life sucks
<<
พฤศจิกายน 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
5 พฤศจิกายน 2552

XXXแหกคอกมหาลัยXXX37XXX



       


มันเริ่มจากบ่ายวันนั้นและไม่มีคืนไหนอีกเลยที่ผมจะนอนหลับโดยไม่ได้ยินเสียงเธอในความฝัน มันเป็นช่วงเวลาซึ่งเป็นวัยที่โตพอที่จะรู้จักความต้องการทางเพศแต่ยังไม่โตพอที่จะรู้จักความรัก เท่าที่ผมทำได้คือเฝ้ามองเธอ ในโรงเรียนสอนดนตรีดัดแปลงมาจากทาวเฮ้าส์ที่แบ่งพื้นที่เล็กๆนั้นออกเป็นหลายส่วน ห้องสอนกีต้าร์ลีดเป็นห้องกระจกชั้นสองติดกับบันได ถัดไปจะเป็นห้องเบส ลึกเข้าไปข้างในจะซอยเป็นห้องเล็กๆขนาดแมวดิ้นตายเอาไว้สอนเปียร์โน ชั้นสามเป็นห้องสอนร้องเพลง และมีห้องใหญ่อีกสองห้องไว้ให้เช่าซ้อมดนตรี ส่วนกลองนั้นอยู่ถัดจากห้องโถงที่ให้พ่อแม่นั่งรออยู่ชั้นล่างสุด และด้วยพื้นที่แคบๆเช่นนั้นทำให้เสียงเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นค่อนข้างที่จะปะปน แต่ถ้าเธอมาเมื่อไร ผมจะรู้ได้ไม่ยาก ด้วยเส้นเสียงที่เป็นเอกลักษณ์นั้นจะกระโดดออกมาจากดนตรีที่ซ้อนทับกันอย่างวุ่นวาย ที่ชั้นล่างสุด บนชั้นวางรองเท้าที่เธอจะวางส้นสูงของเธอเอาไว้ตรงนั้น เธอเป็นคนตัวเล็ก ส่วนสูงไม่น่าจะเกิน 155ซม. ใบหน้าเล็กๆนั่นถูกตกแต่งอย่างเข้มข้นด้วย Eyes Liner และ Eyes Shadow ปากเล็กๆที่ทาจนแดงคล้ำ จมูกเล็กๆ กับรูปร่างที่อวบหน่อยๆนั้นทำให้เธอดูไม่ธรรมชาติจนผมไม่เคยจะสังเกตเห็นเธอเลยเมื่อเธอเดินผ่าน เธอก็เหมือนผู้หญิงธรรมดาทั่วไปที่คุณจะไม่มีทางหันไปมองเธอเป็นครั้งที่สอง ไม่มีอะไรเลยนอกจากเส้นเสียงและส้นสูงคู่นั้น


เธอเป็นคนเงียบๆที่แม้แต่พี่ Reception ที่ปกติที่จะพูดคุยหัวเราะกับเด็กทุกคนก็ยังเงียบเป็นป่าช้าเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ เท่าที่ผมสังเกตเธอจะมีรถมาส่งเมื่อถึงเวลาเรียนและมารับเมื่อถึงเวลากลับ E-Class สีกรมท่าติดฟิล์มดำมืดจนผมไม่รู้ว่าคนที่มารับส่งเธอเป็นใคร ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ก็น่าจะเป็นคนขับรถ เพราะถ้าเป็นแฟนมาส่งมันก็ไม่น่าที่จะตรงเวลาได้ขนาดนั้น อย่าว่าผมโรคจิตหรืออะไรเลยนะครับ... แต่ว่าผมชอบดูเวลาเธอกำลังถอดรองเท้าส้นสูงคู่นั้น คู่ที่เธอใส่เป็นประจำ ผมจะลงมานั่งรอตรงจุดที่อยู่ในมุมที่เห็นเธอกำลังถอดรองเท้า การถอดรองเท้าของเธอนั้นเป็นเหมือนพิธีกรรมอะไรบางอย่าง เธอจะค่อยๆปลดตะขอที่เกี่ยวสายหนังตรงข้อเท้าของเธอออกอย่างแช่มช้าราวกับว่าจะขาดใจตายเมื่อไรก็ตามที่ส้นสูงถูกถอดออกไป และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ความเป็นหญิงของเธอหายไปเกือบครึ่งเมื่อขาดไร้ซึ่งส้นสูงไว้รองรับน้ำหนักแห่งความมั่นใจของตนเอง


เด็กทุกคนที่จะขึ้นไปเรียนจะต้องถอดรองเท้าวางอยู่บนชั้นรองเท้าที่จัดเอาไว้ มีแต่ส้นสูงของเธอเท่านั้นที่สูงซะจนไม่สามารถวางไว้บนชั้นได้ ผมเฝ้ามองรองเท้าคู่นั้น อยู่ตรงนี้ ในมุมที่สามารถมองเห็นมันได้อย่างพอดิบพอดี เท่าที่กะด้วยสายตา ผมเชื่อว่ารองเท้าคู่นี้สูงไม่ต่ำกว่า 5 นิ้วแน่ๆ ส้นเรียวเล็กที่พุ่งขึ้นไปทำมุมกับฝ่าเท้าแหลมจนเหมือนปลายมีด สำหรับส่วนตัวผมแล้ว สิ่งที่ทำให้การแต่งตัวของหญิงสาวแตกต่างจากผู้ชาย ไม่ใช่กระโปรง ไม่ใช่การไว้ผมยาว หรือการแต่งหน้าทาปาก แต่เป็นส้นสูง รองเท้าที่ออกแบบมาให้ขาคู่นั้นดูสวยงาม ยกบั้นท้ายของพวกหล่อนให้ดูมีสัดส่วนที่แตกต่างจากผู้ชาย ช่วยให้เธอเดินได้อย่างมั่นใจ มีผู้หญิงไม่มากนักหรอกที่สามารถควบคุมส้นสูงให้เป็นเหมือนอวัยวะหนึ่งของร่างกายเธอได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การวิ่ง การควบคุมบั้นท้ายให้โยกย้ายไปตามจังหวะการเดินแต่ละย่างก้าวได้อย่างสวยงาม มีเพียงส้นสูงเท่านั้นที่สามารถทำได้ และทันใดที่เธอสูญเสียความมั่นใจตรงจุดนั้นไปก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เสียงของเธอผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่มันควรจะเป็น


ผมอยากจะคุยกับเธอ อยากจะบอกเธอในสิ่งที่ผมคิด ข้อเสนอแนะของผมที่จะทำให้การขับร้องของเธอดีขึ้น สิ่งที่บางทีผมอาจจะเพ้อเจ้อคิดไปเอง แต่บ่อยครั้งที่ความคิดเพ้อเจ้อของผมมักจะเป็นความคิดที่มีคุณค่าต่อการนำไปปฏิบัติ ผมตีสนิทกับพี่ Reception เพื่อที่จะล้วงลึกถึงข้อมูลที่ผมต้องการ ผมคลั่งไคล้ในตัวเธอ ผมมองเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่อาจเห็น  


  “แต่งหน้าจัดนะแม่คนนี้” ครูสอนกีต้าร์ของผมวิจารณ์เธอทุกครั้งเมื่อเธอเดินผ่านขึ้นไป ความจริงครูแกวิจารณ์ผู้หญิงทุกคนที่เดินผ่านไปผ่านมาซะมากกว่า


“คนนี้ก็สวยดีนะ แต่อกเล็กไปหน่อย” แกติดาวโรงเรียนคนหนึ่งที่น่ารักเอามากๆ


“คนนี้หน้าแม่งโคตรปีศาจเลย เสียงดีแค่ไหนก็ไม่รุ่งหรอก”แกด่าสาวอ้วนดำคนหนึ่งที่เดินผ่านขึ้นไป


นั่นละครับ... แกจะติสาวทุกคนที่เดินผ่านบันไดนี้ขึ้นไปเรียนร้องเพลงยังชั้นบน ครูแกจึงติให้ผมรู้ตัวทุกครั้งที่เธอเดินผ่านขึ้นลง แต่ถึงผมจะมองหน้าเธอสักกี่ครั้งผมก็ไม่อาจจะจำหน้าเธอได้ เมื่อไรก็ตามที่ผมคิดถึงเธอ ผมก็มักจะอุปทานแว่วเสียงของเธอ สักพักหนึ่งส้นสูงคู่นั้นก็จะลอยเข้ามาเตะที่ตาจนไม่อาจที่จะลืมตาขึ้นเพื่อคิดเรื่องอื่นได้อีกนอกจากเรื่องของเธอ


จนถึงปัจจุบันนี้ผมก็ยังจำเธออยู่ในรูปแบบนั้น โอเคครับ... ผมเล่ามาถึงตรงนี้คุณก็คงสงสัยใช่ไหมว่าทำไมผมถึงสามารถเข้าไปคลุกวงในชีวิตเธอได้ มันเป็นเรื่องของความบังเอิญแท้ๆเลยครับ เพราะว่าไม่กี่เดือนหลังจากนั้นก็เกิดวิกฤตฟองสบู่แตกขึ้นมา บ้านเธอที่เพิ่งกู้เงินมาทำอสังหาฯก็ล้มครืน เธอผู้ซึ่งใช้ชีวิตเยี่ยงเจ้าหญิงมาตลอดเกิดตกอับขึ้นมา และในช่วงเวลาที่เธออ่อนแอก็มักจะง่ายที่จะทำความรู้จักกับอะไรใหม่ๆที่สามารถให้ความสุขกับเธอได้ ซึ่งเด็กแก่แดดอย่างผมสามารถเทคแคร์เธอได้เป็นอย่างดี นั่นละครับที่ทำให้เราเริ่มที่จะคุยกัน เธอแก่กว่าผมสองปีแต่มันก็ไม่ใช่อุปสรรค ขวากหนามอันแท้จริงของความรักครั้งนี้คือการที่เธอต้องย้ายตามพ่อไปที่กรุงเทพฯ ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ช่วงแรกๆผมก็พยายามไปหาเธอ เธอก็พยายามกลับมาหาผม แต่เราก็ยังเด็กเกินไป มีอะไรอีกมากมายให้เรียนรู้ และในที่สุดกาลเวลาก็พิสูจน์ว่าเราไม่ใช่คู่กัน ผมมันวัยรุ่นเลือดร้อนเกินไป ขี้หึงและเอาแต่ใจตัวเองเกินไป และระยะทางก็ไม่สามารถทำให้ผมดูแลเอาใจใส่เธอได้เหมือนเดิม ในที่สุด หลังจากที่ทนทู่ซี้คบกันมากว่า 4 ปี เธอก็บอกเลิกผม


“แล้วสัญญาล่ะ” ผมถามเธอแต่มันก็มีแค่ความเงียบอันน่าอึดอัดเป็นคำตอบ


“เราจะแต่งงานกันไม่ใช่หรือไง เราสัญญาว่าจะรักกันตลอดไปไม่ใช่หรือไง” ผมถามเธออยู่อย่างนั้น ทางโทรศัพท์ เธอก็เงียบอยู่อย่างนั้น บางจังหวะที่ผมตะคอกเข้าไปหนักๆก็จะมีเสียงร้องไห้กระซิก ผมรู้สึกเหมือนเป็นไอ้โง่ ผมเชื่อว่าเธอไม่มีคนอื่น ผมเชื่อว่าเธออยากเลิกกับผมเพราะเธออยากจะพักความสัมพันธ์จริงๆ แต่มันไม่จริงเพราะไม่กี่เดือนหลังจากที่เลิกกับผม ผมก็ได้ข่าวว่าเธอมีแฟนใหม่...


ถึงเราจะทะเลาะกันตลอด แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะหักหลังเธอเลย แต่เธอก็ทำเช่นนั้นกับผม คำสัญญามันเป็นเพียงเรื่องตลกที่เด็กๆเท่านั้นละที่จะเชื่อ คำสาบานก็เหมือนกัน มันไม่ใช่อะไรเลยมากกว่าลมปากที่เอาไว้หลอกลวงผู้อื่น เรื่องราวทั้งหมดที่ผมเล่ามามันอาจจะฟังดูรวดเร็วและง่ายดาย แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย เพราะในตอนนั้นความรักในความหมายของผมหมายถึงชีวิต เธอคือทั้งหมด ทั้ง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ผมมีเธอเป็นคนแรกและเธอก็มีผมเป็นคนแรก เราสองคนเคยใช้ชีวิตที่อยู่ในโลกของคนสองคนจริงๆ ไม่มีคนอื่น ไม่มีใครจะเข้าใจความรักของเรา เราเกิดมาเพื่อเป็นคู่กัน เพื่อจะรักกันตลอดไป แต่ยังไปไม่ทันถึงไหนเลยแท้ๆความฝันอันงดงามเหล่านั้นก็ต้องพังทลาย


เอาละครับ... ตอนนั้นผมรู้ตัวแล้วว่าผมมีความหมายกับเธอเป็นเพียงแค่อดีตเท่านั้น ด้วยความยึดติด ด้วยความที่ให้ความสำคัญกับคนที่เรารักจนลืมรักตัวเอง เชื่อไหมครับว่าเธอเลิกกับแฟนคนใหม่นั้นหลังจากคบกันได้เพียงไม่นาน เธออยากกลับมาหาผมและผมก็ยอมให้เธอกลับมานั่นคือความโง่ครั้งแรก อีกไม่นานเมื่อเธอเจอคนใหม่เธอก็ไปอีกครั้งและนั่นเป็นการเสียใจครั้งที่สองของชีวิต ผมยอมเสียใจสองครั้งได้ แต่ผมจะไม่ยอมโง่อีกเป็นครั้งที่สอง ทำให้หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผมก็ไม่เคยรับโทรศัพท์ของเธออีกเลย จนกระทั่งในเวลานี้ เวลาที่ผมเจอรักใหม่ การที่อูฐไปคุยกับแฟนเก่าทำให้ผมรู้สึกอยากจะเจอกับแฟนเก่าของตัวเองอีกครั้ง มันเป็นเวลาอันสมควรแล้วที่ผมจะต้องเจอกับฝันร้ายในอดีต เพื่อให้ผ่านพ้นไป และแน่นอน การกระทำในครั้งนี้ของผมมันมีเหตุผลเพื่อการเอาคืนอีกด้วย ผมมันก็ไม่ได้เป็นคนดีเด่อะไรอยู่แล้ว อะไรที่จะทำให้ผมสะใจที่ได้แก้แค้นผมก็จะทำโดยไม่ลังเล เมื่ออูฐเจอกับแฟนเก่าของเธอได้แล้วทำไมผมจะเจอบ้างไม่ได้ละครับ   


ในที่สุดผมก็โทรไปหาเธอจนได้


“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวที่อยู่ปลายสายรับ เราไม่ได้คุยกันนานมาก แต่ผมก็ยังจำเสียงเธอได้ดี


“สวัสดีครับ” ผมตอบ “นี่เราเองนะ... ชัด”


      






Free TextEditor




 

Create Date : 05 พฤศจิกายน 2552
0 comments
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2552 1:29:22 น.
Counter : 537 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Chud S.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Chud S.'s blog to your web]