life sucks
<<
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
19 ตุลาคม 2552

XXXแหกคอกมหาลัยXXX23XXX



“เออ มีอะไรวะ แล้วกระซิบทำเหี้ยอะไร” ผมถามรำคาญๆอารมณ์แบบว่าชีวิตนี้มึงจะอะไรมากมายเนี่ย


“เฮ้ย... กูแย่จริงๆแล้วว่ะ...” มันยังคงกระซิบเสียงสั่น “เด็กที่กูมาด้วยอะดิ ผัวมันเคาะประตูอยู่หน้าห้อง แม่งมีปืนด้วย”


 เออครับ... ผมเข้าใจแล้วว่ามันคงแย่จริงๆ ผมบอกพี่แท็กซี่เปลี่ยนทิศกระทันหัน ผมนึกไม่ออกเลยครับว่าชีวิตนี้จะมีอะไรที่น่ากลัวไปกว่าความตาย ความตายของตัวเราเอง ความตายของคนที่เรารัก และจะมีแรงอะไรอีกไหมที่สามารถสร้างแรงกดดันให้กับชีวิตของเราได้เท่าความรัก ความรักอันไร้เหตุผล... คงใช่... ความรักเป็นสิ่งที่ไร้เหตุผล ความรักสามารถทำให้เราเป็นสุขเหมือนขึ้นสวรรค์และเป็นทุกข์เหมือนตกนรก ในมุมมองแห่งการครอบครองนั้นความรักจะนำมาซึ่งความผิดหวังเสมอ ในระยะเวลา 5 ปีหลังมานี้เพื่อนผม 5 คนแล้วที่ฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังจากความรัก หนึ่งในห้านั้นลากเอาคู่รักของตนตายตามไปด้วย นี่ยังไม่รวมถึงที่เราเห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์ ความรักและความหึงหวงคือเหตุผลที่ดีที่สุดที่เราโกรธพอที่จะฆ่าใครสักคน ผมกลัวแทนเพื่อนของผมครับ ผมกลัวว่ามันจะโดนยิงทิ้งด้วยเหตุแห่งความหึงหวงจากความสนุกเพียงแค่ไม่กี่นาที


“มันยังอยู่หน้าห้องป่าววะ” ผมถามมัน


“เออ” มันกระซิบตอบ “น้องเค้ากำลังคุยกับมันบอกให้มันกลับไปก่อน แต่มันก็จะเล่นกูให้ได้ ไอ้เหี้ย...ทำไงดีวะ หรือว่ากูจะปีนลงทางหน้าต่าง”


“มึงอยู่ชั้นอะไรล่ะ” ผมถาม


“แปดมั้ง” มันตอบ


“ไอ้เหี้ย... เดี๋ยวมึงก็ได้ตายจริงๆหรอก” คิดดูสิครับมันจะปีนลงจากชั้นแปด ตกลงมาไม่ตายชีวิตที่เหลือก็ยิ่งกว่าตายเสียอีก “กูว่ามึงบอกน้องเค้าให้ถ่วงเวลาแฟนแม่งไปก่อน กูจะถึงแล้วเนี่ย”


“เออ” มันตอบเสียงสั่น “แต่มึงห้ามวางสายนะเว้ย”


“เออ ใจเย็นๆละกัน” ผมให้กำลังใจมัน


มันมีวิธีการใดบ้างละครับที่จะช่วยเพื่อนผมออกจากสถานการณ์ล่อแหลมสุดๆอย่างนี้ได้ เรียกตำรวจน่าจะดีที่สุด ผมถึงแล้วครับ... มันเป็นคอนโดเก่าๆที่อยู่ลึกเข้าไปในซอยแถวอินทัมระ ผมว่ามันตลกดีตรงที่บางครั้งชีวิตเรามันก็รู้สึกทั้งเหงาและอ้างว้างจนอยากจะหาเรื่องเร้าใจทำ อยากให้ชีวิตเป็นสิ่งที่มีสีสันขึ้น แต่เมื่อเรื่องอย่างที่ว่ามันเกิดขึ้นแล้วเราก็กลับไม่ต้องการมัน เรื่องเกิดขึ้นมาติดๆกันเหมือนเป็นวิบากกรรมที่เราอยากกลับไปหาความสงบของชีวิตอีกครั้ง ตอนนี้ผมปวดหัวสุดๆเพราะความง่วงแต่สมองก็ตื่นตัวสุดๆด้วยความเครียดเช่นกัน ชีวิตผมมันไม่ค่อยมีความพอดีนะครับ ช่วงไหนที่ผมรู้สึกว่ามีความสุขคือช่วงที่ผมรู้สึกว่าชีวิตมันสมดุล มีเรื่องน่าตื่นเต้นแต่ก็มีมุมให้พักผ่อน รู้สึกว่าได้ทำอะไรที่มีค่าแต่บางครั้งก็สามารถดอดไปทำเรื่องไร้สาระได้เหมือนกัน แต่ว่าในกรณีมีเรื่องกับปืนนี่มันอันตรายเกินที่จะเรียกได้ว่าตื่นเต้นนะครับ ดังนั้นการกลับเข้าไปอยู่ในระบบจึงเป็นเรื่องที่ฉลาดที่สุดเท่าที่สมควรทำ


“เดี๋ยวกูโทรเรียกตำรวจนะ” ผมบอกมัน


“จะดีหรอวะ” มันตอบ


“เออหน่า” ผมไม่คิดว่ามันจะลังเลอีก เรื่องมันความเป็นความตายขนาดนี้ “มึงอยู่ห้องอะไร”


ผมโทรไปหาตำรวจจริงๆครับ ความจริงผมจะโทรบอกให้พวกพี่ๆช่วยก็น่าจะได้เพราะมีเพียงปืนเท่านั้นละที่จะคุยกับปืนรู้เรื่อง แต่ผมจะเอาเรื่องของผมให้ไปหนักกบาลคนที่เค้ารักเราก็ใช่เรื่อง เอาจริงๆ สถานการณ์อย่างนี้การตัดสินใจเป็นเรื่องสำคัญมาก ผมรอตำรวจอยู่ข้างล่างตึก สักพักผมก็เห็นตำรวจสามนายเดินขึ้นตึกไป ผมรอครับ ทำได้แค่นี้จริงๆ


“เออ เป็นไงบ้างวะ” ผมถามมัน


“แม่งเงียบไปแล้วว่ะ” มันบอก “ตำรวจแม่งมาเคาะน้องเค้าก็ไม่กล้าเปิด”


“คือ... สรุปว่ามันหนีไปแล้วหรอวะ” ผมถาม


“คงงั้นมั้ง” มันตอบ


“แล้วผัวแม่งทำงานอะไรวะ”


“เปิดโต๊ะบอล” ไอ้เอกตอบ “แม่งโคตรซวยเลยว่ะ เสือกไม่ยอมบอกกูว่าผัวแม่งตามอยู่ แล้วผัวแม่งก็โหดสุดๆ แม่งถีบประตูอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง แล้วกูควรจะทำไงต่อดีวะเนี่ย”


เออ... แล้วผมควรจะบอกมันยังไงดี คือผมอยู่หน้าตึกตั้งนานนอกจากพวกตำรวจแล้วผมยังไม่เห็นใครเดินลงมาเลย ตราบใดที่ยังไม่มีอะไรแน่นอน ตราบนั้นก็ยังไม่ปลอดภัยละครับ ผมไม่รู้ว่ามันจะซุ่มอยู่ตรงไหน หรือว่ามันหนีตำรวจไปทางอื่น ผมบอกให้ไอ้เอกรอไปเรื่อยๆ รอจนกว่าจะแน่ใจว่ามันไปแล้วจริงๆ


“มึงถามน้องให้หน่อยว่าแฟนเค้าขับอะไร” ผมถาม เท่าที่สามารถจะตรวจได้ก็คือรถเนี่ยละครับ


“ซีวิคดำแต่ง” ไอ้เอกตอบ “แต่น้องเค้าจำทะเบียนไม่ได้”


ผมเดินดูรอบๆตึกไม่เห็นรถที่ว่า เรื่องที่ยังไม่เกิดก็ยังไม่มีอะไรน่ากลัว ผมถามตัวเองว่าควรจะบอกมันให้ออกมาเลยหรือเปล่า ผมเองที่กำลังยืนตบยุงเล่นอยู่ล่างตึกก็กลัวเหมือนกันนะครับ แถวนั้นมันดูร้างและไม่ปลอดภัยด้วยประการทั้งปวง ผมรออยู่ราวสิบนาที ทุกอย่างยังคงสงบเงียบ


“แล้วน้องเค้ากำลังทำอะไรอยู่วะ”


“กำลังคุยโทรศัพอยู่” ไอ้เอกตอบ “ฟังดูเหมือนน้องเค้าจะเลิกกับแม่งแล้ว แต่แม่งยังไม่ยอมเลิก ตามรังควาญน้องเค้าเรื่อยๆ ไอ้เหี้ย น้องเค้าบอกว่าแม่งกลับบ้านไปแล้วมึงว่าเชื่อได้ป่าววะ”


“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ” ผมตอบ


คนเราพร้อมจะเชื่ออะไรได้แค่ไหนครับ เรื่องนี้มันเกี่ยวพันถึงชีวิต จะสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้เลย ถ้าแฟนเก่าน้องเค้าเก๋าถึงขนาดเปิดโต๊ะบอลเอง ผมว่าเราต้องค่อยๆคิดดีกว่า บางทีผมว่ามันถึงเวลาที่ต้องเรียกลูกพี่แล้วละครับ ปลอดภัยกว่าพอสมควร เพราะอย่างน้อยถ้าเค้ามีปืน เรามีบ้างก็ไม่น่าจะเสียหาย ผมโทรบอกพี่เซ็กซ์ รบกวนเวลานอนอันมีค่าของเขา พี่แกก็ดีครับ รับฟังด้วยความเข้าใจ ไม่โวยวายไม่ตื่นเต้นเหมือนเห็นว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา ครึ่งชั่วโมงผ่านไปพี่แกก็โทรเรียกผมไปหน้าปากซอย แกจอดรถแกะแผ่นป้ายทะเบียนไว้แล้วที่หน้าปากซอยครับ ผมรู้สึกคิดถูกที่ปรึกษาแก เพราะว่าแกเป็นคนละเอียดรอบคอบมาก คนที่ผ่านประสบการณ์ชนิดนี้มาเยอะก็คงจะเข้าใจอะไรๆดีกว่าผมแน่นอน


พี่แกมาในชุดนอน กางเกงวอร์ม เสื้อยืดเก่าๆ หยิบปืนในลิ้นชักหน้าออกมาเหน็บไว้ข้างหลัง  


“มึงบอกให้มันหาหมวก ขึ้นบันไดหนีไฟไปสองชั้น แล้วค่อยเรียกลิฟท์ลง” พี่เซ็กซ์แกแนะนำอย่างนั้น เพราะแกเผื่อไว้ทุกอย่างคือมันคงไม่ได้ดักอยู่ชั้นแปดแน่ๆเพราะคงกลัวตำรวจเหมือนกัน แต่มันอาจจะดักรออยู่ชั้นล่างๆหรือลิฟท์ชั้นใดชั้นหนึ่ง ซึ่งถ้าขึ้นไปก่อนแล้วค่อยกดลงก็ดูปลอดภัยดีกว่า บางทีมันก็เหมือนบ้าที่คนเราต้องคิดไปเองขนาดนั้น แต่นี่มันเรื่องเกี่ยวกับชีวิตนะครับ อะไรที่จะทำให้ปลอดภัย แม้จะเป็นเรื่องโง่ๆแค่ไหนก็ต้องทำไว้ก่อน ผมบอกไอ้เอกทุกอย่างที่พี่แกสั่งเอาไว้ ไม่ถึงห้านาทีผมก็เห็นมันกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาแล้วครับ ขณะที่ผมกำลังยิ้มและจะล้อมันเล่นก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นมานัดนึง คราวนี้ไอ้เอกวิ่งเร็วจี๋ ผมเองก็กลับหลังหันวิ่งไปด้วย มันก็วิ่งตามผมมาติดๆ พอสิ้นเสียงกระสุนนัดที่สองเท่านั้นละครับ ผมก็เห็นไอ้เอกมันล้มลง ผัวของแม่งวิ่งไล่ยิงอะครับ คุณคิดดูสิครับว่าแรงหึงมันทำให้คนเหมือนหมาบ้าวิ่งไล่กัดอย่างไร้สติ พี่เซ็กซ์แกเห็นท่าจะไม่ดีก็ยิงสวนไปบ้าง ผมนึกในใจว่าตัวเองโชคดีมากๆที่เรียกพี่เค้ามาด้วย ถ้าไม่ได้พี่เค้าช่วยยิงสวนให้มันวิ่งหนีไป ไอ้ห่านั่นก็คงเข้ามาจ่อยิงผมกับเพื่อนไปเรียบร้อยแล้ว ผมเข้าไปพยุงเพื่อน


“ไอ้เย็ดแม่! กูโดนยิง กูโดนยิง” มันตะโกนซ้ำไปซ้ำมาราวกับจะเป็นบ้า


“ตรงไหนวะ ผมถามมันด้วยความตระหนกสุดๆในชีวิต!


“ก้น...” มันตอบผมพร้อมกับกำที่ก้นเอาไว้ เลือดไหลทะลักออกมาจนทำให้กางเกงบลูยีนซีดๆของมันอาบด้วยสีดำของเลือดในความมืดยามค่ำคืน ผมพามันเข้าไปในรถเรียบร้อย ที่มือของมัน ที่เบาะเปื้อนไปด้วยเลือด ไอ้เอกร้องโวยวายโอดโอย หน้าตานี่ขาวซีดเหมือนกระดาษ ตัวผมเองก็มือเย็นเฉียบไปหมด เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ยังไม่เคยต้องมาเจอประสบการณ์เฉียดตายด้วยการโดนไล่ยิงอย่างนี้นี่ครับ แล้วคนที่โดนยิงก็อาจจะเป็นผมหรือไอ้เอกก็ได้เพราะวิ่งใกล้กันนิดเดียว พอผมมาเห็นมันอย่างนี้ผมกลัวสุดขีดเลยครับ กลัวมันจะเป็นอะไรไป ทั้งมือทั้งขาสั่นไปหมด


“มึงใจเย็นๆ” พี่เซ็กซ์แกพูดแบบคนมีสติ “ไกลหัวใจไอ้น้อง” พอพูดจบพี่แกก็เปิดไหล่ออกมาให้เห็น “เนี่ยกูโดนตอนเรียนเทคนิค กูมีอีกสองแผลที่อกโดนตอนอยู่เมกา โชคดีที่แม่งยิงโดนซี่โครง ถ้าตอนนั้นมันอัดทะลุปอดกูคงไปเฝ้ายมบาลเรียบร้อย ไอ้เหี้ยมึงแค่โดนยิงก้นไม่เป็นไรหรอก”


คือผมเข้าใจครับว่าพี่แกเก๋าสุดๆ แต่ยังไงเรื่องนี้มันก็มากเกินไปสำหรับผมกับเพื่อนซึ่งค่อนข้างจะอยู่ในโลกด้านสว่างมาตลอดอยู่ดี แต่พี่แกก็พูดให้กำลังใจได้ผลนะครับ คือไอ้เอกมันก็เงียบไปเลย ผมว่ามันก็คงจะเจ็บจริงๆละครับ หน้ายังคงซีดไร้สีเลือด กัดฟันแน่น แต่ในฐานะลูกผู้ชาย ถ้าพี่แกโชว์มาขนาดนี้แล้วมันก็คงรู้สึกอายกับการโวยวายอย่างนั้น


“เดี๋ยวก็ถึงโรงบาลแล้ว” ผมให้กำลังใจมันด้วยอีกคน


พี่เซ็กซ์แกพาไปส่งที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งแถวๆนั้นแล้วแกก็ขอตัวกลับไปก่อน คือแกคุมสติได้ดีมากและความใจเย็นของแกก็เหมือนเป็นรังสีที่เผื่อแผ่ออกมาจนทำให้ผมลดความตระหนกได้เยอะทีเดียวครับ ตอนนั้นมันก็ตีสี่แล้วละครับ หนังตาผมก็แทบจะปิดจากความเหนื่อยอ่อนแล้วเหมือนกัน บุรุษพยาบาลสองคนเข็นเตียงเข้ามา ไอ้เอกมันก็ยังเดินได้ เดินขึ้นไปนอนคว่ำบนเตียง พอเตียงถูกเข็นไปจนลับตาเท่านั้นละครับ ผมก็ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้รอคนไข้กอดอกแล้วก็วูบหลับไปโดยไม่รู้ตัว ตื่นขึ้นมาอีกทีมองไปข้างนอกแสงสว่างจ้า ดูนาฬิกาก็สิบโมงเช้าแล้วครับ ผมวูบหลับไปหกชั่วโมง เดินไปถามโอเปอเรเตอร์จึงรู้ว่าเพื่อนของผมนั้นกำลังพักฟื้นอยู่ เดินไปที่ห้องของไอ้เอกที่เป็นห้องเดี่ยว เปิดประตูเข้าไป เจอกับหญิงคนหนึ่งซึ่งเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำพอดี


“สวัสดีครับ” ผมทักเธอ


“เพื่อนเอกหรอคะ” เธอถาม


“ครับ” ผมตอบอายๆเพราะไม่ค่อยถนัดในการพูดคุยกับสาวน่ารักๆสักเท่าไร


“แล้วคุณ...” ผมถามกลับบ้าง


“ชั้นเป็นแฟนของเอกค่ะ” เธอตอบ


อ้าว... ผมนึกในใจ มันมีแฟนตั้งแต่เมื่อไรวะ

      




Free TextEditor




 

Create Date : 19 ตุลาคม 2552
0 comments
Last Update : 19 ตุลาคม 2552 9:31:59 น.
Counter : 393 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Chud S.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Chud S.'s blog to your web]