : 27 ตุลาคม 2549
Last Update : 27 ตุลาคม 2549 15:18:42 น. 7 comments
Counter : 2934 Pageviews.

 
วัดสวยมากค่ะพี่อ้อม อยากไปเที่ยวอีกแล้ว ถ้ามีโอกาสสักครั้งในชีวิตต้องไปเที่ยวญี่ปุ่นให้ได้ค่ะ


โดย: ปุ้ม IP: 158.108.210.129 วันที่: 28 ตุลาคม 2549 เวลา:0:51:46 น.  

 
^
^
ไปด้วยได้มั้ยคะพี่ปุ้ม

แวะมาดูรูปน่ารักๆ น่าอิจฉาค่ะพี่อ้อม


โดย: ปลากัด IP: 124.121.5.123 วันที่: 28 ตุลาคม 2549 เวลา:10:08:43 น.  

 
งี้ดดดด อยากกอดน้องกวาง

วัดแด๊งแดง ถ้าเราเข้าวัดจะกรี๊ดผีออกไหมนี่ กลัวตัวเองจังเลย ท่าทางตอนกลางคืนภายในวัดจะน่ากลัวเนอะ ไม่รู้จะมี "ใคร" หรือ "อะไร" แอบตามเสาหรือเปล่า แล้วจะตกน้ำมันไหมล่ะนี่


ส่วนของกินน หิววววววว


โดย: Masaomi วันที่: 28 ตุลาคม 2549 เวลา:12:52:17 น.  

 
ตามมาเที่ยวต่อจนจบค่ะ สองตอนจบเลยรึนี่ อิอิ สั้นจัง

ฮิโรชิมานี่เป็นเมืองที่ติดใจตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะเมื่อห้าหกปีที่แล้วหนูหนึ่งเคยอ่านวรรณกรรมเยาวชน เรื่องเด็กหญิงอีดะค่ะ แล้วชอบ ก็เลยติดใจ มันเป็นเรื่องเก้าอี้เดินได้ที่เฝ้ารอเจ้าของกลับมา เจ้าของก็ไม่ได้กลับมาเพราะโดนลูกหลงจากปรมาณูตอนสงครามโลกครั้งที่สอง เด็กน้อยกับพี่ชายก็ไปพบบ้านและเก้าอี้ตัวนั้นเข้าน่ะค่ะ

คุ้น ๆ ขนมเมเปิ้ลกับโอโกโนมิยากิมาก ๆ เลยค่ะ ตอนวันปิยมหาราช รายการผู้หญิงถึงผู้หญิงมีเทปพิเศษล่ะค่ะ ไปฮิโรชิมากัน แล้วแวะร้านที่พี่อ้อมแวะล่ะค่ะ มีทัพพีนั่นด้วย อิอิ

แล้วรายการเค้าแซวด้วยค่ะ ว่าถ้าเมืองไทยมีกวางเดินเพ่นพ่าน โดนจับไปขายแน่ค่ะ ฮา


โดย: NuenG (blue_diamond ) วันที่: 28 ตุลาคม 2549 เวลา:23:58:04 น.  

 
ส่งมาให้


โดย: อ้อ IP: 61.19.150.46 วันที่: 29 ตุลาคม 2549 เวลา:15:01:45 น.  

 
วัดนี้เขาใช้เป็นฉากในเรื่อง The Last Samurai ที่ทอมครูซเล่นด้วยนี่คะ อิงจำความแดงของวัดได้ ฮา

สวยจัง...น่าไปเที่ยวสักครั้ง ถ้าไปเจอตอนเขาจัดงานแต่งงานคงดีเลย เพราะจะได้เห็นสาวญี่ปุ่นสวมกิโมโนกิ๊บเก๋


โดย: nainoi_tplusone วันที่: 30 ตุลาคม 2549 เวลา:23:46:39 น.  

 
++ น้องปุ้ม++
วัดนี้สวยมากค่ะ ถ้ามีโอกาสมาเยือนแถบคันไซ (โอซาก้า) ต้องเลยมาฮิโรชิม่าและมาชมวัดนี้ด้วยน้า ;)

++ น้องปลากัด ++
อย่าอิจฉาเลยน้า มานำเที่ยวไง ;)

++ คุณ Masaomi++
วัดญี่ปุ่นไม่น่ากลัวนะคะ ไม่เหมือนวัดไทย ^^
ไม่มีเสาตกน้ำมันหรอกค่ะ เพราะไม้ที่เอามาทำมันต่างกันน้า

++ น้อง NuenG++
ตอนนี้สั้นค่ะ เพราะจริงๆ แล้วไปเรื่องงานน้า (แต่ก็ยังหนีเที่ยว ฮา)
เรื่องสงคราม...พูดแล้วก็เศร้านะ ญี่ปุ่นมีวรรณกรรมที่เขียนเกี่ยวกับผลกระทบหลังสงครามเยอะค่ะ อ่านทีไรก็...หดหู่ทุกทีอ่ะน้า
ที่นี่กวางเยอะมากๆ เลย ขอบอก ฮา

++ คุณอ้อ ++
ส่งไรมาคะ ^^''

++ น้องอิง++
เอ๋ จริงเหรอ พี่ดู the last samurai แล้วไม่เห็นเลยนะ สงสัยต้องไปเอามาดูใหม่ ฮา แต่ปกติวัดญี่ปุ่นแดงเถือกอย่างนี้ทั้งนั้นเลยล่ะ แต่ก็น่าจะมาถ่ายที่นี่นะคะ เพราะวัดนี้ดังและมีชื่อเสียงมากค่ะ
ปีหน้ามาสิคะ พร้อมติ้นไง ;)


โดย: เด็กทะเล (ลิปิการ์ ) วันที่: 31 ตุลาคม 2549 เวลา:19:49:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลิปิการ์
Location :
ตอนใต้ Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537

ห้ามผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์ โดยการนำรูปภาพ และบทความงานเขียน รวมทั้งข้อความต่างๆ ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมดในบล็อกแห่งนี้ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีตามที่กฏหมายบัญญติไว้สูงสุด
Friends' blogs
[Add ลิปิการ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.