life sucks
<<
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
25 ตุลาคม 2552

XXXแหกคอกมหาลัยXXX29XXX



       


คุณจำเรื่องราววัยเด็กของตัวเองได้บ้างหรือเปล่า เมื่อเทียบกับเฉลี่ยแล้ว ผมเดาว่าผมคงเป็นคนที่จำวัยเด็กของตัวเองได้น้อยมาก ไม่มีเรื่องอะไรที่เลวร้ายพอที่อยากจะลืม และไม่มีเรื่องอะไรดีมากพอที่จะให้จดจำ ผมเป็นเด็กขี้อายประเภทที่ไม่กล้าพูดหน้าชั้นนั่นละครับ เป็นคนประเภทที่มีความสุขที่จะอยู่กับตัวเอง การอยู่กับตัวเองของผมก็ไม่มีอะไรซับซ้อนมาก ทั้งหมดนั่นเป็นเพียงการจินตนาการอนาคตอันสวยหรูในสมอง ผมมักจะคิดแต่ไม่ทำ มักจะฟังแต่ไม่พูด ดังนั้นเรื่องราวทั้งหมดที่ผมจำได้เกี่ยวกับวัยวัยเด็กของผมคือความใฝ่ฝันของตนเอง เป็นความทะเยอทะยานของเด็กคนหนึ่งที่กลับกลายเป็นเรื่องที่ดูน่าขำเมื่อเขาเติบโตแล้วมองย้อนกลับไปดูตัวเอง...


ความจริงด้วยความชอบของผมในช่วงนั้นน่าจะทำให้ผมเรียนทางสายอาชีพเป็นช่างยนต์มากกว่าจะเรียนมัธยมปลายเพื่อต่อวิศวะ แต่คนเราก็ต้องการการยอมรับจากสังคม และสังคมที่ผมอยู่ในตอนนั้นก็คงจะรับไม่ได้ถ้าเด็กที่ทั้งพ่อและแม่เป็นอาจารย์มหาลัยทั้งคู่จะไปในทางสายนั้น ที่กล่าวอย่างนี้ไม่ได้หมายความจะดูถูกใครนะครับ แค่ต้องยอมรับว่าคนเราดูองค์ประกอบอะไรบ้างในการตัดสินใครสักคนถ้าไม่ใช่รูปลักษณ์ บุคลิก ฐานะ การศึกษา และความคิด ส่วนความดีความเลวนั้นเหมือนหมอกยามเช้า เหน็บหนาว สวยงาม แต่จับต้องไม่ได้เลย ของบางอย่างนั้นรู้อยู่แก่ใจก็เพียงพอแล้ว มีองค์ประกอบหลายอย่างเหลือเกินในชีวิตวัยเด็กที่กำหนดทางเดินให้ผม ถึงแม้ทุกอย่างจะดูเป็นเหมือนการตัดสินใจของผมเองทุกอย่างก็ตามที แต่เมื่อลงลึกไปดูปัจจัยในการตัดสินใจเหล่านั้นจะเป็นว่าส่วนใหญ่แล้วมันเป็นปัจจัยภายนอกมากกว่าภายใน วัยเด็กของผมเป็นช่วงเวลาที่ผมใช้ชีวิตไปวันๆสุดๆเลยละครับ เวลาถูกแบ่งเป็นสองช่วง คือช่วงเวลาปกติ กับช่วงเวลาใกล้สอบ เล่นให้เต็มที่ในช่วงเวลาปกติ และตั้งใจทำคะแนนดีๆในช่วงเวลาใกล้สอบ ทำเพียงแค่เท่านั้นผมก็อยู่ในมาตรฐานที่จะประคับประคองตัวเองให้มีความสุขตามสภาพได้ และสิ่งที่สร้างความสุขกับผมมากที่สุดก็คืออิสระภาพที่ได้อยู่เหนือการควบคุมของพ่อแม่


จุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมอยากเรียนวิศวะคงเป็นมอเตอร์ไซด์คันนั้นฮอนด้า 100cc รุ่นคุณทวดที่พ่อผมเคยใช้ตั้งแต่ตอนที่เข้ามาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยใหม่ๆ ผ่านกาลเวลามาจนกระทั่งผมโตพอที่จะขึ้นควบมันได้ มันก็จอดเป็นเศษเหล็กอยู่ข้างรั้ว ตัวถังที่เคยเป็นสีน้ำตาลผุกร่อน สีหลุดลอกเผยให้เห็นสนิม ผมจัดการดึงเอาไม้เลื้อยที่พันอยู่รอบๆมันออก ใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่น้อยนิด ไขควงประแจก็มีอยู่ไม่กี่ชิ้นแต่ด้วยความมุ่งมั่นของวัยรุ่นผมก็แกะเจ้าฮอนด้า ตัวนี้ออกเป็นชิ้นๆ ล้างทำความสะอาด ซื้อกระดาษทรายมาขัดสนิมสีเก่า ซื้อสเปรย์กระป๋องมาพ่นรองพื้น ตาก แล้วจึงพ่นสีใหม่ทับ เรียบร้อยแล้วจึงประกอบกลับเข้าไปใหม่ แต่ผลงานมันก็ออกมาตามสภาพของคนทำละครับ เด็กสิบเอ็ดสิบสองขวบ ไม่มีฝีมือ มีเพียงใจรัก ดังนั้นสภาพของมันเมื่อผ่านกระบวนการชำแหละของผมแล้วจะอยู่ในรูปลักษณ์ที่น่าสมเพช สีก็ไม่เรียบ ด้าน สักพักก็แตกลาย เบาะที่กะว่าจะปาดให้เรียบแล้วหุ้มหนังเองก็ฉีกขาดนั่งแล้วให้ความรู้สึกย้วยอย่างกับฟองน้ำข้างในจะหลุดออกมาอยู่ตลอดเวลา ไมล์ความเร็ว วัดรอบ วัดระดับน้ำมัน ไม่มีอันไหนที่จะกระดิกได้ ไม่มีไฟหน้า ไม่มีไฟเลี้ยว ไม่มีไฟหลัง แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ เจ้าฮอนด้าตัวนี้ก็ทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์ เพราะมันได้ปลดปล่อยผมให้เป็นอิสระจากพันธนาการของพ่อแม่ เป็นความภาคภูมิใจจากฝีมือการประดิษฐ์ด้วยสองมือของตัวเองแท้ๆ


มอเตอร์ไซด์เป็นดังกุญแจที่ปลดล็อคปลดปล่อยผมทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ผมสามารถไปไหนมาไหนได้โดยไม่ต้องพึ่งพาพ่อแม่ เนื่องจากสิ่งที่ผมเกลียดที่สุดในโลกคือการรอคอย ผมเกลียดการให้พ่อแม่ไปรับไปส่งที่โรงเรียน เพราะผมรู้สึกว่าตนเองโตพอที่จะเดินทางเองได้แล้ว ผมไม่ต้องการใคร ผมไม่ต้องการอะไรทั้งนั้นยกเว้นมอเตอร์ไซด์... บอกตามตรงว่าเจ้ามอเตอร์ไซด์คันนี้ไม่ได้เป็นเพียงพาหนะเฉยๆ แต่มันยังเป็นภาระของผมอีกด้วย ด้วยอายุอานามที่ค่อนข้างมากทำให้มันเสียบ่อย อะไรที่พอจะซ่อมได้ผมก็จะซ่อมเอง แต่อะไรที่ยากก็เข้าอู่โดยผมจะเฝ้าดูกระบวนการการซ่อมแซมทุกขั้นตอน ในช่วงเวลานั้นผมค่อนข้างจะหมกมุ่นเรื่องเครื่องยนต์กลไก ผมซื้อหนังสือเกี่ยวกับเครื่องยนต์มาอ่าน ตอนปิดเทอมก็ไปฝึกเรียนช่างที่เปิดสอนบุคคลทั่วไป ในช่วงเวลานั้นห้องนอนผมเต็มไปด้วยหนังสือที่เกี่ยวกับการตกแต่งซ่อมบำรุงรถ หนังสือฟิสิกส์ที่อธิบายเกี่ยวกับกลศาสตร์ทุกอย่างที่ผมอยากรู้ ชิ้นส่วนรถ ทั้งกระปุกน้ำมันเบรก โซ่ หัวเทียน ผมเริ่มสะสมเครื่องมือช่างจนเต็มกล่อง มีประแจหกเหลี่ยมครบทุกขนาด ความหมกมุ่นของผมเริ่มขยายตัวและหนักขึ้นเรื่อยๆ หนักข้อเข้าก็ถึงขนาดเพ้อจะสร้างรถที่ไม่ใช้ล้อแต่จะเคลื่อนที่ด้วยสนามแม่เหล็ก ผมซื้อหนังสือของไอสไตน์มาอ่าน พยายามทำความเข้าใจทฤษฎีสัมพันธ์ภาพและควอนตัมฟิสิกส์ มันเป็นความสุขเหมือนคนตาบอดกำลังคลำอะไรสักอย่างที่ยืดหยุ่นและให้สัมผัสที่เร้าใจ เมื่อเรายังเด็กเราก็จะรู้สึกราวกับว่าเรามีเวลาเหลือเฟือที่จะทำทุกอย่างให้เป็นจริงได้ ในช่วงนั้นผมหมกมุ่นกับมันมากจนเชื่อว่าในอนาคตผมจะสามารถประดิษฐ์สุดยอดนวัตกรรมได้เหมือนเอดิสันประดิษฐ์หลอดไฟ หรือสองพี่น้องตระกูลไรด์สร้างเครื่องบิน ในวัยเด็กผมมีความเชื่ออย่างนั้นจริงๆ แล้วมาดูตอนนี้สิครับ มันเกิดอะไรขึ้นกับผมแล้ว!


ด้วยการไม่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับการเรียนแม้ตอนใกล้สอบทำให้ชีวิตของผมหลังจากประกาศคะแนนสอบเรียกได้ว่าค่อนข้างจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง F หนึ่งตัว D และ D+ อีกสองสามตัว C และเหนือกว่าขึ้นไปมีเพียงสามตัวเท่านั้น ผมคงไม่ต้องแจกแจงนะครับว่าตัวไหนเป็นตัวไหนบ้างเพราะมันไม่ใช่อะไรที่น่าภูมิใจ ไม่จำเป็นต้องเล่าสู่กันฟัง แต่รวมๆแล้วเกรดของผมก็หนึ่งปลายๆละครับ บอกตามตรงนะครับว่าตอนนั้นผมใช้ชีวิตด้วยความช็อกและความหวาดระแวง ช็อกเพราะไม่คิดว่าตัวเองจะได้เกรดบัดซบอย่างน่าสังเวชขนาดนี้ ส่วนความหวาดระแวงนั้นมาจากความกลัว กลัวว่าพ่อแม่จะรู้เกรดอันแท้จริงของผม อย่างที่บอกตั้งแต่ตอนต้นแล้วนะครับว่าผมใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยการโกหก โกหกจนเป็นนิสัย โกหกจนเป็นสันดาน มันเป็นสัญชาตญาณเวลามีคนมาถามข้อมูลที่จะเป็นภัยกับตัวเอง ผมโกหกไว้ก่อนทุกเรื่อง เรื่องนี้ก็เช่นกัน ผมบอกแม่ว่าผมได้ 2.5 ซึ่งเป็นเกรดที่พวกท่านพอจะรับได้ นี่ขนาดบอกว่าได้สองกว่าๆยังต้องอ้างเหตุผลสนับสนุนมากมาย ส่วนใหญ่ก็อ้างกิจกรรม ทั้งเชียร์หอ ทั้งเชียร์คณะ ไม่ได้หลับได้นอน ไม่ได้อ่านหนังสือ อย่างงั้นอย่างงี้ ชักแม่น้ำทั้งห้า กล่อมให้พวกท่านเข้าใจจนได้ แต่การโกหกอย่างนี้ถึงจะทำให้สบายตัวในตอนต้นแต่มันกลับมาทำลายสุขภาพจิตเพราะผมเองก็รู้เป็นอย่างดีครับว่าความลับมันไม่มีในโลก สักวันพวกท่านก็ต้องรู้ แต่ผมก็มีวิธีที่จะผ่อนหนักเป็นเบาของผมอยู่แล้ว ทุกอย่างมีกระบวนการของมัน คุณเข้าใจหรือยังครับว่าการโกหกมันมีความสำคัญอย่างไร ตอนนี้ผมก็ผิดหวังกับตัวเองเต็มที่อยู่แล้ว จะให้บอกพวกท่านว่าสอบตกติด F แล้วรับศึกสองด้านนี่มันก็ไม่ไหวเหมือนกัน


มันเป็นการเจริญเติบโตจากโลกแห่งความฝันแบบเด็กๆมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงอันโหดร้าย โลกแห่งความเป็นจริงที่ผมต้องผิดหวังกับสิ่งที่เคยได้วาดฝันเอาไว้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมผิดหวังจนรู้ว่าการใช้ชีวิตในแบบของผมก็เหมือนการเล่นกีตาร์นั่นละครับ เมื่อเริ่มหัดเล่นใหม่ๆ จับคอร์ดแต่ละครั้งนิ้วก็แสบบวม เมื่อฝึกบ่อยๆเข้า เนื้อที่เคยบอบบางก็กลับด้านขึ้นมาเป็นไตแข็ง เมื่อด้านต่อความเจ็บปวดแล้วก็เล่นได้อย่างสบาย ความผิดหวังก็เหมือนกันครับ แรกๆก็ทุกข์ทรมาน แต่เมื่อผิดหวังบ่อยๆเข้าก็จะชินกับมันไปเอง เมื่อสลัดความท้อแท้ทิ้งไปได้ยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งก้าวไปข้างหน้าได้เร็วเท่านั้น บ่อยครั้งที่คนเก่งๆที่ไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้หรือจัดการได้ช้า มันเป็นเรื่องอันตรายนะครับที่จะจมปลักกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานเกินไป เมื่อคิดได้ดังนั้นแทนที่ผมจะจมอยู่กับความเสียใจที่ติด F ผมกลับมาย้อนดูตัวเอง ทบทวนว่าผมต้องการอะไรในชีวิต ยังอยากจะเรียนวิศวะ อยู่หรือไม่ ถ้าไม่แล้วจะไปทำอะไร


ผ่านคืนที่ผมนอนไม่หลับ ผ่านบางวันที่ผมใช้เวลาทั้งหมดไปในการเหม่อลอย ครุ่นคิด ในที่สุดผมก็ตัดสินใจได้ว่าผมจะเรียนต่อ เหตุผลก็คือถึงผมออกไปก็ไม่รู้จะไปทำอะไรอยู่ดี ด้วยความที่ยังไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไรนั่นละครับ ทำให้ผมทู่ซี้เรียนมันต่อไป เรียนไปเรื่อยๆ เอาปริญญามาเก็บไว้ เพื่อให้สังคมยอมรับ เพื่อให้พ่อแม่สบายใจ ผมถามตัวเอง นี่กูอ่อนแอขนาดนั้นเลยหรือเนี่ย...


ถ้าปลาตายคือปลาที่ตามกระแส ผมก็คือปลาตายดีๆนี่เอง ผมผิดหวังในตัวเองที่ขี้ขลาดเกินกว่าจะออกจาก Comfort Zone ที่เรียกว่ามหาลัย วิศวะมหาลัยแห่งนี้ที่ถ้าใครในเมืองไทยทราบว่าผมเรียนอยู่ก็ต้องออกปากชื่นชม มองจากสายตาของคนภายนอก ผมคือชายหนุ่มที่มีอนาคตสดใส แต่ผมกลับมองตัวเองว่าน่าสมเพช ผมควรจะทำอะไรได้มากกว่านี้ ผมถามตัวเอง... ความฝันวัยเด็กของผมหายไปไหนหมดแล้ว กาลเวลาได้กัดกร่อนเอาอะไรไปจากผมบ้าง ความหวัง การมองโลกในแง่ดี โอ้... ช่วงเวลาเศร้าลึกอย่างนี้ผมไม่ควรจะอยู่คนเดียวอย่างแรงครับ ผมต้องหาอะไรทำสักอย่างให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น และในเวลากลางดึกอย่างนี้อะไรที่ว่านั้นจะเป็นอะไรไปได้นอกจากการเที่ยวกลางคืน ผมโทรชวนพี่เซ็กซ์ ไอ้เอก อธิบายอารมณ์ของผมที่ต้องการการปลดปล่อยบน Dance Floor เพื่อนแท้ย่อมเข้าใจเพื่อน พวกเขาตกลง นัดกันที่สถานบันเทิงเดิมๆย่านเอกมัย-ทองหล่อ ผมแต่งตัว แล้วจึงออกไปเรียกแท็กซี่...


  คืนนี้บอกได้คำเดียวว่า “ไม่เมาไม่กลับ”






Free TextEditor


Create Date : 25 ตุลาคม 2552
Last Update : 25 ตุลาคม 2552 18:01:06 น. 0 comments
Counter : 411 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Chud S.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Chud S.'s blog to your web]