life sucks
<<
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
31 ตุลาคม 2552

XXXแหกคอกมหาลัยXXX35XXX



ผมหายใจอยู่ในอากาศและวิ่งอยู่ในท้องทะเลที่เห็นแสงลิบๆที่ปลายขอบฟ้า ตรงไหนที่ขาดความสมจริงบ้าง ตรงไหนที่เหมือนจริงเกินไปจนน่ากลัวบ้าง กลิ่นแห่งความตายมันช่างเหม็นแต่เย้ายวนให้เรามุ่งที่จะค้นหาตัวเองเพราะเวลาหมดไปทุกวัน มีเรื่องให้เชื่อมั่นมากมายจึงมีเรื่องให้ผิดหวังมหาศาลดั่งเงา เหมือนแสงไฟบนเสาไฟฟ้า ตัวเราแค่ไหนแต่เงากลับยืดยาวออกไปอย่างไม่รู้จบ บางทีผมก็ต้องการอยู่อีกโลก โลกที่อันตราย โลกที่ความตายแทบจะก้าวไปพร้อมๆกับเรา และพอเราหยุดก้าวเดินเมื่อไรมันก็จะนำหน้าเราไปและจะไม่หันหลังกลับมาอีก แต่ผมก็จะเดินต่อไป เดินไปตามวิถีของผม ตามครรลองแห่งการผสมผสานทั้งที่โดดเด่นและกลมกลืนของโลกใบนี้ ผมจะกรีดเลือดตัวเอง ละเลงบนผนังสีขาวเพื่อประกาศให้โลกรู้ว่าผมเคยมาเยือน ณ สถานที่แห่งนี้ สถานที่ที่ยังไม่เคยมีใครค้นพบ เหมือนนิล อาร์มสตรอง ผู้ปักธงสหรัฐบนพื้นผิวดวงจันทร์ ทุกสิ่งประกาศกร้าวแต่ก็อย่างที่บอกว่ามันขาดความสมจริง ถึงผมจะรู้อะไรแค่ไหน หมกมุ่นกับสิ่งใดเกินไป มันก็คงจะอยู่ในเซลล์สมองของผมเท่านั้น ผมยังคงต้องใช้ชีวิตประจำวันเยี่ยงสัตว์พระเจ้าสร้าง สังคมสร้างกรอบให้ผมเรียบร้อยแล้วและตัวอ่อนก็ต้องเรียนรู้วิธีหากินก่อนที่จะปีกกล้าขาแข็ง นั่นละครับที่ทำให้ผมยังคงเป็นคนกระจอก และยิ่งผิดหวังกับตัวเองเมื่อชีวิตบินสูงขึ้นไปด้วยความคิดแต่ต้องถูกยิงตกกลับมาอยู่ที่จุดเดิมอีกครั้ง ครั้งนี้ผมไม่ได้กลับมาเรียนมหาลัยอย่างเดียวนะครับ…. ผมยังกลับมาเพื่อเรียนพิเศษเพื่อให้อยู่รอดในมหาลัยอีกด้วย ทุกอย่างหลังจากนั้นเกิดขึ้นและวนไปเหมือนเดิมตั้งแต่เช้าจนค่ำ ตื่นนอน แต่งตัว ไปเรียน เสร็จจึงไปเรียนพิเศษ... ไม่ได้เขียนผิดครับ ตอนแรกๆผมก็ตกใจเหมือนกันว่าเข้ามหาลัยแล้วยังมีเรียนพิเศษกันอีกหรือ แน่นอนครับ... มันมีจริงๆ เพราะครั้งแรกที่ผมได้ยินเรื่องการเรียนพิเศษนี้ผมแทบไม่เชื่อหู


“เฮ้ย...” ผมร้องอย่างตกใจ “โตขนาดหมาเลียตูดไม่ถึงแล้ว มึงยังเสือกจะเรียนพิเศษอีกหรอ” ผมด่าไอ้เอกด้วยคำที่พ่อเคยด่าผมตอน ม. ปลาย เมื่อมันเอาความคิดที่ไร้สาระมาเล่าให้ฟัง


“ไอ้สัตว์... โง่แล้วยังจะอวดฉลาด” มันด่ากลับ “มึงตักน้ำใส่กะโหลกหน่อย เกรดแม่งก็เน่าพอๆกะกู ยังจะทำมาเป็นหยิ่ง” เออ... มันด่าผมเป็นชุดเลยครับ


หลายอย่างสำคัญแต่ยากที่จะจำ บางอย่างไม่มีคุณค่าใดในปัจจุบันแต่กลับเหมือนถูกหมุดยึดติดฝังแน่นแม่นยำรอคอยการถูกเรียกใช้ในอนาคต ผมมีความทรงจำหลายอย่างทั้งดีและไม่ดีเกี่ยวกับการเรียนพิเศษสมัยมัธยมปลาย มันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความขี้เกียจที่งี่เง่าซึ่งพอมองย้อนกลับไปจะเห็นได้ว่ามันเป็นอาการตามแฟชั่นดีๆนี่เอง เพราะเพื่อนสมัยเรียน ม. ปลาย มันฮิตที่จะเรียนกัน ผมเป็นพวกก็เลยโดนลากตามไปด้วย หนึ่งปีก่อนเอนท์ผมตะบี้ตะบันเรียนมันหมดละครับ ทั้งเคมี ฟิสิกส์ เลข ที่เป็นสามวิชาหลักที่ดันผมจนเข้ามาเรียนวิศวะที่นี่ได้ ครั้งหนึ่งผมเคยคุยกับอูฐ (เธอเรียนจบไฮสคูลนานาชาติแห่งหนึ่งไม่ไกลแถวนี้) เธอบอกผมว่าเธอไม่เคยเรียนพิเศษเลยยกเว้นเปียร์โนและบัลเล่ย์ที่ป้าม้าจับเธอไปดัดตัวตั้งแต่เด็กๆ ผมจึงเห็นว่าหลักสูตรการเรียนแบบไทยๆกับแบบฝรั่งมันแตกต่างกันมาก คลาสของเธอมีเด็กสิบสองคนส่วนตอนผมเรียนทั้งห้องมีเกือบห้าสิบคน เงินเดือนครูก็ต่างกันลิบลับ ความเอาใจใส่จึงเต็มที่ เหมาะสมกับระบบ Child Center ไม่ใช่ควายเซ็นเตอร์เหมือนที่เค้าเรียกกัน แต่เรื่องนี้มันเกินปัญญาครับ คนรวยมันก็เรียนได้ แต่คนจนมันก็อีกเรื่อง


ผมไม่ได้บอกนะครับว่าระบบของตะวันตกมันดีซะหมด แต่ถ้าเรายังเห็นว่าของเค้าดี ใช้ Democracy แบบเค้า ใช้กฏหมายแบบเค้า เพราะเห็นว่ามันเวิร์ค เราก็ต้องกลับมาดูว่าทำไมเราเอามาใช้ถึงไม่เวิร์ค จริงไหมครับ ประเทศเราผลิตคนมาเป็นชิ้นส่วนให้เครื่องจักรกลมากกว่าที่จะผลิตพลเมืองที่มีคุณภาพ ก็ด้วยระบบการเรียนเนี่ยละครับ โอเค... ถึงผมจะดื้อรั้นไม่ยอมเรียนพิเศษก็คงจะไม่ได้ช่วยทำให้ประเทศชาติเจริญขึ้นอยู่แล้ว จะซวยก็แต่ตัวเองที่อาจจะโดนรีไทร์ ดังนั้นมันจึงเป็นอีกครั้งที่ไอ้กระจอกอย่างผมจำต้องยอมรับสภาพ


“เออ กูเรียนกับมึง” ผมบอกมัน “แต่เรียนที่ไหนวะ”


“ไม่ไกลหรอก” มันตอบ “สยามนี่เอง”


ผมคิดในใจ... ไอ้ชิบหาย แม่งจะเรียนตรงนั้นแล้วมันจะมีสมาธิไหมเนี่ย... ทุกอย่างที่เรามี เราไม่เคยเห็นคุณค่า แต่เมื่อเราเสียมันไปเมื่อไร ก็จะเสียมันไปตลอดกาล  


            ด้วยชีวิตกลางวันของผมที่ค่อนข้างจะวนเวียนอยู่แถวมหาลัยและสุดยอดช้อปปิ้งเซนเตอร์ของวัยรุ่นแห่งนี้อยู่แล้ว มันจึงง่ายที่ผมตัดสินใจเรียนพิเศษด้วยค่าเรียนที่บวกออกมาแล้วแพงกว่าค่าเทอมของมหาลัยเสียอีก มันเป็นห้องกระจกขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนชั้นสองของโรงหนังเก่าเก็บที่ฉายเฉพาะหนังอินดี้ที่ไม่ค่อยจะมีคนดู ชั้นล่างของตึกแห่งนี้จะเป็นโรงหนัง และเมื่อไรก็ตามที่คุณเดินขึ้นบันไดเลื่อน-ที่ต้องเดินเพราะระบบสายพานมันเสียไปนานแล้ว-ขึ้นมาอยู่บนชั้นสองเท่าที่คุณจะเห็นก็คือเกรียนกางเกงขาสั้นหลากสีทั้ง ดำ กากี และน้ำเงิน กำลังยืนสูบบุหรี่กันอยู่เป็นกลุ่มๆ เมื่อคุณเดินผ่านม่านควันเหล่านั้นออกมาได้จะเจอกับสถานเรียนพิเศษหลากหลายรูปแบบที่รับสอนตั้งแต่ประถมถึงอุดมศึกษา เลี้ยวซ้ายออกไปจะเจอกับตู้กระจกที่ข้างในตกแต่งอย่างหรูด้วยแสงนวล โซฟา พรมแดง และแอร์เย็นเฉียบ พนักงานสาวสวยต้อนรับด้วยรอยยิ้มที่น่าประทับใจ สอบถามเราว่าเรากำลังเรียนอยู่ที่ไหน เทอมที่แล้วได้เกรดเท่าไร และต้องการจะอัพคะแนนตัวไหนเป็นพิเศษ ผมและเพื่อนบอกเจตจำนงของพวกเราเรียบร้อย พนักงานคีย์ข้อมูลเข้าไปในคอมพิวเตอร์ เรารอการประมวลผลเพียงไม่กี่วินาทีจึงได้คำตอบว่า


“น้องๆควรเรียนคอส B นะคะ” พนักงานสาวสวยบอกผม


“ครับ” ผมตอบ มองไปยังหน้าจอที่บอกว่าผมควรจะเรียนวิชาอะไรบ้างและเวลาไหน ผมมองไล่ตามตารางลงมาจนเห็นตัวเลขที่เป็นค่าเล่าเรียนพิเศษนี้ 25000 คุณดูไม่ผิดหรอกครับ สองหมื่นห้าพันบาทถ้วน ผมสบถในใจ What a Fuck! เป็นไปได้ไงที่ค่าเรียนพิเศษจะแพงกว่าค่าเทอมเกือบสองเท่า ผมพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วนับเลขในใจเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ตัวเอง โอเคครับ... เงินทองเป็นของนอกกาย ผมคงต้องใช้ตังเก็บตัวเองที่ร่อยหรอไปทุกวันเพื่อการนี้ ค่าเรียนอย่างนี้ผมไม่กล้าขอพ่อแม่หรอกครับ ถ้าผมไปบอกท่านว่าผมจะเรียนพิเศษคงโดนพวกท่านตบกะโหลกเป็นการสั่งสอนอย่างแน่นอน...


“จะจ่ายเป็นเงินสดหรือบัตรเครดิตคะ” เธอถาม ริมฝีปากเล็กๆนั่นยิ้มโชว์ฟันขาวสะอาด


เธอน่ารักจนผมเกือบจะตอบว่าจ่ายเป็นตัวผมแทนได้หรือเปล่า... ส่วนตัวผมแล้วไม่เคยใช้บัตรเครดิตและไม่มีบัตรประเภทนี้ด้วย ไม่ใช่ว่าผมจะรังเกียจอะไรมันหรอกนะครับ ผมก็เคยถามแม่ไปแล้วแต่แม่บอกว่ามันไม่จำเป็นและไม่ยอมทำบัตรเสริมให้ผม ผมก็คิดว่าท่านน่าจะคิดถูก ขืนคนอย่างผมได้ถือบัตรเครดิตไว้กับมือนี่วงศ์ตระกูลคงจะล่มจมแน่ๆ ผมไม่ใช่คนที่ชอบช้อปปิ้งเท่าไรนะครับ แต่ถ้าหน้ามืดอยากได้อะไรขึ้นมาก็ไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลังเท่าไร คงรูดปื๊ดรูดปื๊ดจนพ่อแม่เสียเครดิตแน่นอน


“บัตรเครดิตครับ” ไอ้เอกตอบด้วยรอยยิ้มที่ดูมีเลสนัยสุดๆ ผมไม่ได้มองเพื่อนในแง่ร้ายนะครับ แต่ด้วยท่าทางของมันค่อนข้างจะฟ้องว่ามันโชว์รวยเพื่อให้พนักงานสาวสวยที่อยู่ตรงหน้านี้ประทับใจ แน่นอนครับ... คนเราชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไป “เดี๋ยวมึงค่อยคืนกูละกัน” มันกระซิบบอกผม


“เออ แล้วแต่มึง” ผมตอบ


เอาเถอะครับ... ถึงแม้การเรียนพิเศษอย่างนี้มันจะมีข้อเสียมากมาย อย่างแรกคือการยอมรับระบบโดยสมบูรณ์ เงินก็หายไปหลายหมื่น เวลาที่จะเอาไปอ่านนิยายในห้องสมุดก็หายไปด้วย แต่ข้อดีของมันก็มีเยอะเหมือนกันตรงที่สาวๆครับ เพราะที่เรียนพิเศษแห่งนี้ไม่ได้สอนเฉพาะวิชาของวิศวะแต่ยังสอนวิชาของพานิชยศาสตร์และการบัญชีอีกด้วย และก็อย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่าสาวบัญชีนี่สุดยอดแล้วครับ แต่ละคนที่เดินผ่านหน้าผมไปก็ขาว สวย หมวย เอ็กซ์ เร้าใจเป็นที่สุด ผมรู้สึกว่าชุดนักศึกษาหญิงเป็นยูนิฟอร์มที่มีเสน่ห์ดึงดูดที่สุดแล้วเท่าที่เคยเห็นมา ทั้งชุดนางพยาบาล ข้าราชกาล หรู หรือแม้แต่พนักงานต้อนรับหรือยูนิฟอร์มของพวกพริตตี้ก้ยังสู้เครื่องแบบนักศึกษาไม่ได้ โดยเฉพาะสาวๆผิวขาวใสขาสวยก็ต้องคู่กับเสื้อรัดรูป กระโปรงสั้นเอวต่ำ ผมนั่งมองขาของพวกหล่อนที่ก้าวไปอย่างพร้อมเพรียงให้เพลินตา ก่อนที่จะรู้สึกถึงการสั่นสะเทือนของมือถือในกระเป๋ากางเกง


“อยู่ไหนจ้ะ” เธอถาม


“กลับหอแล้ว” ผมตอบอูฐ ผมไม่ได้บอกเธอหรอกครับว่าผมจะเรียนพิเศษ เหตุผลง่ายๆ เพราะไม่มีใครอยากให้คนที่เรารักคิดว่าเราโง่หรอก “เธอล่ะ” ผมถามกลับ


“อยู่แถวสยามจ้ะ” เธอตอบ


ความสัมพันธ์ของผมกับอูฐในตอนนี้อยู่ในช่วงที่ว่าเรื่อยๆแต่มีความสุขครับ เราจะพบกันก็ต่อเมื่อว่างจะพบ บางทีเธอก็จะขอคำปรึกษา ขอกำลังใจ บางทีเราก็คุยกันเพราะว่าเธอต้องการระบายเรื่องราวในชีวิตที่อัดอั้นและต้องการบอกให้ใครสักคนที่ไว้ใจได้และโชคดีที่ผมคือคนคนนั้น ถึงผมจะไม่ซื่อสัตย์ต่อเธอ ผมอาจจะไปเรื่อยกับผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่มันก็แค่คนที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนผมก็พร้อมที่จะอยู่ตรงนั้นเพื่อเธอเสมอ เพราะเธอคือคนที่ผมรัก หญิงสาวผู้มีจิตวิญญาณเชื่อมโยงผูกพันธ์กับผม บ่อยครั้งที่เราร้องเพลงในใจเป็นเพลงๆเดียวกัน เพียงมองหน้าเท่านั้นเธอก็รู้ว่าผมอยู่ในอารมณ์ไหน ช่วงเวลาไหนควรจะคุยเรื่องอะไร และบางเวลาบทสนทนาของเราก็ลงลึกไปจนถึงรากเหง้าที่ก่อขึ้นมาเป็นตัวตนของพวกเรา ช่วยกันค้นหาว่าอะไรที่ดึงดูดเราเข้าด้วยกัน แต่น้อยครั้งครับที่เธอจะโทรมาอย่างไม่มีเหตุผลแบบนี้ และนั้นทำให้ผมสงสัยจนต้องตั้งคำถามออกไป 


“อยู่กับเพื่อนหรอ” ผมถาม เธอตอบว่าใช่


“แล้วทำอะไรอยู่” ผมถามต่อ เธอบอกว่ากำลังเดินอยู่ในจะหาข้าวกิน


ผมบอกตามตรงนะครับว่าเธอไม่น่าโทรมาหาผมเลย ถ้าผู้หญิงมีสัญชาตญาณของผู้หญิง ผมว่าผู้ชายเองก็มีเช่นกัน ผมเองก็ใช่ว่าจะมีเธอเป็นคนแรกเมื่อไร ผมคุ้นเคยกับการโกหกมากซะจนรู้ว่ามีอะไรอยู่หลังน้ำเสียงที่พยายามกลบเกลื่อนความกังวลของเธอ ผมเองก็ไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ ผมต้องการอะไรที่มันตรงๆง่ายๆมากกว่าที่จะต้องมาคอยสงสัยระแวงกันบ้าบออย่างนี้ มีอย่างที่ไหน หอผมก็ไม่ได้ไกลจากสยามเท่าไรแล้วถ้าเธอจะโทรหาผมทำไมถ้าไม่ได้อยากจะเจอ เหตุผลมีเพียงอย่างเดียวคือเธอโทรมาเช็กเพราะกลัวผมจะอยู่แถวนี้แล้วดันไปเห็นอะไรที่ไม่ควรจะเห็นเข้า ผมเริ่มอารมณ์เสียแล้วครับ เมื่อผมอารมณ์เสียน้ำเสียงก็จะเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวจนเธอน่าจะจับความรู้สึกในคำพูดของผมได้


“อูฐ” ผมเรียกเธอ “เราถามจริงๆนะ เธออยู่กับใคร”


“แฟนเก่า”


เหมือนมีแผ่นดินไหวที่สั่นสะเทือนให้สติพังทลายลง เหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่กั้นผมระหว่างความจริงกับความบ้าคลั่งได้ขาดลง คุณเคยโกรธอะไรจนปวดหัวไหมครับ ปวดจนกะโหลกแทบจะระเบิดออกมาเป็นชิ้นๆด้วยความหึงหวง


“เธออยู่ไหน ผมตะคอกใส่โทรศัพท์


 






Free TextEditor


Create Date : 31 ตุลาคม 2552
Last Update : 31 ตุลาคม 2552 17:26:32 น. 0 comments
Counter : 481 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Chud S.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Chud S.'s blog to your web]