life sucks
 
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
26 กันยายน 2552

XXXแหกคอกมหาลัยXXX2XXX

มันเป็นหอพักเก่าแก่สีเทาดำตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางตึกสวยงามใจกลางกรุง มันมีสีเทาธรรมชาติเพราะไม่ได้ทาสี ภายนอกโชว์คอนกรีตเปลือย กระดำกระด่างเพราะคราบมลพิษที่สะสมมานานเกือบศตวรรษ ผมย้ายเขามาอยู่ในหอนี้ได้เกือบสองอาทิตย์แล้ว มันอาจจะเป็นเวลานิดเดียวสำหรับการหาความรู้ แต่มันเป็นเวลานานพอที่จะรู้ว่าในหอพักชายแห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยแรด กระซู่ และกรูปี จากการดูทรงแล้วสองในสามของรูมเมทผมเป็นเพศทางเลือก ส่วนอีกคนยังเป็นพวก US (unidentified sex) สรุปแล้วสมาชิกในห้องเล็กๆนี้มีทั้งหมดสี่คน (รวมผม) ซึ่งเป็นส่วนผสมที่แปลกประหลาด เตียงตรงข้ามกับผมเป็นกระเทยควายตุ้งติ้งตัวใหญ่ผมหยิกดำมีขนแขนมากพอที่จะใช้ดักแมลงวันได้ เตียงข้างๆเป็นตุ๊ดผิวขาวตัวเล็กเรียบร้อยแบบกระเทยอนุรักษณ์วัฒนธรรม ส่วนอีกคนพอคุยกันรู้เรื่องหน่อยแต่สายตาที่มันมองผมแปลกๆยังไงก็ไม่รู้ชอบกล ทั้งสามสิ่งนี้ทำให้ผมนิยมที่จะอาศัยห้องเพื่อหลับนอนเท่านั้น ผมถึงบอกยังไงว่าห้องสมุดมีความสำคัญกับผมเพียงใด


บอกตามตรง ผมรู้สึกอัดอั้นเหมือนกันที่ต้องมาอยู่หอชายของมหาลัย ด้วยเหตุผลสำคัญคือกิจกรรมมากมายที่บางครั้งคุณจะถูกปลุกโดยเสียงนกหวีดเพื่อให้มาร่วมทำกิจกรรมกลางดึก ผมเกลียดกิจกรรม แต่ผมก็ไม่อาจออกไปอยู่หอนอกได้เพราะผมตกลงกับพ่อแม่ก่อนมาเรียนที่กรุงเทพฯแล้วว่าผมมีภารกิจที่จะต้องอยู่หอในเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งเทอม พ่อแม่ผมเป็นศิษเก่าของที่นี่ พวกเขาพบรักกันที่นี่ ที่สำคัญพวกเขามีคนรู้จักเป็นอาจารย์ดูแลหอ และพวกเขาก็ฝากฝังผมเอาไว้เรียบร้อยแล้วเพื่อให้แน่ใจว่าผมจะไม่หลงแสงสีของเมืองหลวง แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือเกือบสามสิบปีหลังจากที่พวกเขาจบไปแล้วคือหอนี้กลายเป็นที่สิ่งสถิตของเพศที่สาม เท่าที่กะด้วยสายตามันมีอัตราส่วนจำนวนไม่ใช่ผู้ชายต่อผู้ชายคิดเป็น 70/30 หรืออาจจะมากกว่านั้น (ในห้องของผมเป็นต้น) ถึงผมจะแน่ใจว่าที่นอนเก่าของพ่อถ้ามันยังอยู่มันก็คงโดนทับที่โดยกระเทยมากมาย ปัจจุบันผู้ชายกลายเป็นของหายากและเป็นสิ่งที่ต้องล่าเพื่อให้ได้มา แต่ผมจะไม่บอกพวกเขาหรอก ยังไงผมก็จะทนอยู่ต่อไปจนจบเพราะมันเป็นสัญญาลูกผู้ชาย


หอนี้มีทั้งหมด 13 ชั้น ดูตามตัวเลขที่ปรากฏในลิฟท์ ผมอยู่ชั้นสอง เด็กปีหนึ่งจะถูกจัดให้อยู่ชั้น 1-3 ยิ่งชั้นสูงๆจะถูกครอบครองโดยพวกปีสูงๆหรือเด็ก ป.โท โดยเฉพาะชั้น 11-13 นั้นได้ข่าวมาว่าเป็นอาณาจักรของกระเทยเลยทีเดียว ผมกำลังมองขึ้นไปบนยอดตึกระหว่างทางเดินกลับหอ ระยะทางระหว่างหอสมุดกับหอชายไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร เดินสบายๆรับอากาศเย็นๆยามค่ำคืน ต้นไม้ครึ้ม ทางเดินสะอาด ระหว่างทางเงียบกริบจะมีมอเตอร์ไซของยามวิ่งผ่านมาตรวจความเรียบร้อยนานๆครั้ง มองท้องฟ้า พระจันทร์แอบอยู่หลังก้อนเมฆบางๆกรองแสงให้นวลตา สาดส่องให้เห็นเงาตะคุ่มๆในสวนข้างๆห้องสมุด ถ้าตาของผมไม่ฝาดผมเห็นชายหนุ่มจับคู่นั่งกันอยู่หลายคู่ ปกติแล้วผมมักจะเดินทอดน่องรับอากาศบริสุทธ์ยามค่ำคืน แต่เมื่อเห็นอย่างนี้เข้าผมจำต้องจ้ำก้าวให้ผ่านไปโดยเร็ว ผมไม่ได้รังเกียจนะครับ... แค่เกรงใจ


ความจริงก่อนเข้าหอตอนที่ตรวจดูตามรายชื่อแล้วจะเห็นได้ว่ามีเด็กปีหนึ่งวิศวฯอยู่ในหอชายเยอะพอควร แต่ทำไมพอเดินไปไหนมาไหนจึงเจอแต่กระเทย ผมตั้งสมมติฐานว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นไปตามกฏของแรงโน้มถ่วงทางเพศ เพราะภายหลังผมก็ย้ายออกไปอยู่กับเพื่อนวิศวะที่สนิทๆกันแล้วที่ว่างของผมก็คงจะเป็นเพศที่สามที่ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของเรื่องราวที่จะดึงดูดพวกหล่อนให้เข้ามาวิ๊ดว๊ายด้วยกัน คือตุ๊ดดูดตุ๊ดเข้ามา ส่วนผู้ชายที่ทนไม่ไหวก็ย้ายออกไป ดังนั้นเมื่ออยู่ปีสามปีสี่ที่หอชายแห่งนี้จึงแทบจะไม่เหลือผู้ชายอยู่เลย


อีกสมมุติฐานหนึ่งคือกฏแห่งความเร้าใจ เด็กที่จะเอนท์เข้าที่นี่ได้ส่วนใหญ่เป็นเด็กเก่ง เป็นเด็กที่เรียน ม ปลายในกรุงเทพ เป็นเด็กกวดวิชามาหนักพอสมควร ส่วนเด็กต่างจังหวัดจริงๆที่เข้ามาได้จะมีชีวิตอีกแบบ ตามทัศนะคติของหนุ่มบ้านนอกอย่างผมนั้นการเป็นเด็กเรียนนี่มันไม่แมนเลย หนุ่มๆบ้านนอกอย่างผมมักจะเอาเวลาที่ใช้เรียนส่วนใหญ่ไปเล่นบอล ตีสนุ๊ก ดูดบุหรี่ ซิ่งมอเตอร์ไซ ไร้สาระแต่เร้าใจไปตามประสาชายหนุ่มห่ามๆเพื่อนเด็กๆที่เกเรมาด้วยกันมาตั้งแต่ประถมส่วนใหญ่พอจบ ปวส ก็ทำงานแต่งเมียกันหมดแล้ว เรื่องเรียนเป็นเรื่องของเด็กผู้หญิง กระเทย และเด็กเนิร์ดเท่านั้นละ ผมไม่รู้ว่าคุณจะเห็นด้วยกับผมหรือไม่ แต่นี่คือเหตุผลที่ผมให้คำตอบกับสิ่งที่ผมเห็น ก็เท่านั้นเอง


ผมแลกบัตรแล้วจึงเดินเข้าหอ ภายในหอค่อนข้างจะดูสะอาดกว่าข้างนอก ด้วยการปูกระเบื้องและสีที่ไม่ต้องตั้งใจดมก็รู้ว่าเพิ่งทาใหม่ ผมต้องเดินขึ้นชั้นสองเพราะตามกฏเด็กปีหนึ่งห้ามใช้ลิฟท์และมีข้อห้ามต่างๆอีกมากมาย เช่นห้ามกลับหลังเที่ยงคืน ห้ามเถียงรุ่นพี่ ฯลฯ ประเทศเราปลูกฝังเรื่องสถาบันอำนาจกันมากทีเดียว จนบางครั้งผมรู้สึกว่าระบบ SOTUS มันน่าจะมาพวกทหารนาซีเยอรมันหรือหน่วยกามิกาเซ่ของญี่ปุ่น ประมาณว่าผู้นำจะได้มีอำนาจส่งทหารไปตายได้ง่ายๆอย่างไรอย่างนั้น เมื่อผมจบแล้วมองกลับไปจึงเห็นได้ชัดเจนว่าระบบการศึกษาบ้านเรายังไม่ได้เน้น critical thinking ดังนั้นประชาธิปไตยแบบไทยๆจึงยังห่างไกลจากประชาธิปไตยของประเทศพัฒนาแล้วอยู่มาก


วันนี้ผมเหนื่อยมาก ผมเข้าเรียนตอนเช้าแล้วตอนบ่ายก็ขลุกอยู่ในห้องสมุดอ่านมูราคามิทั้งบ่าย อ่าน Norwegian wood ความหนาเกือบสามร้อยหน้าแบบรวดเดียวจบ คือมันสนุกอะครับ แล้วประสบการณ์ของโทรุพระเอกในเรื่องยังคล้ายๆกับประสบการณ์ของผมในตอนนี้ คือความรู้สึกเหมือนเป็นคนนอกในมหาลัย ถึงนิยายมันจะสนุกแต่การอ่านนานๆก็ทำให้เหนื่อยได้ง่าย ด้วยการเพ่งหนังสือทั้งวันทำให้ผมปวดหัว เท่าที่ผมอยากจะทำตอนนี้คืออาบน้ำเย็นๆ สระผม แล้วก็เอนตัวลงนอน เท่านั้นละที่ผมต้องการ ผมเดินมาเรื่อยๆจนถึงหน้าห้อง ขณะไขกุญแจกำลังจะก้าวเข้าไปก็ต้องหยุดกึก เพราะในห้องผมมันกลายเป็นสวนสัตว์ไปแล้ว ใช่... มันคือวงนินทา กระเทยไม่ต่ำกว่าสิบคนอัดแน่นอยู่ในห้องผม นั่งบนเตียงผม ทั้งหมดส่งเสียงเจาะแจจอแจและหันมาจ้องหน้าผมอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เท่าที่ผมทำได้ในตอนนั้นคือแจกยิ้ม ปิดประตู แล้วออกไปสูบบุหรี่ ผมบอกแล้วนะครับ ผมไม่ได้เกลียดกระเทย แค่เกรงใจก็เท่านั้น


อันที่จริงผมก็ทำใจมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าการอยู่หอร่วมกับคนอื่นมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะขาดความเป็นส่วนตัวไปบ้าง แต่ไม่นึกว่ามันจะมากถึงขนาดนี้ ตอนนี้ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะไปที่ไหน นึกสภาพตัวเองตอนนี้ก็คงคล้ายๆกับคนไร้บ้านที่โดนเจ้าของที่ดินไล่ที่ รู้สึกเคว้งและไม่รู้จะวางตัวไว้ตรงไหนของสังคม ในที่สุดผมจึงนึกถึงที่พึ่งสุดท้าย เป็นเพื่อนวิศวะที่เพิ่งจะรู้จักกันไม่กี่วัน มันเป็นเด็กเรียนจ๋าแบบที่คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง มนุษย์หุ่นยนต์แบบถามคำตอบคำ มันอยู่แลปเคมีกลุ่มเดียวกับผม แถมยังเรียนอังกฤษห้องเดียวกัน มันชื่อวิศวะ ดูเหมือนมันจะไม่มีชื่อเล่น เพราะเพื่อนมันก็เรียกมันวิศวะ ตัวมันก็เรียกตัวเองว่าวิศวะ ผมเคยถามมันในโรงอาหารว่าพ่อแม่มันตั้งชื่อว่าวิศวะเพราะอยากให้เป็นวิศวกรหรือไง? มันไม่ตอบ ดูเหมือนมันไม่ใช่คนที่จะเข้ากับคนอื่นได้ง่ายนัก ผมเองก็ไม่ใช่ เพียงแค่ผมเห็นมันอยู่หอเดียวกันจึงอยากได้มันไว้เป็นพรรคพวกเอาไว้ช่วยเช็คชื่อ ขอลอกเล็กเช่อ ลอกการบ้านอะไรอย่างนี้บ้าง เพียงแต่ดูท่าทางมันไม่ค่อยอยากเป็นเพื่อนกับผมสักเท่าไร


ผมขึ้นไปชั้นสาม ห้องของมันอยู่ในปีกอีกด้านหนึ่งของชั้นสาม มองดูแสงใต้ประตู ยังมีคนอยู่ในห้อง ผมเคาะประตูสองครั้งกำลังจะเคาะครั้งที่สาม นั่นไง! กะไว้แล้ว... พ่อหนุ่มน้อยวิศวะของเราเปิดประตูออกมาพร้อมกับใบหน้าที่ค่อนข้างจะหงุดหงิด


“มีอะไรครับ ผมกำลังอ่านหนังสืออยู่” มันถามพร้อมกับบอกสิ่งที่มันทำอยู่ ในเชิงว่า มึงอย่าเพิ่งมายุ่งกะกูเลย


“เออ คือ...” คือแบบว่าคนที่ยังไม่ผ่านการละลายพฤติกรรมส่วนใหญ่ก็ยังเป็นคนแปลกหน้าที่ยังต้องคุยแบบคุณผมอยู่ ถึงแม้ไอ้วิศวะมันจะเป็นเด็กเรียนโคตรๆแต่นานไปก็จะเริ่มขึ้นกูมึงกันเอง


หลังจากที่ผมบรรยายสิ่งที่เกิดขึ้นกับห้องของผมให้เขาฟังทั้งเรื่องที่ผมเหนื่อย และห้องผมที่เต็มไปด้วยสารพัดสัตว์ เขาก็เปิดประตูให้ผมเข้าไป ในห้องเขามีเขาอยู่เพียงคนเดียว สงบเงียบและสะอาดเอามากๆ หลังจากที่เขาปล่อยให้ผมพล่ามความอัดอั้นคนเดียวราวสิบห้านาที เขาก็ยกมือบอกให้ผมหยุด เขาอธิบายว่าเขาเองก็เข้าใจผม และเพื่อนร่วมห้องที่เหลือของเขานั้นก็เป็นกระทิงทั้งหมด และนั่นทำให้เขาประสาทแดก เขาบอกผมว่าเขาเกลียดกระเทย และเพิ่งระเบิดพลังไล่กลุ่มที่มั่นนั่งคุยเสียงดังอยู่ในห้องจนเขาไม่มีสมาธิอ่านหนังสือไปข้างนอก เขาเกรงว่ากลุ่มที่เขาเพิ่งไล่ออกไปนั้นน่าจะไปรวมกลุ่มใหม่อยู่ในห้องของผมแทนเพื่อชดเชยเพื่อไม่ให้เป็นบุญบาปกันเขาจึงอนุญาตให้ผมอยู่ในห้อง นอนอยู่บนเตียงของเขา ขณะที่เขากำลังอ่านหนังสือทบทวนเนื้อหาที่เรียนมาทั้งวัน


ผมแอบมองที่โต๊ะเขาแล้วคิดในใจว่าอย่างนี้ล่ะที่เรียกว่าเด็กเรียนของจริง บนโต๊ะเต็มไปด้วยเท็กซ์อังกฤษเล่มหนาๆพร้อมพจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถานที่หนายิ่งกว่า สมุดจดที่อัดแน่นไปด้วยตัวหนังสือขยุกขยิกจนอ่านไม่ออก บอกได้เลยว่าเขาต้องเป็นคนแบบที่ตั้งใจฟังเลคเชอร์มากซะจนจดทุกคำพูดของอาจารย์ เขานั่งทำงานเก้าอี้ทำงานหนุนหลังด้วยหมอน ทำให้ผมต้องใช้กระเป๋าหนุนแทนหมอน ตอนนั้นเกือบห้าทุ่มแล้วและเมื่อทิ้งตัวลงนอนความรู้สึกอยากอาบน้ำในตอนแรกก็สลายไปสิ้น ผมได้ยินเสียงดินสอจดขยุกขยิกกับเสียงพลิกหน้ากระดาษผมนอนหลับไปและตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยเสียงโทรโข่ง


“น้องปีหนึ่งทุกคนขอให้ลงไปยังลานกิจกรรม น้องปีหนึ่งทุกคนขอให้ลงไปยังลานกิจกรรม...” มันเป็นเสียงโทรโข่งที่พูดซ้ำๆอยู่อย่างนั้น


ขณะที่ผมกำลังยันตัวขึ้นมา และหันไปหา ไอ้วิศวะก็ทำท่าบอกให้ผมเงียบ เขาลุกไปปิดไฟจนห้องมืดสนิท ล็อคประตูด้วยท่าทางที่ค่อนข้างจะลนลานทีเดียว


“อ้าว มึงก็ไม่ชอบกิจกรรมเหมือนกันหรอ” ผมกระซิบถามด้วยอารมณ์นึกสนุก


“ครับ” มันตอบ ขณะที่รุ่นพี่พากันเคาะประตูเรียกให้เปิด


คือผมว่าไอ้วิศวะนี่มันเก่งเรื่องเรียนก็จริง แต่มันเอาตัวรอดไม่ค่อยเก่งเท่าไร สิ่งที่มันทำพลาดอย่างแรกคือไม่ควรล็อกประตู เพราะมันจะทำให้ดูน่าสงสัย สอง... ดูท่าทางลนลานอย่างน่าสมเพชนั่นสิ


เสียงเคาะประตูรัวอยู่หลายนาทีสุดท้ายจึงมีเสียงตะคอกจากโทรโข่งดังลั่นเข้ามาในห้อง “นายวิศวะ สิทธิรม เลขประจำตัว 469076 ถ้าคุณไม่ออกมาเราจะตัดคะแนนความประพฤติ บอกอีกครั้ง ถ้าคุณยังไม่เปิดประตู เราจะตัด...”


ผมเป็นคนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดในตอนนั้นก็อดเศร้ากับเพื่อนใหม่คนนี้ไม่ได้ มันเป็นคนไม่มีความเนียนอะไรทั้งนั้น ผมเห็นมันกลั่นใจเปิดประตูออก รุ่นพี่สองคนหิ้วปีกมันออกไปข้างนอกพร้อมกับคู่ตะคอกต่างๆนาๆ ส่วนผมนั้นหรือก็เข้าไปซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว มองมันผ่านช่องแสงเล็กๆ พี่รุ่นพี่เข้ามาตรวจในห้องแต่ก็คงนึกไม่ถึงว่าจะมีคนซ่อนอยู่ในตู้ พวกเขาออกไปกันหมดแล้ว ไอ้วิศวะก็ไปแล้ว ไม่รู้ว่ามันจะโดนทำโทษอะไรบ้างหลังจากนั้น พวกรุ่นพี่นี่ก็พิเรนสิ้นดี บ่อยครั้งที่อำนาจทำให้คนนิสัยดีๆเปลี่ยนไปได้จากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะคนที่อยู่ในอำนาจแม้จะเล็กน้อยก็มักจะเพลิดเพลินกับอำนาจที่ใช้กันในคนหมู่มาก เป็นอำนาจที่รองรับด้วยอุดมการณ์จากรุ่นสู่รุ่น เป็นอำนาจที่อยู่ในตัวระบบโดยคนที่ใช้อำนาจไม่มีความรู้สึกจำเป็นต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป แน่นอนไอ้วิศวะท่าทางแหยๆน่ากลั่นแกล้งสุดๆ พวกพี่ๆอาจจะให้มันแก้ผ้าต่อหน้าผู้หญิง ฯลฯ เท่าที่จะเป็นไปได้ เหตุการณ์นี้ทำให้ผมนึกถึงการรับน้องแบบโหดๆ แบบที่เอาเหล็กร้อนๆไปตีตราตามร่างกาย หรือการเผาขนเพชร ระบบที่ออกแบบให้คนต้องค้อมหัวให้อำนาจอย่างนี้มันบ้าสิ้นดี


แน่นอนว่ากิจกรรมอย่างนี้ต้องมีการเช็คชื่อ และถ้าขาดกิจกรรมมากๆก็คงโดนไล่ออกจากหอ ซึ่งสำหรับผมแล้ว ผมไม่กลัวเลย เพราะถ้าโดนไล่ออกจากหอผมก็จะได้ข้ออ้างไปเช่าหอนอกอยู่อย่างสันติ แต่สำหรับบางคนอย่างไอ้วิศวะนี้มันคงมีความจำเป็นที่ต้องอยู่หอต่อไป ต้องโดนกิจกรรมทรมานถึงแม้จะเกลียดกิจกรรมแค่ไหน บางคนที่งบน้อยก็ไม่มีทางเลือกนักหรอก แต่ผมก็ภูมิใจในตัวมันนะ เพราะอย่างน้อยมันก็ได้ต่อต้านจนสุดกำลังแล้ว แต่สำหรับรุ่นพี่ไอ้วิศวะมันคงเป็นไก่อย่างดีที่จะต้องถูกเชือดให้ลิงดู


ส่วนผมนะหรือ ผมคงไม่นั่งคุดคู้อยู่ในตู้อย่างนี้ไปนานนักหรอก ผมเป็นนักกีฬาที่ค่อนข้างจะออกกำลังกายทุกวันอยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงค่อยๆแง้มประตูออกเพื่อดูต้นทาง ผมเดินออกมาแล้วลงไปตามทางเดิน ลงบันไดไปชั้นสองอย่างปลอดภัย แต่ขณะที่กำลังเดินลงจากชั้นลงไปชั้นหนึ่งก็มีเสียงตวาดไล่หลัง


“น้องคนนั้นจะไปไหนครับ”


 ผมไม่แน่ใจว่าเขารู้ได้อย่างไรว่าผมเป็นเด็กปีหนึ่ง แต่ที่แน่ๆเขารู้แล้วและกำลังวิ่งไล่ตามผมอยู่ ผมก็วิ่งหนีสิครับ... ผมกระโดดลงชั้นหนึ่งแล้ววิ่งผ่านรุ่นพี่ห้าหกคนที่ออกวิ่งไล่ตาม ผมใส่เกียร์หมาเลยครับ อากาศก็ร้อนสิ้นดี ผมวิ่งลงไปชั้นล่างถึงสวนสาธารณะแล้วจึงหลบหลังต้นไม้ มันเป็นสวนไม้ประดับที่ใหญ่รกครึ้มพอสมควร โชคดีที่ผมเป็นคนไม่กลัวผีแม้ในตอนนั้นก็กลัวงูอยู่เหมือนกัน รุ่นพี่ที่วิ่งตามผมมาก็กระจายกำลังออกค้นหา เรียกผม ขู่ผม หาผมหลังต้นไม้หลายๆต้น แต่พวกเขาไม่มีทางหาผมเจอหรอก สวนมันใหญ่ขนาดนั้นคืนนี้ก็มืดสนิททีเดียว พวกเขาค้นหาผมสักพักแล้วก็เลิกกันไปเอง ผมย่องออกไป ปีนข้ามรั้วมหาลัยออกไปข้างนอก เดินโต๋เต๋ในชุดนักศึกษากางเกงยีนที่ชุ่มเหงื่อ ผมเดินไปตามถนนเรื่อยๆจนเจอป้ายรถเมล์ แสงสีขาวสว่างมาจากแผ่นโฆษณาขนาดมโหฬารที่ป้ายรถเมล์ มันเป็นโฆษณาผ้าอนามัยแบบมีปีก สาวยิ้มสวยมั่นใจในรูป ผมนั่งบนม้านั่งเล็กๆนั่น เอนหลังพิงฟันขาวสะอาดของเธอ หยิบบุหรี่ยับๆในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาจุดสูบ บุหรี่หัก ผมจึงหักก้นกรองทิ้งแล้วสูบมันทั้งอย่างนั้น (วัยรุ่นไม่ค่อยรักชีวิตตัวเองเท่าไรหรอก)

ผมนั่งพ่นควันอยู่สักพักก็มีหญิงสาวคนหนึ่ง ใส่ชุดเซ็กซี่ เดินเข้ามาอยู่ที่อีกปลายข้างหนึ่งของป้ายรถเมล์ ผมมองเธอ และเธอก็มองผมด้วยความสนใจไม่แพ้กัน      




Free TextEditor


Create Date : 26 กันยายน 2552
Last Update : 26 กันยายน 2552 18:39:45 น. 3 comments
Counter : 315 Pageviews.  

 
สยองขวัญสุดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


โดย: นัท IP: 61.7.167.121 วันที่: 26 กันยายน 2552 เวลา:7:16:32 น.  

 
ชอบครับ
ต่อสิ


โดย: อ่านอยู่ IP: 61.7.169.35 วันที่: 26 กันยายน 2552 เวลา:19:31:57 น.  

 
หนุกดี อัพต่อนะคะ


โดย: อุ๋ม (wonderful_chilli ) วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:20:27:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Chud S.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Chud S.'s blog to your web]