life sucks
<<
พฤศจิกายน 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
7 พฤศจิกายน 2552

XXXแหกคอกมหาลัยXXX38XXX



เธอเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ “หายไปนานเลยนะ”


“ช่วงนี้เราเรียนที่กรุงเทพ” ผมบอกเธอ “ก็เลยโทรมาทักทาย”


“เรียนที่ไหนหรอ” เธอถามต่อ ผมเข้าใจทุกอารมณ์ที่ส่งผ่านน้ำเสียงของเธอ ผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเธอโดยเฉพาะเสียง เสียงที่ผมเคยหลงรักและบัดนี้เธอทำลังใช้มันสื่อความรู้สึกทั้งหมดทั้งปวงนั้นมาถึงผม แผ่วเบา... แต่เปี่ยมล้นด้วยอารมณ์ ผมน้ำตาคลอ


“วิศวะXXX” ผมตอบเธอ


“เก่งจังเลยนะ” เธอชม “เรารู้มานานแล้ว ว่าชัดเป็นคนเก่ง”


“ไม่หรอก” ผมบอกเธอ “แล้วตอนนี้เจนทำอะไรอยู่” ผมถามกลับบ้าง


“เรียนอยู่” เธอตอบ


“แล้วยังร้องเพลงอยู่หรือเปล่า” ผมถามต่อ


“อืม...”


เราคุยกันหนึ่งชั่วโมงตั้งแต่สองทุ่มครึ่งถึงสามทุ่มครึ่ง แต่น่าแปลก... เพราะเหมือนเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น 


        ผมไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นคนโลเลเลยแม้แต่น้อยจนกระทั่งบัดนี้ ช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งหมดทำให้ผมมองเห็นอะไรบ้างงั้นหรือ? ผมกำลังเดินเล่นไปคุยโทรศัพท์ไป อยู่ในสยาม เหมือนคนบ้า ผมรู้ครับว่าคนอื่นกำลังมองผมอย่างไรเพราะผมก็มองคนที่เดินไปคุยไปคนเดียวเช่นนี้เหมือนกัน ผมกำลังใช้ Bluetooth เพื่อไม่ให้เมื่อยมือ เมื่อยคอ แต่ผลลัพท์ที่มันออกมาทำให้ผมดูเหมือนคนไม่เต็มบาทด้วยการพูดคุยกับตัวเอง ผมยังคงเดินไปเรื่อยๆ ผ่านร้านเบเกอรี่ ร้านอาหาร ร้านขายเสื้อผ้านับร้อย ผ่านพนักงานห้างที่กำลังรอรถเมล์กลับบ้าน ผ่านเด็กๆที่ยังคงเลือกซื้อของกระจุกกระจิกแบกะดินอยู่ข้างถนน การจราจรติดขัด ผมหัวเราะแข่งกับเสียงแตรรถ บทสนทนายามหัวค่ำของเรานั้นสนุกสนานและทำให้ผมคิดถึงเธอได้อย่างไม่น่าเชื่อ...  


ช่วงเวลาที่ผมกับเจนไม่ได้คุยกันมานานเกือบสองปีแทนที่มันจะทำให้เรากลายเป็นเสมือนคนแปลกน่าที่ไม่มีเรื่องราวจะคุย แต่เท่าที่ปรากฎในเวลานี้... น่าแปลกที่ช่วงเวลาที่เราไม่ได้เจอกันไม่ได้ทำให้เราเปลี่ยนไปเลย บทสนทนาของเราพาเราจมดึ่งเข้าไปปลุกเรื่องราวเก่าๆให้กลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้ง เสียงของเธอทำให้บางสิ่งบางอย่างที่เคยตายไปแล้วในตัวผมกลับฟื้นขึ้นมา ผมอยู่ในสยาม กรุงเทพฯแออัด รถติด ผู้คนมากมายที่ต้องอดทนอยู่กับการรอคอยอะไรสักอย่าง เบียดเสียดจนแทบจะไร้ช่องทางหายใจ แต่ทุกสิ่งที่แวดล้อมผมเหล่านั้นกลับแปรสภาพไปด้วยอานุภาพแห่งการพูดคุย พลังแห่งจินตนาการอันสดใสที่เปลี่ยนให้ถนนอันพลุกพล่านที่ลายล้อมด้วยกำแพงคอนกรีตแห่งตึกแถวและห้างสรรพสินค้ากลายเป็นทางลาดยาง สองข้างทางเขียวสดด้วยสีของใบไม้ อ่อนแก่สลับกันเป็นดั่งม่านธรรมชาติให้แสงเล็ดลอดออกมาวิบวับราวกับหมู่ดาวยามกลางวัน บนถนนทุกสายของเชียงใหม่ที่ผมและเจนเคยเหยียบย่ำลงไป ทั้งที่ชุ่มฉ่ำและแห้งแล้ง อ่างเก็บน้ำยามเย็นที่สะท้อนภาพของภูเขาเบื้องหน้าได้ชัดเจนราวกับกระจกเงาบานใหญ่ที่สุด ทุกสิ่งที่ล้อมรอบผมกลายเป็นสีเขียวของใบไม้ ความชุ่มฉ่ำที่หลงเหลือเป็นหยดน้ำบนยอดหญ้าหลังฝนโปรย เราสองคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น บนสันเขื่อน เฝ้ามองดวงอาทิตย์หายลับไปหลังภูเขา หายไปยังอีกด้านหนึ่งของโลกที่สองเราอยู่และใช้เวลาทุกวินาทีเพื่อความรักที่ร้อนแรงยิ่งกว่าแสงจากดวงอาทิตย์


“เราจะเจอกันเมื่อไรดี” ผมถามเธอก่อนที่ความคิดถึงจะท่วมปอด


“พรุ่งนี้ดีไหม วันฮาโลวีน ชัดจะได้ไปดูเราร้องเพลง” เธอเสนอ


นี่ละครับคือสิ่งที่เห็นได้ชัดแจ้งในความหมายที่ผมบอกเอาไว้ว่า ผมไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นคนโลเลเลยแม้แต่น้อยจนกระทั่งบัดนี้ สาเหตุเนื่องจากผมได้ตอบตกลงกับเจนไปด้วยความรู้สึกที่แทบจะรอให้ถึงพรุ่งนี้ไม่ไหว...


ผมกดวางโทรศัพท์ไปด้วยความรู้สึกผิดแต่เปี่ยมด้วยความสุข มันคงมีแต่พญามาร ปีศาจ และความเลวร้ายที่มีอยู่ทั่วโลกเท่านั้นละครับ ที่ใช้ร่างกายผมเป็นสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณอันชั่วร้ายของพวกมัน ผมยังรักและอยู่ในความสัมพันธ์กับอูฐ แต่ผมกลับเพลิดเพลินอยู่กับความสุขที่หลุดออกมาจากประตูแห่งอดีตที่ผมเป็นคนปลดล็อกมันเองกับมือ บางทีอาจจะเป็นการตัดสินใจอันผิดพลาดของผม แต่เราจะไปรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดของชีวิตจนกว่าจะถึงเวลาที่มันแสดงตัวออกมา มันอาจจะเป็นเจตจำนงอันยิ่งใหญ่แห่งธรรมชาติที่ทำให้ผมได้พบอูฐ ได้พบรักใหม่ เพื่อ... เพื่อที่ผมจะได้มีโอกาสกลับไปคุยกับเจนอีก เพราะถ้าผมยังยึดติดกับสิ่งเดิมๆอยู่ก็ไม่มีทางเสียหรอกที่ผมจะได้คุยกับเจนอีกครั้ง หรือที่ผมคิดทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียงการหาเหตุผลให้ตัวเอง เป็นข้อแก้ตัวที่ทำให้ผมจะได้ไม่รู้สึกผิดในสิ่งที่จะทำต่อไปจากนี้ โอ้... ผมเดาว่ามันคงเป็นแค่การแถไปเรื่อยๆตามความต้องการของตนเองอย่างน่าทุเรศ


ตอนนี้ผมกำลังเดินกลับหอ จะว่าไปแล้วหอผมก็ไม่ได้ไกลสักเท่าไร... ผมเดินข้ามสะพานลอย ให้เงินขอทานแก่ที่เหลือขาเพียงข้างเดียว ปกติผมเป็นคนที่ไม่ได้มีจิตกุศลขนาดนั้นหรอกครับ ผมบอกได้เลยว่าผมไม่เชื่อในบุญบาป การให้เงินขอทานก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอิ่มบุญอะไรขึ้นมา แต่วันนี้ผมมีความสุขและอยากจะแบ่งความสุขให้เพื่อนร่วมโลกได้เท่าที่โอกาสจะอำนวย เหรียญเงินตกลงไปในกระป๋องแกเป็นเงินยี่สิบบาท แต่แกก็ยังคงนอนไม่รู้เรื่องอยู่ตรงนั้น ผมเดินผ่านไปแล้วและก็หวังให้แกดูแลกระป๋องเงินของตัวเอง เพราะในโลกนี้ยังมีคนจนอีกมากที่หิวกระหายมากพอที่จะขโมยได้แม้กระทั่งเงินทำทาน ผมเดินไปเรื่อยๆเพื่อกลับไปยังหอ ควันรถเหม็นจนแสบจมูก สมองนั้นได้แต่ครุ่นคิดเปรียบเทียบภาพของผู้หญิงสองคน อูฐเป็นเรื่องของปัจจุบันส่วนเจนเป็นสุดยอดประสบการณ์ที่หัวขโมยที่เก่งที่สุดในโลกก็ไม่สามารถแย่งเอาไปจากผมได้


อย่าเพิ่งหาว่าผมบ้านะครับ แต่ทันใดนั้น ณ จุดที่ผมรู้สึกว่าตนเองฟุ้งซ่านเกินไปแล้วผมก็ตบหน้าตัวเอง ดังฉาด! กลางถนน ผู้คนที่เดินไปมา นักศึกษา คนทำงาน ต่างจ้องมองผมราวกับผมเพิ่งหลุดออกมาจากสวนสัตว์ แต่วันนี้ผมทำอะไรบ้าๆมาเยอะแล้ว ไม่มีอะไรให้เสียแล้ว... ผมตบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติของผมให้กลับคืนมา เพราะผมเป็นคนประเภทที่มักจะหลงไปกับอะไรได้ง่ายๆ ชอบคิดและฝันละเมอไปเอง ผมเพิ่งคุยกับเจน มันเป็นบทสนทนาที่ดีก็จริงแต่มันก็ไม่ได้จะหมายความถึงอะไรเลย หลังจากที่ไม่ได้เจอกันสองปีจะหวังให้เธอเป็นเหมือนเดิมทันทีในการคุยครั้งแรกงั้นหรือ? ผมตอบตัวเองได้เลยว่า เพ้อเจ้อ... เพ้อเจ้อสิ้นดีที่ผมคิดจะไปหลงละเมอกับภาพเก่าๆราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นมาสองวันแทนที่จะเป็นสองปี เจนมีแฟนใหม่ไปแล้วและตอนนี้อาจจะอยู่กับแฟนก็ได้ เธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เธอต้องไม่ใช่คนคนเดียวกับหญิงสาวขี้อายที่พยายามกลบปมด้อยของตนเองด้วยการใส่ส้นสูงและแต่งหน้าเข้มๆเหมือนเดิมอีกต่อไป เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน อาจจะเป็นอะไรก็ได้ที่เกิดขึ้นพรุ่งนี้ เธอไปร้องเพลง แนะนำแฟนใหม่ให้ผมรู้จัก เราอาจจะคุยกันอีกสองสามคำและสุดท้ายก็ต้องจากกันด้วยดี การพูดคุยดีๆในวันนี้อาจจะเป็นเพียงแรงสะท้อนเฮือกสุดท้ายของอดีตอันแสนหวาน เท่าที่ผมต้องทำคือ ทำใจให้พร้อมที่จะประสบกับทุกสิ่งโดยไม่ต้องคาดหวังอะไรทั้งนั้น


อย่างน้อย... การที่ได้คุยกับเจนก็ทำให้ดีกรีความหึงหวงของผมลดลง เหมือนมีแรงจากด้านตรงข้ามมากระทำให้ผมสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น ความรู้สึกต่อเจนช่วยให้ผมกระจายความรักที่เคยกระจุกเป็นจุดเดียว ความรักที่เคยรวมศูนย์อยู่ที่อูฐได้ถูกแบ่งเบาภาระโดยความรู้สึกที่ถูกจัดระเบียบใหม่ มันเป็นเพียงกระบวนการในการปรับสมดุลของตัวเอง ถึงมันจะฟังดูไม่โรแมนติกเอาซะเลย... แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าสิ่งนี้ก็เป็นดั่งภูมิปัญญาชาวบ้าน เป็น Know How ที่พัฒนาขึ้นบนฐานความคิดของตัวเองเพื่อให้ตนเองมีความสุข เป็นสมดุลแห่งความสุขที่เราจะได้จากเพศตรงข้าม ซึ่งผมต้องการจะอธิบายถึงมันในหลักการเอาไว้สักเล็กน้อย ในแง่มุมของชายหนุ่ม เคยเป็นไหมครับ... เวลาคุณชอบใครจริงๆสักคน การจะจีบสาวคนนั้นมันช่างเป็นเรื่องยากเย็นและความสำเร็จก็ถูกบีบลงจนแทบจะติดลบ แต่เวลาคุณเล่นๆกับสาวคนไหนความสัมพันธ์กลับกลายเป็นสิ่งที่ง่ายดายจนแทบไม่น่าเชื่อ ผมลองวิเคราะห์เรื่องนี้ในหลากหลายแง่มุมจนสรุปได้คร่าวๆกับตัวเองว่าเรื่องนี้เราต้องมองมันในแง่ของคุณค่า


ตัวอย่างง่ายๆของการที่เราไปรักใครสักคนจนลืมรักตัวเองนั่นคือหมูน้อย คุณจำเธอได้ไหมครับ? สาวน้อยที่ยอมทำทุกอย่างแม้แต่ขายตัวเพื่อแฟน ความรักแบบสุดโต่งของเธอรวมทั้งสิ่งที่เธอทำทั้งหมดนั่นเองเป็นสิ่งที่ทำให้เธอไร้ค่าในสายตาแฟน สำหรับผม... การที่จะอยู่ในความสัมพันธ์กับอูฐในปัจจุบันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทุกสิ่งต้องอยู่ในวินัย ถึงจะอยากโทรไปสักเพียงใด อยากจะบอกรักเธอสักเพียงใด แต่ทุกอย่างนั้นก็ต้องเก็บเอาไว้ในใจ เพราะบางทีการที่เธอรู้ว่าเราสนใจมากเท่าไร คุณค่าของเรากับเธอก็ยิ่งลดลง ทุกอย่างถูกลดคุณค่าเป็นเพียงเกมส์ ถึงจะไม่เร้าใจเท่าแต่ก็สร้างความสุขโดยปราศจากความทุกข์ทรมานเหมือนความรักที่บาลานซ์ความรักตัวเองกับการรักผู้อื่นได้อย่างพอดี


ผมนั่งอยู่ในม้านั่งสาธารณะข้างถนน ข้างๆนั้นเป็นชายจรจัดที่กำลังใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ห่อตัวแทนผ้าห่ม ผมนั่งคิดในความมืดที่เหลือเพียงแสงสว่างจากไฟถนน และไฟหน้ารถที่วิ่งผ่านไป ดวงไฟที่ไร้ชีวิต ยิ่งผมคิดมากขึ้นเท่าไรผมก็ยิ่งเห็นคุณค่าของเจน สิ่งที่เธอสามารถให้ผมได้อย่างที่ไม่มีสิ่งใดสามารถแทนที่ได้ นั่นคือความรักที่โง่เง่าแต่ร้อนแรงจนแทบจะเผาเสื้อผ้าของเราให้เหลือแต่ผิวสัมผัสแก่กันอันเปลือยเปล่าจนแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียว ความรักอันบ้าคลั่งที่หลอมละลายให้ผมเป็นหนึ่งเดียวกับเธอ เธอรักผมและผมก็รักเธอเช่นกัน เราสามารถบอกรักกันได้ทุกนาทีและนอนกอดกันเฉยๆได้เป็นวันๆโดยไม่เบื่อ เราเคยเป็นเหมือนสิ่งที่พระเจ้าสร้างมาให้คู่กัน ลิ้นของเราเกี่ยวพันกันและน้ำลายของเธอก็ช่างหวานเหลือเกินเมื่อมันอยู่ในปากผม โอ้...เจน ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าอะไรที่ดลให้ผมเป็นคนที่ทำอะไรตามอารมณ์ได้ขนาดนี้... พ่อแม่ของผมก็เป็นนักวิชาการสายวิทยาศาสตร์ทั้งคู่ ผมเคยคิดเล่นๆเหมือนกันว่าบางทีผมอาจจะเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง แต่พอดูกระจกแล้ว นี่ก็ตาของแม่ นี่ก็จมูกของพ่อ และนี่ก็ปากของแม่ คือหน้าตาของผมนั้นมันบ่งบอกถึงกรรมพันธุ์ที่ไม่มีทางจะผิดเพี้ยนไปได้ ผมนั่งอยู่ตรงนี้แต่จิตใจนั้นล่องลอยไปไกลแสนไกล จนกระทั่งชายจรจัดที่นอนข้างๆเกิดกรนเสียงดังขึ้นมาเท่านั้นละ ที่ทำให้ผมลุกขึ้นและลอยกลับหอด้วยสองขาที่กำลังแกว่งไกวอยู่ในสภาวะแห่งความเพ้อฝันอันไร้น้ำหนัก ผมกำลังทำอะไรอยู่ ผมอยู่ที่ไหนแล้ว บนดวงจันทร์ บนดาวอังคาร ขณะที่ผมกำลังเพ้อเจ้อถึงขีดสุดอยู่นั่นเอง ก็มีเสียงแตกซ่าของโทรโข่งที่ดังขึ้นมาตามห้อง


“เรียกประชุมนักศึกษาปีหนึ่งทุกคนที่โถงล่าง


อ๋อ... สรุปนี่คือผมกำลังนั่งอยู่ในหอ เพื่อนๆลงไปอยู่ข้างล่างกันหมดแล้ว เหลือแต่ผมที่ค่อยๆลอยลงไปจนถูกตวาดโดยรุ่นพี่คนหนึ่ง


“รีบๆวิ่งเซ่! อย่าให้เพื่อนรอ”


เมื่อนั้นละครับ ที่ผมรู้สึกถึงน้ำหนักของสองขาตัวเอง ยิ้มแหยๆให้กับรุ่นพี่ที่หน้าตาขมึงทึง แล้วจึงรีบวิ่งลงไปรวมกับฝูงปีหนึ่ง  


 


 






Free TextEditor


Create Date : 07 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2552 23:41:29 น. 0 comments
Counter : 360 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Chud S.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Chud S.'s blog to your web]