life sucks
<<
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
13 ตุลาคม 2552

XXXแหกคอกมหาลัยXXX17XXX



ที่ผมตามมันมาก็แค่ยังสนุกที่จะคุยกันต่อเฉยๆ เคยมีไหมครับเวลาคุณจะคุยเรื่องอะไรคุณก็จะเลือกเพื่อนคุยเป็นคนๆไป เช่นคุณคุยกับกลุ่มนี้เพื่อคุยเรื่องบอล คุยกับอีกกลุ่มหนึ่งเพื่อคุยเรื่องเที่ยว คุยกับอีกกลุ่มหนึ่งเมื่ออยากสัมผัสบรรยากาศวิชาการ ผมเป็นคนอย่างนั้น คือปกติผมมักจะไม่คุยกับใครคนเดียวทุกเรื่อง เพราะมันไม่มีใครมาสนใจเหมือนเราหมดทุกเรื่องหรอก แต่สำหรับไอ้เอกคนนี้ พอเริ่มคุยเราก็คุยกันเรื่องลึกๆแล้วละครับ อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศสไตล์คนเหงามาพบกัน หรือว่ามันคิดว่าผมดูท่าทางน่าจะเข้าใจเรื่องที่มันพูด มันเลยเปิดอกออกมาก่อนเลย


“ถามจริงๆเหอะ ทำไมมึงเข้าเรียนที่นี่วะ” มันถามผม


“วิศวะXXX เนี่ยหรอ” ผมตอบได้แทบจะไม่ต้องคิด “มันก็เท่ห์ดีนะ”


“มึงคิดแค่เนี้ยหรอ มันทำหน้าตาเหมือนตกใจมากๆ


“เออ... กูคิดอยู่แค่นี้แหละ” ผมตอบ “มึงคิดดูสิ อยู่นี่ก็มีแต่คนข้างนอกมองว่ากูโคตรเก่ง จะไปคุยกับใครบอกว่าเป็นวิศวะXXX พวกแม่งก็นับถือ สังคมก็ยอมรับ พ่อแม่ก็ภูมิใจ เท่ห์สุดๆ”


“ไอ่ห่า... มึงไม่ได้ชอบเลยหรอ” มันด่าผมพร้อมกับหัวเราะขึ้นมา “ไอ้พวกการเรียนเนี่ย”


“ใครจะไปรู้วะ” ผมหัวเหาะตอบ “ก่อนมาอยู่นี้กูมันก็แค่เด็กบ้านนอกๆ ไม่ใช่พระเจ้าที่จะไปรู้ทุกอย่างได้ซะเมื่อไร แล้วมึงล่ะทำไมถึงเข้าที่นี่” ผมถามกลับ


“พ่อแม่กูนั่นแหละ” มันตอบยิ้มๆ “เตี่ยกูเป็นนักธุรกิจยุคโบราณ พูดง่ายๆก็คือพ่อค้าวุฒิ ม. 6 มึงเข้าใจป่ะ แบบว่ามันไม่ค่อยสะดวกนักเวลาเข้าสังคมถ้ามึงเรียนต่ำๆ พวกพี่ๆกูก็เรียน ม. เอกชนทุกคน ส่วนกูดูมีหัวหน่อยเลยถูกจับยัดเข้าที่นี่”


“แต่กูดูสภาพอย่างมึงนี่น่าจะเข้าถาปัตฯ หรือศิลปกรรม น่าจะเข้าท่ากว่าไม่ใช่หรอวะ” ผมถามต่อ “คือกูงง ฟังดูแล้วมึงก็ไม่จำเป็นจะต้องเข้าเรียนที่วิศวะก็ได้นี่หว่า คือว่าลุคมึงนี่มันไม่ใช่เลย”


“เออ กูรู้ ว่าท่าทางกูมันเป็นยังไง” มันตอบ “แม่งจะเข้าที่นี่โง่ๆเซ่อๆติสต์ๆไปวันๆมันจะเข้าได้ยังไงวะ ตอนเรียนกูก็ตั้งใจเรียนของกู วิทยาศาสตร์กูก็ชอบนะโว้ย มึงเชื่อป่าวว่าหน้าอย่างกูเนี่ยติดโอลิมปิกฟิสิกส์รอบสุดท้าย คะแนนเอนท์ฟิสิกส์กูก็ได้เต็ม แต่ที่กูแต่งตัวอย่างนี้เพราะกูคิดเหนือไปกว่ามึงอีกขั้นหนึ่ง”


“ยังไงวะ?” ผมถามด้วยความสงสัยจริงๆ


“คือมึงคิดว่าเรียนวิศวะแล้วมันเท่ห์ใช่ป่ะ” มันตอบ “คือกูเป็นคนวงการนี้ไง สำหรับคนข้างนอกมองเข้ามาข้างใน วิศวะที่นี่มันสุดๆก็จริง แต่สำหรับคนข้างในแล้ววิศวะมันเกร่อว่ะ” มันชี้ไปที่เด็กวิศวะที่เดินกันเป็นกลุ่ม “มึงดูดิ มึงดูมันแล้วมึงไม่รู้สึกอนาถใจอะไรบ้างหรอวะ เด็กวิศวะท่าทางเนิร์ดๆแต่ตัวเชยๆ เดินกันเป็นกลุ่ม ไม่มีความเท่ห์ ไม่มีเหี้ยอะไรเลย แค่ได้ชื่อว่าเป็นวิศวะ”


โอเค ผมเริ่มจะเข้าใจที่มันพูดละ เรียกได้ว่าพอมองภาพรวมออก


“ถ้ามึงอยากเท่ห์จริงๆมึงต้องเรียนถาปัตฯ ดูเด็กถาปัตฯดิ แต่งตัวแม่งก็ดูมีสไตล์ พูดจาก็รู้เรื่องดูมีแนวทางเป็นของตัวเอง ลุคเซอร์ๆไม่ได้ดูเซ่อๆเหมือนไอ้พวกนี้ กูอยากเข้าถาปัตฯนะ แต่กูก็ไม่ได้มีหัวศิลป์อะไรขนาดนั้น แม่งเรียนลำบากจริง รุ่นพี่กูทำงานส่งแบบทุกคืน ไม่ได้หลับได้นอน กูเลยสรุปกับตัวกูเองได้เลย”


“คือมึงแต่งตัวเป็นถาปัตฯไว้ล่อสาว แต่เรียนวิศวะเอาชื่อว่างั้น?”


“มึงนี่มันหัวไวดีนะ” มันหัวเราะพร้อมกับมัดผมหยักโศกเป็นมวยไว้ข้างหลัง “ถ้าเด็กวิศวะเป็นเหมือนมึงทุกคนนี่กูคงไม่ต้องแต่งเป็นถาปัตฯให้ลำบากหรอก”


คุยกันนิดเดียวผมก็รู้สึกได้เลยว่า ไอ้เหี้ยนี่มันอะไรของมัน ดูท่าทางมันจะประสาทแดกยิ่งกว่าผมอีกนะครับ เฮ้อ... บนโลกนี้ถ้าหาให้ดีๆก็คงมีคนแปลกๆอีกมากมายจริงๆ สำหรับคนอย่างไอ้เอกนี่แค่ได้คุยกันแป๊บเดียวก็รู้ไส้รู้พุงกันขนาดนี้แล้ว ถ้าคบกันไปเรื่อยๆละจะเป็นอย่างไร ในตอนนี้ผมหวังว่าจะเจอคนบ้าๆเพี้ยนๆอย่างไอ้เอกเยอะๆนะครับ ชีวิตมหาลัยของผมจะได้มีสีสันขึ้นหน่อย


“มึงนี่มันคุยสนุกดีนะ” มันบอกผม


เอาอีกแล้วสิครับ เด็กกรุงเพี้ยนๆ พอเราแค่ฟังมันคุยมันก็บอกเราคุยสนุก สงสัยเกิดมาพวกนี้มันไม่ค่อยได้ปล่อยของกันเท่าไร แต่ผมก็โอเคหมดนั่นละครับ เจออะไรผมก็คิดเอาว่าเป็นกรณีศึกษา ชีวิตจะได้มีความสุข


“เมื่อคืนมึงอ่านหนังสือจนไม่ได้นอนเลยหรอวะ” ผมถามมัน “เห็นมึงหลับตลอดตั้งแต่ต้นชั่วโมงจนชั่วโมงสุดท้าย แล้วมึงทำได้ป่าววะ”


“มึงนี่มันก็กวนตีนนะ” มันหัวเราะ “กูจะไปทำได้ไงวะยากซะขนาดนั้น อีกอย่างเมื่อคืนกูไม่มีเวลาว่างอ่านหนังสือเลยด้วย”


“หา...” ผมเริ่มสนใจว่าทำไมแล้วสิครับ “ทำไมวะ?” ผมจึงถาม


มันก็เล่าให้ผมฟังเรื่องเด็กที่มันเพิ่งบอกเลิกไปเมื่อคืนอย่างที่ผมเล่าให้ฟังในตอนที่ 14 เหตุการณ์มันก็เป็นอย่างนั้นละครับ ผมฟังแล้วก็คิดว่าไอ้เหี้ยนี่มันคงบ้าไปแล้วจริงๆ คนอะไรเสือกบอกเลิกแฟนคืนก่อนสอบ วันนั้นเราคุยกันมากจนรู้ว่าไอ้เอกมันไม่มีชีทของวิชาที่เหลือเลย เราจึงเดินไปที่หอผม ผมซีร็อกซ์ชีทให้มันเสร็จ มันก็ขอบคุณผม แล้วจากนั้นหลังสอบทุกวิชาที่เหลือ เราก็จะมานั่งสูบบุหรี่ที่บันไดหนีไฟเพื่อคุยปลอบใจกันอย่างประชดชีวิตว่า “เราทำข้อสอบไม่ได้เลยสักวิชา”


 


ในที่สุดเวลาก็เดินทางมาถึงวันสอบมิดเทอมวันสุดท้าย มาถึงวันนี้ผมเรียกได้ว่าหมดสภาพแล้วครับ เพราะที่ผ่านมาหลายๆวันนี่ผมแทบจะไม่ได้นอนเพราะมันสอบติดกันทุกวัน คุณพอจะนึกภาพออกไหมครับว่าการอ่านหนังสือจนถึงเช้าแล้วไปสอบ พอสอบเสร็จก็ต้องอ่านวิชาต่อไปจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นเพื่อจะไปสอบวิชาต่อไป บางวันมีสอบทั้งเช้าทั้งบ่าย เจออย่างนี้เข้าสัก 4-5 วันก็คางเหลืองแล้วครับ ถึงวันนี้ผมจะมีความสุขมากๆที่จะได้ปลดปล่อยชีวิตกับช่วงเวลาหลังสอบให้มีความสุข ขนาดที่ว่าตอนอ่านหนังสือไปก็ฝันไปว่าหลังสอบจะใช้อิสระภาพในการทำอะไรบ้าง ไปเล่นบาส เตะบอล เที่ยวกลางคืนให้ลืมโลกไปเลย


การสอบหลังจากฟิสิกส์ครั้งนั้นก็ค่อนข้างจะราบลื่นครับ คือผมว่าสภาพแวดล้อมก็มีผลมากๆกับการใช้ชีวิตนะครับ แต่เมื่อไรก็ตามที่เราสามารถปรับทัศนคติได้แล้วสิ่งที่เราคิดว่าเราไม่อาจจะทนทานมันได้ก็กลับกลายเป็นความเข้าใจ เพราะการสอบครั้งหลังๆผมก็เจออาจารย์คุมสอบหลากหลายรูปแบบ บางคนก็ดีแบบไม่ค่อยยุ่งกับนักเรียนเท่าไรนัก บางคนก็น่ารำคาญเพราะแม่งก็เป็นบ้าอะไรสักอย่างชอบคุยมือถือหน้าห้องสอบ ใช่ครับ...อาจารย์คุมสอบคุยมือถือหน้าห้องสอบและคนที่โต๊ะมันติดกับประตูหน้ามันก็ซวยเสียสมาธิกันไปนะสิครับ จะเรียกได้ว่าการสอบครั้งต่อๆมาผมก็เจออาจารย์หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ที่เฮี้ยบสุดๆไปจนถึงเลอะเทอะขนาดที่ลืมปิดมือถือตัวเองด้วยซ้ำ และนั่นก็ทำให้ผมคิดได้ว่าอาจารย์มหาลัยก็เป็นคนละครับ คนก็มีทั้งคนที่โอเคและไอ้พวกบัดซบที่สร้างความรำคาญให้กับคนอื่น และจากการที่ใช้เวลาเรียนอยู่ในระบบการศึกษาไทยมาตลอด 19 ปีผมพอจะแบ่งประเภทของผู้ให้ความรู้ในระบบโรงเรียนได้ดังนี้


หนึ่งคือคนที่คิดว่าตัวเองเป็นครู คนให้การศึกษาที่เรียกตัวเองว่าครูส่วนใหญ่เหมาะจะสอนเฉพาะเด็กที่มันโง่ๆอะครับ จำพวกเด็กหัวอ่อนที่คิดเองไม่เป็น เพราะครูพวกนี้มักจะคิดว่าตนเองนั้นฉลาดและเด็กมันโง่ ดังนั้นครูพวกนี้จะชอบสอนเด็ก แบบว่าไอ้นั่นผิด ไอ้นี่ถูก ห้ามเจาะหู ห้ามย้อมผม ห้ามใส่กระโปรงสั้น ห้ามไว้ผมยาว ห้ามเสื้อออกนอกกางเกง ห้ามเหยียบส้น การตั้งใจเรียนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง การตั้งใจเรียนคือการตั้งใจเรียนในสิ่งที่มีอยู่ในหนังสือเรียน ยกตัวอย่างเช่นการเรียนเลข คือโจทย์เลขแต่ละข้อนี่มันจะมีวิธีคิดหลากหลายเพื่อที่จะให้ได้คำตอบเดียวกันใช่ไหมครับ การพิสูจน์ทฤษฎีบทต่างๆก็ค่อนข้างหลากหลาย แต่ครูพวกนี้มักจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองรู้และถ้านักเรียนคนไหนคิดอะไรแหวกแนวขึ้นมาก็ผิด คืออย่าได้อวดฉลาดต่อหน้าครูพวกนี้เป็นอันขาด ครูเหล่านี้จะคิดว่าเด็กมันไม่รู้ว่าอะไรดีสำหรับตัวเอง อย่างตอนประถมส่วนใหญ่ผมก็จะเจอกับครูพวกนี้เนี่ยแหละ ส่วนใหญ่จะจบไม่สูงมาก และมักจะตีนักเรียน แล้วชีวิตคุณดีแค่ไหนถึงกล้ามาตีเด็กที่แค่ไม่ได้ทำการบ้าน คือครูอย่างนี้ส่วนมากผมกับเพื่อนพ้องจะจัดการปล่อยลมรถหรืออัดกาวตราช้างใส่กุญแจรถมันซะจะได้หายซ่า (ผมมักจะมีอคติกับคนประเภทที่ชอบใช้อำนาจกดขี่คนอื่นนะครับ)


สองคือคนให้การศึกษาประเภทอาจารย์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเจอในมหาลัย คนพวกนี้ส่วนใหญ่จะจบสูงๆและมีความเป็นปัจเจก คือจะไม่ยุ่งกับชีวิตของนักศึกษา นักศึกษาโตแล้วคิดเองได้อะไรอย่างนี้ มันจะแต่งตัวเรียนหรือไม่เรียนก็ช่างมันขอให้สอบผ่านก็พอ เหมือนที่ท่านประธานเติ้งบอกว่าแมวสีอะไรไม่สำคัญขอให้มันจับหนูได้ก็พออะไรประมาณนั้น แต่อาจารย์พวกนี้ก็จะค่อนข้างมีระยะห่างจากเด็กเยอะ สรุปว่าผมชอบประเภทที่เรียกตัวเองว่าอาจารย์มากกว่าประเภทครูเยอะ เพราะผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับชีวิตของผม ส่วนซูเปอร์ครูอย่างโอนิซึกะที่รักเด็กเข้าใจเด็กและเปิดโอกาสให้เด็กโดยให้คำแนะนำอยู่ห่างๆนี่ผมไม่ขอจัดคนเหล่านี้เข้าประเภทผู้ให้การศึกษานะครับ พวกนี้อยู่ในประเภทผู้มีพระคุณเสียมากกว่า


ผมไม่รู้นะครับว่าที่ประเทศเรายังถูกเรียกว่าประเทศกำลังพัฒนาเพราะระบบที่เด็กต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ตามคติ เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด หรือผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อนอย่างนี้หรือเปล่า แต่สำหรับผม ผมคิดว่าการเชื่อฟังผู้ใหญ่แบบไม่คิดจะตั้งคำถามเป็นจุดเริ่มต้นของระบบอุปถัมป์ และเป็นจุดเริ่มต้นของการคอรัปชั่นที่ทำให้ประเทศเราไม่เจริญอยู่ตอนนี้ เพราะเรากำลังตามผู้ใหญ่ห่วยๆที่มันกำลังนั่งแดกนอนแดกอยู่ในสภา และที่ผมบ่นอยู่นี่เพราะผมไม่ได้ผลประโยชน์จากพวกมันนะครับ ลองให้ผมมีผลประโยชน์ซักหน่อยสิ ผมจะเงียบกริบเชียวละ ก็ผมเองก็ไม่ได้ดีเด่อะไร แค่เป็นพวกชอบเห่าหอนไปตามเรื่องตามราวของเด็กประสาทแดก ผมก็เป็นแค่ผลผลิตจากระบบการศึกษาห่วยๆแบบนี้ละครับ


ผมไม่เคยอวดฉลาดครับ เพราะต้องยอมรับว่าไม่มีอะไรให้อวดแม้แต่ในกระดาษคำตอบวิชาเคมีซึ่งเป็นวิชาสุดท้ายก็ว่างเปล่าซะจนน่าสยองเลยละครับ ในการสอบวิชาสุดท้าย ผมนั่งขีดเขียนไปก็จินตนาการไปถึงสิ่งที่ผมอยากจะทำเมื่อสอบเสร็จ พอสอบเสร็จแล้วผมก็ส่งกระดาษคำตอบที่สะอาดสะอ้าน ผมออกมายืนสูบบุหรี่ได้สักพักไอ้เอกมันพาร่างกายโทรมๆไม่ต่างจากผมออกมา แค่มองตากันก็รู้ละครับว่าเหมือนเดิม ทำไม่ได้เหมือนเดิม คือพวกเราส่วนใหญ่ที่เข้ามาเรียนที่นี่ก็ยังไม่ค่อยชินกับการทำข้อสอบไม่ได้ เพราะข้อสอบโรงเรียนเก่าส่วนใหญ่ก็จะเป็นข้อสอบหวานหมู แต่ที่นี่มันเป็นข้อสอบเชือดหมู นั่นจึงทำให้ผมมักจะหวั่นไหวนิดหน่อยยามสอบเสร็จ


“สอบเสร็จแล้วมึงจะทำอะไรวะ” มันถามผมที่กำลังทำหน้าเศร้าๆอย่างรู้ตัว


“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ” ผมตอบ “เข้าห้องสมุดมั้ง”


“ห้องสมุด มันร้องอย่างตกใจ “มึงบ้าหรือเปล่าวะ สอบเสร็จแล้วเข้าห้องสมุดเนี่ย”


“คงงั้นมั้ง...” ผมตอบอย่างไร้อารมณ์


“ไอ้เหี้ย... มึงอย่าเพิ่งเศร้าขนาดนั้น” มันยิ้ม “ชีวิตนี้ยังมีอะไรมากกว่าที่มึงคิด แต่ทำไมมึงชอบอ่านหนังสือจังวะ” มันถามต่อ


“มึงเคยรู้สึกไม่อยากคุยกับพวกโง่ๆมะ” ผมถาม “แบบว่าคุยแต่เรื่องโง่ๆที่ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับชีวิตมึงเลย เวลากูอ่านหนังสือกูรู้สึกว่ากูได้คุยกับนักคิดทั่วโลกว่ะ กูจะได้รู้สึกฉลาดขึ้นหน่อย”


“เออ กูเข้าใจ” มันบอก “แต่มึงมากับกูดีกว่า กูว่าประสบการณ์มือสองยังไงมันก็สู้ประสบการณ์มือหนึ่งไม่ได้ จริงป่าววะ”


“เออ ถูกของมึง”


และนั่นละครับเป็นวิธีที่ไอ้เอกใช้ชวนผมไปออกเดตหลังสอบเสร็จของมัน ความจริงผมก็ไม่แน่ใจว่ามันต้องการผมจริงๆหรือเปล่าหรือพกเอาไว้เป็นไม้กันหมา คือว่ามันนัดสาวเอาไว้ แล้วสาวคนนั้นเค้าดันจะเอาเพื่อนสาวเค้าไปด้วย ผมก็เหมือนจะต้องไปคุยกับสาวอีกคนเพื่อเปิดทางให้ไอ้เอกมันได้คุยสะดวกของมันละครับ จุดนัดพบของการเดตคู่ครั้งนี้อยู่ที่สยาม ผมก็พยายามล้างหน้าล้างตาให้ดูสดชื่นที่สุดเพื่อให้สาวเจ้าประทับใจในความสดชื่นของหนุ่มที่เพิ่งสอบเสร็จ เรียกว่ามันเป็น Blind date ประชดชีวิตเลยละครับ






Free TextEditor


Create Date : 13 ตุลาคม 2552
Last Update : 13 ตุลาคม 2552 12:47:13 น. 4 comments
Counter : 489 Pageviews.  

 
แวะมาอ่านเรื่องราวหนุ่มวิศวะค่ะ


โดย: น้ำเคียงดิน วันที่: 13 ตุลาคม 2552 เวลา:12:53:50 น.  

 
สนุกทุกตอนเลยค่ะ


โดย: kirill วันที่: 13 ตุลาคม 2552 เวลา:15:27:06 น.  

 
ถ้างั้นนู๋ก็คงไม่ค่อยจะต่างจากเรื่องที่พี่เขียนมาหรอก ใกล้จิสอบแล้วแต่คิดว่าคงสอบไม่ได้แหง๋เรย รอซ่อมฮับป๋ม ฮ่าๆๆ


โดย: wonderful_chilli วันที่: 13 ตุลาคม 2552 เวลา:17:26:09 น.  

 
จ้า... อวยพร อวยพร ให้....


โดย: Chud S. วันที่: 13 ตุลาคม 2552 เวลา:18:45:35 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Chud S.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Chud S.'s blog to your web]