life sucks
<<
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
28 ตุลาคม 2552

XXXแหกคอกมหาลัยXXX32XXX



ตั้งแต่เกิดจนโตผมเข้าโรงพยาบาลมานับครั้งไม่ถ้วน อุบัติเหตุมากมายบนท้องถนน มอเตอร์ไซด์คว่ำ รถชน แขนที่เคยหักทั้งสองข้างจากเรื่องชกต่อย แพ้เหล็กในผึ้งจนหายใจแทบไม่ออก แต่ไม่มีครั้งไหนที่ร่างกายจะเจ็บปวดทรมานเท่าการถูกรุมกระทืบในครั้งนี้ กรามปวดจนแทบจะขยับปากไม่ได้ อย่าว่าแต่กินข้าวกินน้ำเลยครับ แค่พูดยังพูดไม่ออก แขนขวาก็ห้อยอยู่ในเฝือกอย่างปวดประสาท ผมสามารถสื่อสารกับโลกภายนอกได้ทางเดียวคือแขนซ้ายที่ปกติก็ไม่ค่อยได้ใช้ เขียนหนังสือแต่ละตัวก็ยากลำบาก หันซ้ายขวาไม่ได้เพราะคอถูกดามไว้ด้วยเฝือก เนื้อตัวระบมไปด้วยรอยฟกช้ำ แสบแผลถลอก รอบๆระโยงระยางไปด้วยสายน้ำเกลือ ขยับตัวแต่ละครั้งก็ปวดเกร็งน่วมเหมือนหมูถูกทุบ พี่เซ็กซ์แกขอตัวกลับไปตั้งแต่ตอนเย็นๆแล้วแต่ไอ้เอกยังคงนั่งเฝ้าผมอยู่ แอนก็อยู่กับมัน ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นราวกับเดจาวู ต่างกันเพียงคราวนี้คนที่นอนบนเตียงเป็นผมไม่ใช่ไอ้เอก จากสภาพอันน่าสังเวชของผมในตอนนี้แล้ว ผมยอมโดนยิงก้นยังดีกว่าอีกครับ


“มึงมันบ้าไปแล้ว...” มันด่าผมหลังจากที่รอให้ผมใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการค่อยๆเขียนเรื่องราวที่เกิดขึ้น มันด่าผมหลังจากอ่านตัวหนังสือโตๆน่าเกลียดๆเหล่านั้น “กูว่าออกจากโรงบาลนี้แล้วมึงน่าจะไปรักษาตัวที่โรงบาลบ้า... หรือว่ามึงอยากตายวะ”


ผมมองตามัน ค่อยๆใช้มือซ้ายที่เกือบจะไม่มีแรงใดๆเขียนไปอย่างรู้สึกสำนึกผิดว่า “ก็กูเมา”


คิดไปคิดมาแล้วพ่อแม่ผมคงปลื้มละครับ ออกจากบ้านได้ไม่นานก็หาเรื่องให้ตัวเองได้ขนาดนี้ ทั้งติดเที่ยว ติดเพื่อน ติดเหล้า อีกสักหน่อยถ้าไม่ควบคุมตัวเองดีๆคงจะติดยาพ่วงไปอีกหนึ่ง เรื่องยานี่พูดเล่นนะครับ ชีวิตคนเรามันอีกยาวไกล ครอบครัวผมก็อบอุ่น จิตใจก็ไม่ได้อ่อนแอจนอยากจะหลุดออกจากโลกแห่งความเป็นจริงขนาดนั้น ตอนนี้คู่บุพการีของผมท่านคงยังไม่รู้เลยว่าลูกบังเกิดเกล้าของท่านนั้นนอนอยู่โรงบาลในสภาพไม่ต่างอะไรกับการถูกสิบล้อชนกลิ้งตกเหว เท่าที่ทำได้ก็คือเงียบละครับ ผมพูดไม่ได้ รับโทรศัพท์ท่านก็ไม่ได้ ตอนนี้อยู่ในช่วงปิดเทอม โชคดีที่ก่อนหน้านี้ผมบอกพวกท่านว่าผมออกค่ายสร้างโรงเรียนให้เด็กบนดอยเพื่อเป็นเหตุผลให้ข้อแก้ตัวที่ว่าทำไมสอบเสร็จแล้วยังไม่กลับบ้าน ผมปิดมือถือ นานๆทีก็ส่งเมจเสจหาท่านบ้างเพื่อไม่ให้ท่านเป็นห่วง เป็นอีกครั้งที่ผมต้องโกหก คุณคิดดูสิครับถ้าพ่อแม่ของผมมาเห็นลูกในสภาพนี้จะรู้สึกอย่างไร... ยิ่งแม่ผมถ้ารู้เข้าคงสติแตกไปเลย ผมรู้สึกผิดครับ...


จากที่ฟังหมอวินิจฉัยอาการ ผมคงต้องอยู่โรงพยาบาลยาวไปจนกว่าจะเปิดเทอม ซึ่งผมก็ต้องยอมรับ


สภาพละครับ ทำตัวเองทั้งนั้นจะไปโทษใครได้ ชีวิตที่เลือกเอง รับผิดชอบเอง ตอนนี้ผมรับผิดชอบได้หมดละครับ ยกเว้นเรื่องเงิน เพราะค่าใช้จ่ายในการเข้าโรงพยาบาลเอกชนหรูๆอย่างนี้ก็พอสมควร ผมเองก็ไม่ได้บอกพ่อแม่ ที่ยังอยู่ได้ก็เพราะพี่เซ็กซ์แกรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลให้ ผมก็โคตรเกรงใจพี่เลย คิดดูสิครับ ค่าเหล้าพี่แกก็ออก พอไปมีเรื่องกับเค้าโดนตีจนต้องหามส่งโรงบาลพี่เค้าก็ออกให้อีก ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเท่าไร แต่คงไม่ต่ำกว่าห้าหกหมื่นละครับ นี่ขนาดยังไม่ต้องผ่าตัด รวมแค่ค่าหมอ ค่าห้องเดี่ยวที่เปิดออกไปเห็นบรรยากาศยามเย็นของกรุงเทพฯที่ผมไม่มีปัญญาขยับตัวไปชมความสวยงามของมันหรอก ค่าเข้าเฝือก ค่ายาที่ส่วนมากจะเป็นยาแก้ปวด ค่าปุ่มสีแดงที่เอาไว้กดเรียกนางพยาบาลสวยๆที่ให้บริการผลัดเปลี่ยนเวรกันตลอด 24 ชั่วโมง นางพยาบาลชุดขาวสะอาดเข้ารูปที่แต่ละนางก็น่ารักไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย พูดง่ายๆเลยครับว่าบริการทั้งหมดนี้เป็นการอนุเคราะห์จากพี่ชายผมที่เรียกได้ว่ามีบุญคุณต่อผมจนผมสาบานกับตัวเองว่าจะต้องหาเรื่องตอบแทนให้ได้ ผมรู้สึกแย่กับตัวเองที่ไม่อาจจะรับผิดชอบดูแลตัวเองได้เต็มที่ ผมยังเป็นนักเรียนที่ต้องขอเงินจากพ่อแม่ไปเรียน ไปกินข้าว ไปทำสิ่งไร้สาระอันเกิดจากอารมณ์สนุกของตน มีหลายคนต้องมารับผิดชอบกับสิ่งที่ผมเป็นผู้ก่อโดยที่ผมยังอยู่บนความสะดวกสบายอันเกิดจากความปรารถนาดีของพวกเขา ยิ่งพี่แกไม่ด่าไม่ว่าอะไรเลย ทุกสิ่งที่เขาทำมีเพียงความช่วยเหลือ และนั่นทำให้ผมรู้สึกผิดหนักขึ้นไปอีก จนเย็นวันหนึ่งที่พี่เขามาเยี่ยม ผมจึงออกปากไปว่า


“พี่ครับ ผมขอย้ายไปโรงบาลรัฐ ผมอยู่ห้องรวมได้”


ตอนแรกพี่เขาไม่ยอม “กูจะให้น้องกูไปอยู่อย่างนั้นได้ไง” นั่นคือสิ่งที่พี่แกพูด ทำให้ผมต้องอธิบายสิ่งที่ผมคิดให้พี่แกฟัง ผมบอกว่าผมรู้ว่าแกมีเงิน แต่นั่นทำให้ผมรู้สึกต้องรับผิดชอบอะไรชีวิตตัวเองบ้าง เขาช่วยผมมาเยอะแล้ว และผมก็พอจะมีเงินเก็บเพียงพอที่จะไปนอนรวมกินอยู่ในโรงบาลรัฐได้สักเดือน พี่แกก็คงเข้าใจถึงความตั้งใจของผมละครับ ถึงแม้พี่เค้าจะไม่ค่อยสนใจเรื่องเงินที่พี่เขาค่อนข้างจะมีใช้จ่ายเหลือเฟือจากธุรกิจที่ค่อนข้างจะเฟื่องฟู แต่สุดท้ายพี่แกก็อ่านจดหมายที่ผมค่อยๆใช้มือซ้ายเขียนไปอย่างยากลำบากจนจบ พี่แกคงซาบซึ้งบ้างไม่มากก็น้อยละครับ และผมก็ได้ย้ายไปอยู่โรงบาลรัฐแห่งหนึ่งใกล้ๆกับคอนโดของพี่เขา


หลังจากที่ผมย้ายโรงพยาบาลไปแล้ว มีบ้างที่ผมรู้สึกเสียดายที่ต้องย้ายออก แต่สิ่งที่ผมโหยหาในการอยู่ห้องเดี่ยวอันหรูหรานั้น ไม่ใช่ความหรูหราสวยงามของห้อง ไม่ใช่นางพยาบาลสวยๆที่จะเข้ามาบริการเราด้วยรอยยิ้มงามๆ ด้วยมือน้อยๆของพวกเธอที่หยิบจับเข็มแล้วแทงมันเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังของผมอย่างแผ่วเบาจนแทบไม่รู้สึกอะไรเลย สิ่งที่ผมโหยหาจริงๆคือความเป็นส่วนตัวครับ ผมต้องการความเป็นส่วนตัวในบางบ่ายหรือบางคืนที่อูฐมาเยี่ยมผม บางเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกันเงียบๆ เธอเองก็เป็นอีกคนที่อ่านจดหมายทุกฉบับที่ผมเขียนขึ้นเพื่ออธิบายเหตุของผลที่ผมกำลังประสบอยู่ในตอนนี้ เธอจะเดินออกไปที่ระเบียง ลมเย็นๆจะพัดเข้ามาในห้องพร้อมกับกลิ่นน้ำหอมจางๆของเธอ บางครั้งเธอมองผมแล้วผมก็จะเห็นประกายความชื้นในดวงตาของเธอ เธอกำลังร้องไห้ให้ผม ด้วยความสมเพช ด้วยความเป็นห่วง ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดแทนคนที่เธอรู้สึกดีด้วย ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามมันก็เป็นสายตาที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตนเองคิดผิดที่ยอมให้เธอเข้ามาเห็นผมในสภาพนี้ สภาพที่เน่าเฟะและแทบจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย เธอจะสูบบุหรี่เพื่อดับความเครียดของตนเอง เธอจะนิ่งเงียบอ่านจดหมายนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าขณะที่ผมแกล้งทำเป็นหลับ ผมมองหน้าเธอและก็รู้ว่าในสมองที่อยู่ใต้ใบหน้าอันเรียบเฉยนั้นเต็มไปด้วยคำถามมากมาย คำถามที่แสดงออกเฉพาะในแววตา แสดงออกบนปลายนิ้วของเธอที่บางครั้งมันก็สั่นขณะที่ป้อนข้าวต้มแต่ละคำให้ผมอย่างยากเย็น นิ้วเล็กๆที่สั่นไหวไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่แทบจะทะลักล้นออกมา เล็บที่ปราศจากสีเลือด ซีดขาวและค่อยๆยาวขึ้นในแต่ละครั้งที่เข้าเยี่ยมผม ผมตั้งใจมองที่เล็บเธอ เล็บที่ค่อยๆยาวขึ้นเรื่อยๆตามช่วงเวลาแห่งความป่วยอันยาวนานและมันจะยิ่งแย่เมื่อผมเข้าไปนอนอยู่ในสภาพของห้องรวมที่หนาแน่นไปด้วยบรรยากาศแห่งความเจ็บป่วย เธอจะไม่พูดอะไรสักคำเหมือนผมที่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ และเมื่อผมย้ายเข้าไปอยู่ห้องรวม บรรยากาศอันเป็นส่วนตัวเหล่านั้นก็หมดไปแล้ว เธอไม่อาจมานั่งรอผมนานๆ ใช้เวลาว่างในบ่ายอันร้อนอบอ้าวเพื่ออยู่ในความเงียบอันน่าหลงใหลด้วยกันได้อีก


   


โอเคครับ... เพียงแค่มาอยู่ช่วงแรกๆก็ค่อนข้างจะคุ้นเคยกับบรรยากาศในโรงพยายาลรัฐ ผมพยายามนึกอยู่นานว่ามันเหมือนอะไร ความวุ่นวาย ห้องหับ เตียง กำแพง ผนัง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดูเก่าและเต็มไปด้วยเรื่องราวเชิงประวัติศาสตร์ให้ผมค้นหา แล้วผมก็เพิ่งนึกออกครับว่าบรรยากาศมันเหมือนกับหอใน ต่างกันเพียงแทนที่นักเรียนด้วยผู้ป่วยที่มักจะตื่นขึ้นมาไอแห้งๆในยามดึกที่ไม่เคยเงียบเหงา เสียงหวอของรถพยาบาลที่จะปลุกให้เราตื่นได้ทุกๆสิบห้านาที กลิ่นเลือด กลิ่นแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ จำที่ผมเล่าถึงสภาพตอนที่ฝึกงานอยู่ได้หรือเปล่าครับ ตอนนี้ผมกำลังนอนพักรักษาตัวอยู่ในสิ่งแวดล้อมคล้ายๆกับแบบนั้นเพียงแค่ Soft ลงมาหน่อยเพราะที่เมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ค่อนข้างจะมีโรงพยาบาลรัฐให้เลือกมากและก็ไม้ได้แออัดขนาดนั้น ผมใส่ชุดสีฟ้าบางๆที่มีลวดลายเป็นตราของโรงพยาบาล รองเท้าแตะเหยียบย่างอยู่บนพื้นหินขัดที่เย็บเฉียบ เตียงเหล็กที่จะลั่นดังเอี๊ยดอ๊าดในแต่ละครั้งที่พลิกตัว บางครั้งนอนเยอะๆก็เมื่อยจนเกินไป นั่งนานๆก็ยิ่งเมื่อย ผมเองก็พอจะเดินได้แล้วแต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเดินไปไหนนอกจากร้านสะดวกซื้อที่อยู่บนชั้น 8 ผมอยู่ชั้น 7 ซึ่งเป็นชั้น Orthopedicหรือผู้ป่วยที่เป็นโรคอะไรเกี่ยวกับกระดูก คือผมมีปัญหาที่กระดูกคอและแขนขวา ฟันหน้าก็บิ่นไปนิดหนึ่งแต่นั่นน่าจะเกี่ยวกับหมอฟันมากกว่าหมอกระดูก ถ้าทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วผมก็คงต้องไปทำฟันใหม่ อาจจะเป็นการเคลือบตรงส่วนที่มันหักไป ผมคงต้องจัดการกับอีกหลายอย่างกว่าจะกลับมาดูเป็นผู้เป็นคนเหมือนเดิม


เมื่อมาอยู่แถวนี้แล้วอาการเจ็บป่วยของผมกลายเป็นเรื่องกระจอกไปเลยครับเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมห้อง ที่น่าสงสารที่สุดน่าจะเป็นคุณปู่คนหนึ่งที่ใส่เฝือกที่คอและหลัง คือเกือบทั้งตัวของแกถูกปกคลุมด้วยเฝือกแข็งๆที่น่าจะทำให้แกรู้สึกคันสุดๆ เตียงแกอยู่ข้างๆผม หลายวันแล้วยังไม่เห็นลูกหลานคนไหนมาเยี่ยมนอกจากพนักงานบริษัทประกันที่เข้ามาคุยอะไรกับแกไม่ถึงห้านาทีแล้วก็กลับไป แกเล่าให้ผมฟังว่าสภาพของแกอย่างที่เห็นนี่เกิดจากอุบัติเหตุเพียงครั้งเดียว แกลื่นล้มในห้องน้ำครับ คุณพอนึกภาพออกไหมว่าคนแก่ที่มวลกระดูกค่อนข้างต่ำตามกาลเวลาเมื่อลื่นล้มในห้องน้ำแล้วจะเกิดอะไรขึ้น หักสิครับ เมื่อกระดูสันหลังซึ่งเป็นจุดรวมเส้นประสาทเป็นอะไรไปก็ทำให้ช่วงล่างของแกก็ลายเป็นอัมพาตไป


“ทำไมข้าไม่ตายไปเลย” แกถามคำถามอย่างนี้กับผม “ตายไปเลยก็ยังดีกว่าต้องมาอยู่ในสภาพนี้”แกชื่อปู่แบน อายุแปดสิบสามแล้วแต่สมองของแกยังใช้งานได้ดีมาก พูดคุยโต้ตอบกับผมได้อย่างฉับไว แกเป็นคนที่ทำงานเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เด็กยันแก่จึงเกลียดตัวเองที่ต้องมาอยู่ในสภาพช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ บางครั้งแกก็เหมือนจะพูดเล่นๆว่าขอให้ผมช่วยฆ่าแกเสีย จะได้หายเจ็บปวดเสียที ผมก็จะหัวเราะไปกับคำพูดของแก ปากที่เหลือฟันอยู่ไม่กี่ซี่ของแกก็จะหัวเราะไปพร้อมๆกับผม บอกตรงๆเลยนะครับ เพราะปู่แกนั่นละที่ชักนำให้ผมเข้าสู่วงการการเขียนเพื่อปลดปล่อยชีวิต      


 


  






Free TextEditor


Create Date : 28 ตุลาคม 2552
Last Update : 28 ตุลาคม 2552 12:00:54 น. 0 comments
Counter : 327 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Chud S.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Chud S.'s blog to your web]