บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2550
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
28 สิงหาคม 2550
 
All Blogs
 
วันคืนที่ดูเหมือนเพิ่งผ่านไปเพียงไม่นาน...





"ชีวิตกับสายน้ำและลำคลอง
เป็นเพียงความทรงจำในวัยเด็ก
ที่ดูจะลางเลือนและเป็นอดีตที่ไม่มีวันหวนกลับ"

การเขียนเรื่องราวของตัวเองในอดีต
เป็นสิ่งที่รื้อฟื้นความทรงจำต่าง ๆ ได้ยาก
และบางทีรู้สึกว่าหากเราทำได้
มันก็อาจเป็นบันทึกที่เราจะเก็บมันเอาไว้
เพื่อย้ำเตือนตนเอง
ไม่ให้เดินหลงทางและยึดมั่นในสิ่งที่เราเชื่อมั่นและศรัทธา

ช่วงชีวิตของคน ๆ หนึ่งดูเหมือนมันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในยามที่พานพบกับความสำเร็จในเวลาที่ไม่นานนัก
พลันกลับพบกับความล้มเหลวในเวลาต่อมา
ทำให้ชีวิตได้เข้าใกล้ในสัจจธรรมต่าง ๆ มากขึ้น

เวลาที่เหลืออยู่เราจะจัดการกับมันอย่างไร
ไม่ให้มันผ่านไปโดยสูญเปล่า
และสร้างประโยชน์ให้กับคนรอบข้าง
ในสถานภาพที่เราสามารถจะทำได้
คงจะเป็นสิ่งที่คนรุ่นเราจะต้องคิดใคร่ครวญ

บันทึกนี้จะเขียนไปเรื่อย ๆ ตามสภาพเวลาที่เอื้ออำนวย
และจะเขียนให้จบเท่าที่เจ้าของบล็อกอย่างให้เป็น

...................................................

วัยเยาว์อันสดใส

ชนบทภาคเหนือตอนล่างอันประกอบด้วยชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลที่มีชาวจีนชนเผ่าต่าง ๆ อพยพมาอยู่อย่างหนาแน่น โดยเฉพาะชาวจีนไหหลำที่มีอยู่มากที่อำเภอพิชัยและอพยพลงมาอยู่ที่พิจิตร,พิษณุโลกและนครสวรรค์และแตกลูกแตกหลานมากมายในปัจจุบัน คือสิ่งที่เราได้เห็นวัฒนธรรมประเพณีจีนที่ยังดำรงอยู่ในสังคมไทยได้อย่างกลมกลืน และมีส่วนในการสร้างชาติไทยมาถึงทุกวันนี้

ชนบทภาคเหนือในห้วงเวลาเมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้วมีเพียงถนนราดยางสองเลนและมีลำคลองอยู่ข้างถนน การค้าขายที่ผู้คนที่อยู่ในเขตสุขาภิบาลได้ทำกันก็คือตลาดแบบโชห่วยไทยที่ยังพอเห็นอยู่ในปัจจุบัน มีตลาดสดที่ผู้คนไปจับจ่ายซื้อกันในตอนเช้า และบ้านกับวัดดูจะมีความใกล้ชิดกันอย่างมาก เช้าจะเห็นขบวนของพระออกมาบิณฑบาตรเหมือนอย่างที่เห็นในหลวงพระบางในปัจจุบันนี้

การศึกษาที่ได้รับเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งในชนบท ยังจำวิชาคัดไทยในยามที่หัดเขียนภาษาไทยในช่วงแรก ๆ ของชั้นป.เตียม ที่ได้คะแนนค่อนข้างดี และหนังสือหัดอ่านภาษาไทยสมัยก่อนที่ได้รับการสอนอ่านจากพ่อยังคงอยู่ในความทรงจำ และหนังสือแบบเรียนเหล่านี้ก็จะมีนิทานแทรกอยู่หลายเรื่อง เป็นนิทานที่แฝงแง่คิดดี ๆ ไว้มากมาย

ชีวิตวัยเรียนชั่วระยะเวลาสั้น ๆ ในชนบทก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ราวปี 2511ได้มีโอกาสมาเรียนที่กรุงเทพในโรงเรียนเอกชนมีชื่อด้วยความพยายามของพ่อที่จะพยายามส่งเสียลูกทุกคนให้มีการศึกษาที่ดี แม้ว่าฐานะทางการเงินในห้วงเวลานั้นจะไม่พร้อมก็ตาม อาชีพในช่วงนั้นของพ่อคืออาชีพของพ่อค้าคนกลางที่รับซื้อข้าวจากชาวนาในแถบนั้น ในแต่ละวันที่ซื้อข้าวได้พ่อก็จะนำรถบรรทุกสิบล้อพร้อมข้าวเปลือกนำไปขายให้กับโรงสีโดยพ่อจะออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด ในช่วงเวลาที่ว่างเว้นจากการซื้อขายข้าว พ่อก็จะนำรถไปเข้ากับบริษัทขนส่งและขนของลงมากรุงเทพฯโดยขับรถในช่วงกลางคืนและทุกครั้งที่ขับรถก็ต้องกิน"ยาม้า" เพื่อไม่ให้หลับใน

ความลำบากของพ่อที่พยายามหาเงินส่งเสียให้ลูกทุกคนได้เรียนยิ่งทำให้เราต้องตั้งใจเรียนมากขึ้น ในช่วงประถมปลายเพื่อนในห้องส่วนใหญ่ก็ไปสอบเข้าโรงเรียนสวนกุหลาบ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่สอบเข้าได้และส่วนหนึ่งคือการได้คะแนนพิเศษจากการเป็นลูกทหารที่เป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนนี้ เพื่อนในห้องที่สอบได้ที่หนึ่งก็ยังพลาดการสอบเข้าในครั้งนี้ แต่เพื่อนสนิทที่ไปกวดวิชาที่โรงเรียนตรอกมะยมด้วยกันก็ได้มีโอกาสได้เข้าไปเรียนที่นี่ส่วนหนึ่งเพราะสิทธิพิเศษจากการเป็นลูกของทหาร



หลังจากสอบเข้าไม่ได้ก็กลับมาเรียนต่อ ผลการเรียนก็ดำเนินไปด้วยดี วิชาที่ชอบมาก ๆ คงจะเป็นวิชาด้านคณิตศาสตร์โดยเฉพาะเรขาคณิตและพีชคณิต ในช่วงปีมัธยม 2เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม เนื่องจากที่โรงเรียนเป็นคู่ขัดแย้งหนึ่งของผู้มีอำนาจในสมัยนั้น ทางโรงเรียนได้เกณฑ์นักเรียนไปร่วมประท้วงที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ความบริสุทธิ์ของความเป็นเด็กวัยรุ่นที่มองโลกด้วยความสวยงามและอยากเห็นสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับบ้านเมือง การประสานจับมือของขบวนการนักเรียนนักศึกษาสมัยนั้นโดยเฉพาะเด็กนักเรียนอาชีวะที่เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัย และการหนุนช่วยของพี่น้องประชาชนจำนวนมากทั้งเงินและอาหารกล่อง ผลไม้ต่าง ๆ ฯลฯ

บ่ายวันที่ 13 ตุลาคม การเรียกร้องให้ปล่อย 13 กบฎไม่เป็นผลผู้นำการเคลื่อนไหวคือองค์กรศูนย์นิสิตนักศึกษาตัดสินใจเคลื่อนม็อบออกไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย คลื่นมหาชนหลายแสนคนเดินขบวนกันอย่างเหยียดยาวไปตามถนนราชดำเนินกลาง พร้อม ๆ กับการร้องเพลงไปด้วย ในช่วงนั้นเริ่มมีเพลงเพื่อชีวิตของวงคาราวานที่เริ่มจากการรวมวงกันของนักศึกษาในภาคอีสานด้วยท่วงทำนองดนตรีแบบโฟล์คซองและประสานเสียงด้วยดนตรีพื้นบ้านเช่น พิณ เพลงต่าง ๆ ได้ถูกแต่งขึ้นท่ามกลางการเคลื่อนไหวเรียกร้องก่อนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา เช่นเพลง "สู้ไม่ถอย" "ประชาชนเดิน" "คนกับควาย"


หลังจากเดินร่วมมากับพวกพี่นักศึกษาจนถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยได้สักพักใหญ่ สุดท้ายเราก็เดินทางกลับบ้านด้วยความรู้สึกของเด็กคนหนึ่งที่ไม่คิดว่า "การเรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยนั้นจะมีความยากลำบากเพียงใด"

เช้าวันรุ่งขึ้นออกไปข้างนอกซื้อของได้ยินชาวบ้านคุยกันว่านักศึกษาถูกยิง หลังจากนั้นสื่อทางวิทยุและโทรทัศน์ก็จะให้ข่าวในทำนองเกิดการจราจลและนักศึกษาจุดไฟเผาสถานที่ราชการ ในฐานะเด็กคนหนึ่งที่ไปร่วมเดินขบวนมาในใจนั้นมีความสับสนอย่างมากและรู้สึกว่าอำนาจเผด็จการจะต้องพ่ายแพ้ต่อนักศึกษาประชาชนที่มีจิตใจรักชาติและมีความบริสุทธิ์ใจในการเรียกร้องหาประชาธิปไตย
ในครั้งนี้

ความสับสนของสถานการณ์ดำเนินไปอีกราวสองวัน ในเย็นวันที่ 16 ตุลา มีการประกาศแต่งตั้งนายกและสามทรราชได้เดินทางออกนอกประเทศ

ปีถัดมาจากผลของการเรียกร้องประชาธิปไตยของนักศึกษาประชาชน มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ที่เรียกว่า "รัฐธรรมนูญฉบับปี 2517" ที่มีที่มาจากสมัชชาแห่งชาติหรือที่เรียกว่า"สภาสนามม้า" เป็นการเลือกตัวแทนมาร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จากสาขาอาชีพต่าง ๆ และก่อเกิดกลุ่ม "ดุสิต 99" ที่เป็นการรวมกันของเทคโนแครตที่ผ่านการศึกษาจากต่างประเทศ


กลุ่มดุสิต 99 ส่วนหนึ่งได้เข้าไปร่วมก่อตั้งพรรคการเมืองในสมัยนั้นและมีอิทธิพลอยู่ในวงการเมืองในห้วงระยะเวลาสามปีก่อนเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ภายหลังจากที่มีการร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้น ผลการเลือกตั้งหลังจากนั้นคือรัฐบาลผสมหลายพรรคที่สำคัญคือมาจากพรรคประชาธิปัตย์ ธรรมสังคม พลังใหม่ แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะบรรยากาศภายนอกสภาที่กดดันจากม็อบเรียกร้องความเป็นธรรมที่มุ่งเข้ากรุงเทพฯไม่เว้นแต่ละวัน และภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา ศูนย์นิสิตฯก็เป็นองค์กรที่กลุ่มประชาชนที่เดือดร้อนเข้ามาติดต่ออย่างไม่ขาดสาย

การเมืองในสภาที่เพิ่งผ่านการเลือกตั้งและได้รัฐบาลใหม่ก็ดำรงอยู่ได้ไม่นาน รัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำได้ตัดสินใจลาออก และรัฐบาลชุดต่อมาก็คือรัฐบาลยุคเงินผันที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในแวดวงการเมืองไทยนำโดยพรรคกิจสังคมที่มี ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นหัวหน้าพรรค และมีนายบุญชู โรจนเสถียร เป็นเลขาธิการพรรค ได้ร่วมกันผลักดันนโยบายประชานิยมยุคแรกทั้งนโยบายเงินผัน ขึ้นรถเมล์ฟรี รักษาพยาบาลฟรีสำหรับคนจน และการประกันราคาพืชผล ซึ่งต่อมานายบุญชูได้รับฉายา "ซาร์เศรษฐกิจ" อันเนื่องมาจากมีวิสัยทัศน์ในการมองปัญหาสังคมเศรษฐกิจที่เฉียบคมและมีฐานทางเศรษฐกิจและฐานะทางการเงินที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

รัฐบาลคึกฤทธิ์ที่มีเสียงเพียง 18 เสียง แต่สามารถเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้นับว่าเป็นเรื่องไม่ธรรมดา ในยุคนั้นจำนวนสส.ในสภามีไม่มากนักราว ๆ300 คน ในที่สุดรัฐบาลผสมชุดที่สองก็มีอันล้มครืนลงอีก แต่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ตัดสินใจยุบสภาเพราะหวังว่าพรรคกิจสังคมจะได้เสียงข้างมาก แต่กาลกลับไม่เป็นไปดังคาด พรรคประชาธิปัตย์สามารถชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงประมาณ 110 เสียง และเป็นรัฐบาลผสมที่ดูจะมีความมั่นคงมากขึ้น

แต่สถานการณ์ทางการเมืองในยุคที่เรียกว่า "ขวาพิฆาตซ้าย" ก็กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น กลุ่มจัดตั้งของ กอ.รมน.ที่นำโดยกลุ่มกระทิงแดง นวพล และการใช้สื่อสารมวลชนหลาย ๆ แขนงรุกทางการเมืองโจมตีขบวนการนักศึกษาที่เริ่มโน้มเอียงไปทางอุดมการณ์ทางการเมืองของ พคท. ที่ใช้ยุทธศาสตร์ยุทธวิธี "ชนบทล้อมเมือง" ตามแบบจีนที่สามารถเอาชนะในสงครามประชาชนภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งในยุคสงครามเย็นที่ยังดำเนินไปในช่วงนี้ก่อนที่กำแพงเบอร์ลินจะแตกในช่วง ปี 2532 และการล่มสลายของอำนาจรัฐสังคมนิยมแห่งแรกในโลกคือโซเวียตรัสเซียในปี 2534

ความพยายามสร้างสถานการณ์ของฝ่ายขวาจัดดำเนินไปอย่างต่อเนื่องด้วยการพยายามนำสามทรราชกลับเข้ามาอีก ด้วยข้ออ้างต่าง ๆ นานาเช่นมาเยี่ยมพ่อและเข้ามาด้วยสถานภาพการบวชเป็นพระเพื่อสร้างความเห็นใจจากสังคม แต่ลึก ๆ นั่นคือการเตรียมการณ์ในการก่อรัฐประหารของกลุ่มขวาจัดอันประกอบด้วยกลุ่มทหารและทุนขุนนางที่มีบทบาทอยู่ในกลไกอำนาจรัฐ

ด้วยความบริสุทธิ์และไร้เดียงสาทางการเมือง ความโน้มเอียงทางอุดมการณ์ทางการเมืองที่ยึดติดกับตำราและทฤษฏีโดยขาดการประสานกับความเป็นจริงของสังคมไทยอย่างลึกซึ้ง ขบวนการนักศึกษาที่นำโดยศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยหรือเรียกย่อ ๆ ว่า "ศนท." ก็ติดกับดักเกมแห่งอำนาจของผู้มีอำนาจที่มีความเหนือกว่าในทุก ๆ ด้าน การปลุกผีคอมมิวนิสต์ดำเนินไปอย่างเข้มข้นในสื่อวิทยุของกองทัพบกที่มีมากกว่า 90 % และผ่านทาง นสพ.ดาวสยาม การขาดประสบการณ์ในการทำงานแนวร่วมและความแจ่มชัดทางอุดมการณ์ที่เป็นรูปธรรมและการวางแผนทางยุทธศาสตร์ยุทธวิธี มีเพียงความเชื่อมั่นและศรัทธาทางนามธรรมของเยาวชนคนหนุ่มสาวที่ต้องการสร้างสังคมอุดมคติ แต่ขาดการสื่อสารกับสังคมทำให้ในช่วงเวลาเพียงสามปีภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 จากภาพของวีรชนที่นำพาประเทศสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยกลับแปรเปลี่ยนไปเป็นกบฎต่อสังคมและเป็นกลุ่มคนที่ต้องกำจัดและทำลายล้างออกไปในทุกวิถีทาง


คำคม

"ประชาธิปไตยที่ยังไม่ลงลึกถึงวัฒนธรรมทางการเมืองที่เป็นอิสระและมีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวมและสังคม แต่ยังอบอวลด้วยระบบอุปถัมภ์ วัฒนธรรมอุปถัมภ์ที่ชนชั้นนำหลอกล่อชาวบ้านด้วยผลประโยชน์เฉพาะหน้าก็คงอีกนานที่เราจะได้เห็นความรุ่งเรืองของบ้านเมือง คนรุ่นเราทั้งในส่วนของภาคธุรกิจและแวดวงปัญญาชนจะต้องไม่เบื่อการเมืองและช่วยกันผลักดันการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแบบใหม่ให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองให้ได้ แม้จะต้องใช้ระยะเวลายาวนานเพียงใด

หากวันนี้เสรีชนยอมแพ้ต่อโชคชะตา
เราจะฝากความหวังใดให้กับบ้านเมืองนี้ได้เล่า !!!"










บล็อกที่แล้ว คลิกที่นี่


การเมืองสีเขียว วิถีแห่งสังคมและระบบนิเวศ..นพนันท์ อนุรัตน์ คลิกที่นี่











Create Date : 28 สิงหาคม 2550
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2550 22:43:57 น. 26 comments
Counter : 887 Pageviews.

 
สวัสดีครับ

ช่วงนี้ไม่รู้จะทำบล็อกอย่างไร ขอนังเขียนรำลึกอดีตของตัวเองดูบ้าง หวังว่าคงจะได้เป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองต่าง ๆ ระหว่างเพื่อน ๆ ที่เข้ามาอ่านในบล็อกนี้บ้างนะครับ

ช่วงนี้งานไปได้เรื่อย ๆ แต่เข้าเน็ตน้อยลงและจะพยายามเขียนให้จบภายในหนึ่งเดือนหวังว่าคงไม่นานเกินไปนะครับ


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 30 สิงหาคม 2550 เวลา:9:40:24 น.  

 
คัดจากมติชนรายวัน

เจาะเบื้องลึกปัญหา "ซับไพรม์" กับทางรอดที่เหลืออยู่ของไทย



หมายเหตุ : เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2550 มติชนได้มีโอกาสสัมภาษณ์นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) เกี่ยวกับปัญหาสินเชื่อที่อยู่อาศัยต่ำกว่ามาตรฐาน (ซับไพรม์) ในสหรัฐอเมริกาและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้

ปัญหาสินเชื่อที่อยู่อาศัยประเภทต่ำกว่ามาตรฐาน (ซับไพรม์) ที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ทำให้เห็นปัญหาเท่านั้น และยังไม่มีใครสามารถประเมินได้ว่าจะส่งผลกระทบขยายวงกว้างไปมากแค่ไหน โดยหลังจากนี้ตราสารทุกประเภทที่อาศัยสินทรัพย์ค้ำประกัน นอกเหนือจากตราสารหนี้ที่มีตราสารหนี้ที่หนุนด้วยสินทรัพย์อ้างอิงประเภทต่างๆ หรือตราสาร CDOs (Collateralized Debt Obligations) ยังไม่มีใครทราบว่าจะมีราคาเท่าไรหรือด้อยค่าลงเท่าไร และยังอาจจะลุกลามไปถึงตลาดไพรม์หรือลูกหนี้ชั้นดีที่มีรายได้แน่นอนด้วย เนื่องจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในตลาดไพรม์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากตลาดซับไพรม์ที่มีเอ็นพีแอลอยู่ 25%

และปัญหาที่ยังไม่มีใครพูดถึงขณะนี้คือการแปลงสินทรัพย์จากหลักทรัพย์เพื่อเป็นแหล่งเงินกู้ระยะสั้น 3-6 เดือน หรือที่เรียกว่าตลาด Asset backed commercial paper (ABCP) เป็นตราสารที่การันตีด้วยกระแสเงินสดจากบัตรเครดิต ฯลฯ ได้รับผลกระทบอย่างมากเพราะเริ่มติดปัญหาหมุนเงินไม่ทัน ไม่มีเงินมาคืนเงินต้นให้กับผู้ลงทุน

นอกจากนี้ปัญหาดังกล่าวยังกระทบไปถึงการนำเงินเยนไปขายเพื่อซื้อเงินสกุลอื่น หรือการทำเยนแครี่เทรดของประเทศญี่ปุ่นด้วย เนื่องจากปัจจุบันตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของญี่ปุ่นมีนักลงทุนรายย่อย 30% ที่ขายเงินเยนไปซื้อดอลลาร์สหรัฐและนำเงินไปลงทุนใน CDOs เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในประเทศอยู่ในระดับต่ำมาก ส่งผลให้เงินเยนอ่อนค่าลงมากกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้น เมื่อตลาดสหรัฐและ CDOs มีปัญหาทำให้นักลงทุนหยุดเทขายเงินเยนจะทำให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ที่ไปลงทุนก็จะได้รับความเสียหาย

ปัญหาซับไพรม์เริ่มต้นตั้งแต่ นายอลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือ 1% ในปี 2003 จากเดิมที่อยู่ระดับ 6% เพื่อช่วยให้ฟองสบู่ภาคอินเตอร์เน็ตที่แตกลงไม่ขยายวงเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาไม่ถดถอยมากนัก ราคาหุ้นในตลาดไม่ปรับลดลงอย่างน่าตกใจ

แต่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวกลับเป็นสาเหตุก่อให้เกิดฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ขึ้นแทน เพราะเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลงเหลือ 1% สินทรัพย์อื่นๆ จึงราคาสูงขึ้นโดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากการคำนวณราคาสินทรัพย์จะคิดจากโอกาสที่จะสร้างรายได้ในอนาคตและคิดลดจากอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ราคาที่อยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกาปรับเพิ่มขึ้นปีละ 15-20% มาโดยตลอด เพราะสถาบันการเงินประเมินแล้วว่าสินทรัพย์ที่เป็นที่อยู่อาศัยจะมีราคาเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ทำให้มีการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้ซับไพรม์ที่ประวัติการชำระหนี้ไม่ดี ไม่มีรายได้เป็นหลักแหล่ง

โดยเป็นการปล่อยกู้แบบอัตราดอกเบี้ยต่ำในปีแรกๆ และปรับเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในปีถัดไป ดังนั้น หลังจากนี้ลูกหนี้จะได้รับผลกระทบ 2 ด้าน คือ จากด้านที่ราคาที่อยู่อาศัยที่ซื้อมาราคาลดลง และด้านผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีก และเมื่อราคาบ้านอยู่ในระดับต่ำกว่าเงินกู้ส่งผลให้ผู้กู้ตัดสินใจทิ้งที่อยู่อาศัยที่ซื้อมาและเกิดความเสียหายตามจำนวนมาก โดยหลังจากนี้อาจจะมีผลกระทบด้านการเมืองของสหรัฐตามมา

หากประเมินตัวเลขที่อยู่อาศัยที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้ว พบว่ายังค้างสต๊อคอยู่ไม่สามารถขายได้ในขณะนี้จำนวนประมาณ 5 ล้านหลัง จากจำนวนที่อยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกาทั้งหมด 75 ล้านหลัง และระยะเวลารอการขายที่เพิ่มขึ้นเป็น 9 เดือนของทั้งปี จากเดิมที่มีเพียง 4 เดือนของทั้งปี ขณะที่ราคาที่อยู่อาศัยในตลาดก็ปรับลดลงมากแล้ว โดยหากจะขายที่อยู่อาศัยที่ค้างอยู่ทั้งหมดก็จะส่งผลให้ราคาปรับลดลงไปอีก ทำให้หลังจากนี้จะมีที่อยู่อาศัยที่ต้องถูกยึดและบังคับขายอีกเป็นจำนวนมาก ยังไม่นับรวมบริษัทก่อสร้างและแรงงานในตลาดที่จะได้รับผลกระทบ

แต่ปัญหาที่สำคัญคือเมื่อราคาที่อยู่อาศัยลดลงจะกระทบต่อความมั่นใจและความเชื่อมั่นของลูกหนี้ รวมทั้งเจ้าของที่อยู่อาศัยทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา และเกิดปัญหาต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของประชาชนในสหรัฐ ตามปกติสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ใช้จ่ายและบริโภคเกินตัว โดยปีที่ผ่านมามีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดถึง 800,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อประชาชนขาดความเชื่อมั่น ประเทศไทยในฐานะประเทศผู้ส่งออกก็จะได้รับผลกระทบและยังมีผลต่อตัวเลขการท่องเที่ยวด้วย

ทั้งนี้ ปัจจุบันสหรัฐอเมริกามีสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพี 340% จากเดิมที่มีเพียง 150% และมีโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะถดถอยประมาณ 60% ขณะนี้สหรัฐอเมริกากำลังแก้ไขปัญหาอยู่และผลกระทบก็ค่อนข้างซับซ้อนมาก เนื่องจากมีการใช้จ่ายเกินตัวมานาน

สถานการณ์ในเศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา สภาพคล่องในระบบตลาดเงินโลก ธนาคารกลางควบคุมอยู่เพียง 1% และธนาคารพาณิชย์ควบคุมอยู่ 9% ของตลาดเงินทั้งหมด ส่วนที่เหลืออีก 90% อยู่นอกระบบ จึงทำให้เกิดการใช้สภาพคล่องดังกล่าวไปสร้างเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ เช่น การแปลงหนี้จากสินทรัพย์ที่อ้างอิงกับหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ต่างๆ คิดเป็น 7-10 เท่าของอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก

ความมั่นใจที่มากเกินไปจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีมากกว่า 5% ต่อเนื่องกันหลายปี แม้จะมีการปรับลดลงบ้าง แต่ยังอยู่ในอัตราเฉลี่ย 5% ทำให้มีการจัดตั้งกองทุนส่วนบุคคลขึ้นมา โดยมีการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินเพื่อซื้อบริษัทจดทะเบียนที่มีผลการดำเนินงานดีมีหนี้อยู่ในระดับต่ำออกมาจากตลาดหลักทรัพย์ ขณะที่มีเงินทุนเพียง 1 ใน 10 ของเงินที่ซื้อสินทรัพย์ทั้งหมดเท่านั้นและร่วมมือกับสถาบันการเงินเพื่อออกตราสารที่อ้างอิงกับสินทรัพย์ดังกล่าวมาขายและเกิดปัญหาอยู่ในขณะนี้

ดังนั้น เมื่อนักลงทุนกลัวความเสี่ยงตัดสินใจทิ้งตราสาร รวมทั้ง CDOs ด้วยราคาจึงลดลงอย่างมาก เป็นผลกระทบไปทั่วโลก โดยธนาคารกลางยุโรปเป็นผู้ลงทุนใน CDOs มากที่สุดเพราะส่วนใหญ่มีสถานะเป็นกึ่งรัฐ

ปัญหาที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาขณะนี้แตกต่างจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ของประเทศไทย เนื่องจากเป็นปัญหาที่อยู่อาศัย เป็นเรื่องของประชาชนทุกคนในประเทศ ขณะที่ปัญหาของไทยเป็นปัญหาของบริษัท เมื่อเกิดปัญหาก็สามารถไปดำเนินการเฉพาะส่วนได้ เช่น ปิดกิจการ ควบรวม เพิ่มทุน

แต่สำหรับกรณีนี้ประเทศในเอเชียทั้งหมด รวมทั้งประเทศไทยจะต้องช่วยเหลือตนเอง โดยเน้นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ไม่ใช่เน้นเฉพาะการส่งออก รัฐบาลต้องเปิดโอกาสให้มีการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น ภาคส่วนใดที่มีกฎเกณฑ์มากก็ควรไปแก้ไข

น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้สำหรับประเทศไทย


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 30 สิงหาคม 2550 เวลา:23:30:48 น.  

 
...สวัสดีค่ะ...

อ้อมแอ้มอกหักอีกแล้ว..ฮือๆ..ทำไงดีค้า ฮือๆ


โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 31 สิงหาคม 2550 เวลา:15:51:36 น.  

 
ตัดจากเวบไซด์สืบ นาคะเสถียร






ภาษาอังกฤษ
(english page)


ความคิดและอุดมการณ์

แนวความคิดเรื่องการอนุรักษ์และการพัฒนา
แต่อย่างไรก็ตามการอนุรักษ์ทรัพยากรอย่างใดอย่างหนึ่ง มิได้หมายถึงการเก็บรักษาโดยไม่นำมาใช้ประโยชน์ แต่เป็นการใช้อย่างถูกต้องโดยวิธีที่จะใช้ทรัพยากรที่เหลือ อยู่ดังกล่าว สามารถอำนวยประโยชน์ไม่เฉพาะทางใดทางหนึ่ง แต่สามารถอำนวยประโยชน์ให้ในทุก ๆ ด้าน และยังคงมีเหลืออยู่มากพอที่จะเป็นทุนให้เกิดการพอกพูนขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้อีก และยั่งยืนต่อไปในอนาคต ดังนั้น ผลที่จะเกิดขึ้นจากการอนุรักษ์ มิได้เป็นประโยชน์เฉพาะคนที่อยู่ในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังคงสามารถอำนวยประโยชน์ต่อไปชั่วลูกชั่วหลานต่างหาก
หนังสือเสียงเพรียกจากพงไพร.ธันวาคม ๒๕๓๓


ผมอยากเห็นว่า เราควรจะเปลี่ยนแนวทางที่จะพัฒนา ในความเห็นส่วนตัว ผมไม่เห็นด้วยกับการดำเนินการพัฒนาโดยใช้ทรัพยากรที่เหลืออยู่น้อยนิดนี้ ผมไม่เห็นด้วยที่มัวพูดกันว่า เราจะใช้ทรัพยากรอย่างไรเพื่อการพัฒนาประเทศ แต่เราควรจะหันมาสนใจว่า เราจะรักษาสภาวะแวดล้อมหรือทรัพยากรที่เหลืออยู่จำกัดได้อย่างไร เราต้องประหยัดการใช้ใช่ไหม เราจะต้องหามาตรการควบคุมในทางปฏิบัติให้ได้
สารคดี ฉบับ ๖๕ หน้า ๙๕ ,กรกฎาคม ๒๕๓๓


จะเป็นไปได้ไหมที่รัฐบาลจะเปิดใจกว้าง โดยการให้ทุกฝ่าย ทั้งประชาชน ผู้นำในท้องถิ่น ผู้แทนราษฎร นักวิชาการที่เกี่ยวข้อง มาพูดคุยร่วมกัน คือบางคนอาจจะต้องรับสถานภาพของบางกลุ่ม ข้าราชการอาจต้องยอมรับสถานภาพของประชาชน คือ ลดตัวลง ในขณะเดียวกันก็เพิ่มฐานะของเขาให้ขึ้นมามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาร่วมกัน แทนที่จะพูดกันคนละที
สารคดี ฉบับ ๖๕ หน้า ๙๙ ,กรกฎาคม ๒๕๓๓


ผมคิดว่ามันหมดยุคแล้ว มันควรจะมาถึงยุคที่ทุกคนมีความเสมอภาคในการแสดงความคิดเห็น ช่วยกันแก้ปัญหา เพราะปัญหาสิ่งแวดล้อมมันไม่ได้เกิดขึ้นกับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
สารคดี ฉบับ ๖๕ หน้า ๙๙, กรกฎาคม ๒๕๓๓

แนวความคิดเรื่องการรักษาป่า

ผมว่าประเทศไทยถ้าสามารถเก็บป่าธรรมชาติเอาไว้ได้ประมาณร้อยละ ๒๐ แล้วเราใช้อย่างถูกต้อง หมายถึง เก็บเอาไว้เพื่อให้มันอำนวยประโยชน์ในแง่ของการควบคุมสภาวะแวดล้อมอะไรต่าง ๆ เป็นแหล่งผลิตของธาตุอาหาร หรือความอุดมสมบูรณ์ให้กับพื้นที่ลุ่มน้ำตอนล่าง ถ้าเราใช้ป่าทั้งหมดที่เป็นแหล่งกำเนิดของความอุดมสมบูรณ์ไปแล้ว เราจะไปหาความอุดมสมบูรณ์ได้ที่ไหน
สารคดี ฉบับ ๖๘ หน้า ๑๐๕,ตุลาคม ๒๕๓๓


สิ่งที่ผมมักพูดอยู่เสมอก็คือ ป่าเราเก็บไว้เฉย ๆ ก็เป็นการอนุรักษ์ที่เราได้ประโยชน์ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องตัดมาใช้ ต้นไม้ให้อากาศ ให้น้ำ...นี่เป็นการใช้ใช่ไหม ใช้โดยที่เราไม่ต้องไปตัดเอาส่วนของมันมาใช้
สารคดี ฉบับ ๖๕ หน้า ๙๓, กรกฎาคม ๒๕๓๓


ในความรู้สึกของผม เราไม่ต้องมานั่งเถียงกันหรอกว่า เราจะใช้ป่าไม้อย่างไร เพราะมันเหลือน้อยมากจนไม่ควรใช้ จึงควรจะรักษาส่วนนี้เอาไว้ เพื่อให้เราได้ประโยชน์ที่เป็นประโยชน์ทางอ้อม...มันจะต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า การอนุรักษ์ การใช้ประโยชน์ จะต้องมองว่ามีการใช้ทั้งทางตรงทางอ้อม ป่าที่เก็บไว้ในรูปเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติควรจะใช้ประโยชน์ในทางอ้อม” สารคดี ฉบับ ๖๕ หน้า ๙๔,กรกฎาคม ๒๕๓๓


ถ้าเผื่อเรามีทรัพยากรที่เป็นลุ่มน้ำอยู่มาก แล้วเรารักษาป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ได้บางส่วน ใช้ไปบางส่วน เหมือนสมัยที่เรามีป่ามาก เราอาจจะสร้างเขื่อนได้บางแห่ง แต่ในปัจจุบัน ลักษณะของพื้นที่ที่เป็นลุ่มน้ำที่เหมาะจะสร้างเขื่อนให้ได้ปริมาณน้ำมาก ๆ เอามาผลิตกระแสไฟฟ้ามันเหลือน้อย และการที่เราสร้างเขื่อนไปก่อน แล้วค่อยตามแก้ไขผลกระทบทีหลัง ผมคิดว่ามันไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ ในทางปฏิบัติ...เดี๋ยวนี้เขื่อนเริ่มจะเข้าไปในพื้นที่อนุรักษ์แล้ว เพราะว่าป่าข้างนอกหมดแล้ว อย่างที่เขาใหญ่ก็เริ่มจะพูดถึงการสร้างเขื่อนในพื้นที่อนุรักษ์ หากว่าการสร้างเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้ายังทำได้อีกต่อไป ผมคิดว่าป่าอนุรักษ์ในอนาคตคงไม่มีความหมายอะไร เหลือแต่ชื่อเอาไว้ว่า เคยเป็นป่าอนุรักษ์มาก่อน
สารคดี ฉบับ ๖๕ หน้า ๙๖,กรกฎาคม ๒๕๓๓


ถึงแม้จะมี พ.ร.บ.ป่าไม้ แต่ป่าไม้เมืองไทยก็ยังลดลงตลอดเวลา นโยบายป่าไม้แห่งชาติ จึงออกมาเพื่อควบคุม พ.ร.บ.ป่าไม้อีกที โดยเขาแบ่งป่าออกเป็น ๒ ลักษณะ คือ ป่าอนุรักษ์กับป่าเศรษฐกิจ โดยให้ป่าเศรษฐกิจ ๒๕% กับป่าอนุรักษ์ ๑๕% ซึ่งจะทำให้พื้นที่ป่าไม้ของประเทศทั้งหมด ๔๐% ซึ่งมองแล้วมันดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันจะเพิ่มในแง่ของป่าเศรษฐกิจ พวกยูคาลิปตัส ซึ่งไม่ได้เน้นในเรื่องของระบบนิเวศวิทยา การที่เราปลูกไม้โตเร็ว ๒-๓ ชนิด แล้วไปตัดไม้ในป่าธรรมชาติ ผมคิดว่ามันไม่มีทางรักษาป่า หรือทำให้เป็นป่าธรรมชาติได้อีก สำหรับป่าธรรมชาติตอนนี้เหลืออยู่เพียง ๑๙% ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นป่าอนุรักษ์ต้นน้ำ ลำธาร อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ประมาณ ๙% ส่วนอีกไม่ถึง ๑๐% เป็นป่าสงวนที่อยู่รอบ ๆ ป่าอนุรักษ์ ตัวนี้แหละที่ถูกราษฎรบุกรุกอยู่ทุกวันโดยอ้างว่าไม่มีที่ดินทำกินและมีการซื้อขายอย่างผิดกฏหมาย โดยพวกนายทุนที่อยู่ในเมืองหรือมีอิทธิพล หนทางแก้ไข มันต้องหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งอันนี้ต้องมีการประสานกันทุกฝ่าย หน่วยงานของรัฐทุกแห่ง ต้องรับรู้นโยบายกันบ้าง แล้วก็ทำให้ชาวบ้านรู้สึกว่า ถ้าเขาขายที่ดินอันนี้ไปแล้ว เขาไม่มีทางไปอีกนั่นแหละจึงจะสามารถหยุดปัญหานี้ได้
พีเพิล ฉบับ ๒๑ หน้า ๖๑,สิงหาคม ๒๕๓๓


ถึงแม้จะหยุดป่าสัมปทานแล้วก็ตาม แต่ราษฎรที่บุกรุกอยู่ในเขตป่าสงวนตอนนี้ ล้านกว่าครอบครัว ป่าไม้ที่ไหนจะเหลือ นอกจากความจริงใจของรัฐบาล เค้าบอกว่าจะต้องรักษาป่าให้ได้โดยการจำแนกพื้นที่ออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และบอกเลยว่าป่าสงวนตรงนี้ห้าม ห้ามมีกรรมสิทธิ์ ห้ามเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ตอนนี้ป่าหมดเพราะอะไรรู้ไหม เพราะป่าสงวนหมดสภาพ สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นป่ายูคาลิปตัสได้ ผมไม่อยากจะเรียกป่า เพราะมันไม่ใช่ป่า
อิมเมจ ฉบับ ๓ หน้า ๓๒,มีนาคม ๒๕๓๓

แนวความคิดเรื่องการอนุรักษ์สัตว์ป่า

การอนุรักษ์สัตว์ป่าในประเทศไทย จะสามารถประสบผลสำเร็จได้ต้องอาศัยความเข้าใจ และความจริงใจต่อการอนุรักษ์ป่าธรรมชาติที่ยังเหลืออยู่ประมาณร้อยละ ๒๐ ของพื้นที่ทั้งประเทศ ไม่เช่นนั้นแล้วจำนวนชนิดของสัตว์ป่าที่หายากและกำลังจะสูญพันธุ์เหล่านี้ก็จะต้องสูญไป พร้อมกับการบุกรุกทำลายป่า ทั้งในรูปแบบของการพัฒนาที่ต้องตัดป่า ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าออกและรวมถึงการยึดถือครอบครองพื้นที่ป่าเพื่อกิจการอื่น ๆ
เอกสารประกอบการสัมมนาสิ่งแวดล้อม ๓๓ หน้า ๔๒


ปัญหาของการอนุรักษ์สัตว์ป่าที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ช่องว่างของกฏหมายที่อนุญาตให้บุคคลมีสัตว์ป่าไว้ครอบครองโดยไม่ต้องขออนุญาต สิ่งนี้เป็นช่องทางให้การล่าสัตว์ มันเหมือนกฎหมายสัตว์ป่าที่คุณบอกว่า คุณสามารถที่จะมีเก้ง มีกวาง มีเสือ มีหมาไน หมาจิ้งจอก เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง พวกนี้มีไว้ในครอบครองได้ ถ้าไม่เกินปริมาณที่กำหนด ทำไมในเมื่อเราคุ้มครองแล้ว ทำไมเราไม่คุ้มครองมันทุกตัว แก้กฎหมายสิ
อิมเมจ ฉบับที่ ๓ หน้า ๓๑,มีนาคม ๒๕๓๓


สัตว์ป่าที่ถูกเลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก ๆ ถ้าสามารถรอดชีวิตมาได้จนโต จะคุ้นเคยกับคน จนไม่สามารถปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไปในป่าได้ตามลำพังอีก... และส่วนมากลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่อยู่ในกรง ก็มักจะไม่แข็งแรง และเมื่อมันโตขึ้นก็จะเกิดการผสมกันเองในครอบครัวเดียวกัน... เรากำลังพูดกันมากว่าจะอนุรักษ์กันอย่างไร แต่ต้องเข้าใจก่อนว่าการรักษาชีวิตสัตว์ให้รอดอยู่ แตกต่างอย่างมากมายกับการอนุรักษ์พันธุ์ของสัตว์ป่าชนิดนั้น ๆ
เอกสารประกอบการสัมมนาสิ่งแวดล้อม ๓๓ หน้า ๔๓-๔๔


พวกที่ชอบล่าสัตว์ป่าและพวกชอบกินเนื้อสัตว์ป่า ผมขอเถอะ พวกที่ชอบซื้อสัตว์ป่ามาเลี้ยงก็เช่นกัน ธรรมชาติเขาเลี้ยงได้ดีกว่าอยู่แล้ว
สารคดี ฉบับ ๖๕ หน้า ๑๐๐,กรกฎาคม ๒๕๓๓

ในแง่ของการอนุรักษ์ คือการที่เราจะช่วยเหลือไม่ให้มันสูญพันธุ์ การทำให้มันมีประชากรเพิ่มขึ้น จะเป็นในกรงเลี้ยงหรืออะไรก็ตาม ถ้าเราไม่สามารถปล่อยมันคืนไปในป่าธรรมดา ให้มันปรับตัวแลัวเพิ่มประชากรโดยตัวของมันเองได้ นั่นไม่ถือว่าเป็นการอนุรักษ์ แล้วพันธุ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติมีวิวัฒนาการ ปรับตัวให้อยู่ได้ในสภาพธรรมชาติ แต่ถ้าเราเอามันออกมาทำให้มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น แต่พันธุ์ไม่ได้รับการพัฒนา สัตว์ที่ถูกจำกัดให้อยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ มันก็จะผสมพันธุ์กันเอง ซึ่งจะทำให้เกิดลักษณะด้อยเพิ่มขึ้น
สารคดี ฉบับ ๖๘ หน้า ๑๐๕,ตุลาคม ๒๕๓๓


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 1 กันยายน 2550 เวลา:8:35:14 น.  

 

บางทีการนั่งนึกย้อนอดีต
ทำให้เราได้เรียนรู้บางสิ่ง
และเติบโตขึ้นนะ


โดย: p_tham วันที่: 4 กันยายน 2550 เวลา:8:15:37 น.  

 
สวัสดีครับ

รู้สึกเหงา ๆ เหมือนกันช่วงนี้ขอลาไปเที่ยวสามวันแล้วจะกลับมาเขียนต่อ

วันเสาร์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปฟังคอนเสริตที่คงหาฟังได้ยากในยุคนี้ ครั้งหนึ่งเคยไปฟังงานของอาจารย์สมาน กาญจนผลิน ที่โรงลครเล็ก เพลงเพราะมาก ๆ และท่วงทำนองหาฟังได้ยากในยุคนี้ แถมคนร้องก็ร้องได้ดีเสียด้วย โดยเฉพาะทายาทของคุณทนงศักดิ์ ภักดีเทวา

แล้วพบกันใหม่นะครับ


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 4 กันยายน 2550 เวลา:23:15:30 น.  

 
ไม่ได้แวะเข้ามานานมากเลยค่ะ
มาชวนไปทำบุญค่ะน่าสนใจนะค่ะอยากไปไหมค่ะ

แรม 8 ค่ำ เดือน 9
อีกหนึงพระที่ใจสุข
อนุโมทนาบุญมายัง..
กัลยาณมิตร..ผู้แสนประเสริฐค่ะ


เนื่องด้วยวันศุกร์ที่ 7 กันยายายนนี้
พวกเราจะไปถวายพระไตรปิฏกกับบล็อกคุณสะเทื้อนกันค่ะ
เพื่อนๆท่านใดต้องการทราบรายละเอียดตามลิงค์นี้ไปได้เลยค่ะhttps://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aomamm&month=09-2007&group=3&date=01&gblog=11
แล้วเราจะเอาบุญมาฝากทุกๆๆคนเลยนะค่ะ อนุโมทนาค่ะ





โดย: catt.&.cattleya.. วันที่: 5 กันยายน 2550 เวลา:13:56:58 น.  

 
แฟนเราอยู่ ป.6 นะ..ตอน 14 ตุลา 16..
แถมจับพลัดจับผลูหนีระเบิดเข้าไปในวังสวนจิตรด้วย...อะไรจะปานนั้น..
(พอดีบ้านอยู่แถวซอยระนอง 1)
ส่วนเราอยู่บ้าน(แต่ 13 ตุลา 2516 อยู่ที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไต..หุ หุ หุ..
(ถึงเป็นเนื้อคู่กันไง...)


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 6 กันยายน 2550 เวลา:10:44:02 น.  

 
แวะมาเยี่ยมฮะ..เจ้าของบ้านกลับมารึยังเอ่ย..
ถ้าไปไปเที่ยวไกล..หุ หุ หุ.


โดย: katoy วันที่: 7 กันยายน 2550 เวลา:11:59:30 น.  

 
สวัสดีครับ

หายไปนานจนหลายคนคงลืมไปแล้ว
ยังไงก็จะเขียนบันทึกต่อไปนะครับ

ช่วงเวลาที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปนั่งดูดวงชะตา
ซึ่งพื้นฐานเป็นคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้เท่าไร

เขาบอกให้ไปนั่งสงบ ๆ ในวัดสิบวัน
เพื่อแก้ดวงตัวเอง

ยังไม่อยากจะเชื่อหรอกนะ
แม้ยามนี้จะรู้ว่าชีวิตมันจะย่ำแย่เพียงใด

ชอบศึกษาศาสนาในเชิงที่เป็นวิทยาศาสตร์และรู้จักจิตวิญญาณของตัวเองมากกว่า

รู้ว่าที่ผ่านมาเราทำกรรมใดไว้
และรู้ว่าหากเดินไปตามทางของมรรคแปด
อย่างต่อเนื่อง ชีวิตก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น

ช่วงนี้คงต้องมีสมาธิมากขึ้น
และวางแผนการดำเนินชีวิตให้เป็นระบบมากขึ้น
ไปให้ไกลจากอารมณ์ด้านลบทั้งปวง
ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
สำหรับปุถุชนคนหนึ่ง

หวังว่าเพื่อนทุกคนคงสบายดีนะครับ


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 12 กันยายน 2550 เวลา:22:43:05 น.  

 
เข้ามาร่วมรำลึกเหตุการณ์ในอดีตค่ะพี่คนเดินดิน
อดีต เป็นส่วนหนึ่งของปัจจุบันและอนาคตค่ะ


โดย: rebel วันที่: 16 กันยายน 2550 เวลา:20:14:10 น.  

 
คัดจากกรุงเทพธุรกิจ

การบริหารรัฐ จัดการธุรกิจ:แสวงหาการเมืองใหม่

18 กันยายน พ.ศ. 2550 07:00:00


กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : พรุ่งนี้คือวันครบรอบ 1 ปีของการทำรัฐประหารล้มรัฐบาลอดีตนายกฯ ทักษิณ โดยทหาร คมช. ด้วยข้อหาหลายประการ โดยเฉพาะการทุจริตคอร์รัปชัน ถือเป็นช่วงเวลาที่หลายฝ่ายต่างต้องพากันมองย้อนกลับไปว่า การทำรัฐประหารที่ทำไปนั้น คุ้มค่าหรือไม่เพียงใด ? กับสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่มีการตั้งตามข้อกล่าวหา 4 ข้อ ได้หรือไม่

โดยที่สำคัญยิ่งกว่าคือ การกำหนดเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญใหม่ในปลายปีนี้ ตามที่ได้ประกาศไว้แล้วนั้น ในที่สุด จะทำให้เศรษฐกิจและสังคมดีขึ้นได้หรือไม่ เพราะทั้งสองสิ่งนี้จะดีขึ้นได้หรือไม่ จะขึ้นอยู่กับการเมืองที่ควรมีพัฒนาการที่ดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งรัฐธรรมนูญที่แก้ไขใหม่ได้พยายามปิดจุดอ่อนไว้

แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับการต้องการการเมืองใหม่ที่มีประสิทธิภาพ มีความสามารถและคนดีคนเก่งที่ซื่อสัตย์ เข้ามาหมุนกลับประเทศให้ไปสู่ทิศทางที่ต้องการ คือ เข้มแข็งด้วยความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้น กับการดำเนินชีวิตตามทันโลก "ยุคโลกาภิวัตน์" ได้ด้วยระบบเศรษฐกิจพอเพียง

เมื่อการเลือกตั้งใกล้เข้ามา โดยเริ่มมีการเตรียมการนั้น กลุ่มต่างๆ ได้ออกมาเคลื่อนไหวกันคึกคักมากมาย แต่ผลสะท้อนออกมาที่ปรากฏในทุกวันนี้ คือ ไปถึงไหนและพบใคร ทุกคนต่างส่ายหน้า เบื่อหน่ายกับภาพของการเมืองที่กำลังเกิดขึ้น โดยเฉพาะภาพของตัวบุคคล ที่เรียกชื่อว่า "นักการเมืองอาชีพ" ที่มีแต่หน้าเก่าๆ ยังคงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวงการ

ทำให้ต่างสรุปกันไปล่วงหน้าว่า อย่าไปหวังว่า การเมืองของไทยจะดีขึ้น โดยศรัทธาต่อการเมืองที่หวังว่าจะฟื้นกลับต้องถดถอยลงไปอีก จากสาเหตุที่นักการเมืองหน้าเก่าทั้งหลายยังคงเป็นกลุ่มใหญ่ โดยไม่มีนักการเมือง "น้ำดี" หน้าใหม่ออกมา รวมทั้งกลุ่มต่างๆ ที่เตรียมตัวตั้งพรรคต่างยังไม่มีการเสนอ "นโยบายการบริหาร" ใหม่ที่ดีออกมา

แสดงว่า การเมืองไทยยังคงมีสภาพ "สุกเอาเผากิน" ขึ้นกับการแสวงหาประโยชน์กันเฉพาะหน้า ไม่ต่างไปจากร้านขายของชำ ที่ไม่ได้เลือกเฟ้นอุดมการณ์ ไม่มีการจัดตั้ง การหาสมาชิกกับการบริหารที่ดีพอ ความหวังเรื่องการเมืองใหม่ที่จะดีขึ้นจึงหมดไป และกลับถอยหลังไปอีกเมื่อมีการออกมาชูประเด็นว่า จะมีการขอนิรโทษกรรมบรรดานักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิทั้งหลาย อันเป็นกลุ่มคนต้นเหตุที่ทำให้ต้องทำรัฐประหารไป ให้กลับมาเล่นการเมืองได้เหมือนเดิม

นับเป็นอีกครั้งของความเป็นจริงเรื่อง "หลักการมีเอาไว้ให้ยกเว้น" และ "ข้อยกเว้น สามารถยกเอาขึ้นมาใช้แทนหลักการได้ทุกเวลา" โดยไม่ต้องคำนึงถึงเหตุผลความถูกต้อง สะท้อนถึงการทำผิดแล้ว ไม่มีการจดจำ และพร้อมจะทำผิดซ้ำซาก อันทำให้ฉุดประเทศพัฒนาประเทศเดินไปข้างหน้าไม่ได้ ในอีกทางเท่ากับแสดงให้เห็นว่า "ธนกิจการเมือง" ยังคงเป็นใหญ่และมีอำนาจอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง และพร้อมจะสร้างปัญหาให้กับประเทศต่อไปไม่รู้จบ

จนถึงกับมีการทายกันแล้วว่า รัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้งจะอยู่ได้ในระยะสั้น เพียงหนึ่งปีครึ่งเท่านั้น ตรงนี้เองทำให้ต้องย้อนกลับมาคิดหาทางกันว่า ทำอย่างไรจึงจะแก้ปัญหานี้ให้หมดไปได้ ทั้งนี้ เพื่อให้คุ้มค่ากับการเสียเวลาและโอกาสที่ได้ทำปฏิวัติรัฐประหารไปแล้ว รวมกับหลายๆ ครั้งก่อนหน้า

ตามปกติคำกล่าวจากประวัติศาสตร์ทางตะวันตก เส้นทางของผู้มีอำนาจจะมาจาก 3 ขั้นตอน คือ

หนึ่ง การทำสงครามสู้รบเพื่อครอบครองทรัพยากร เป็นชาติที่มีความมั่นคง

สอง ด้วยความเป็นชาติที่มั่นคงและมีการปกครองที่ดี จะช่วยให้รุ่นลูกหลานเข้าสู่โอกาสการต่อสู้ทางการเมืองที่ดี เพื่อให้ได้รับความนิยมศรัทธาและยอมรับจากมวลชน

สาม จากนั้นด้วยการเมืองที่ดี ย่อมจะนำมาซึ่งโอกาสการทำธุรกิจที่สร้างความมั่งคั่งร่ำรวยจากการเข้าสู่การทำธุรกิจได้ด้วยกติกาที่เป็นธรรม

แต่พัฒนาการของการเมืองไทยดูจะเดินสวนทางกัน โดยธนกิจการเมือง ต่างสร้างความร่ำรวยจากการทุจริต ติดสินบนเพื่อการผูกขาด หรือวิ่งหาธุรกิจสัมปทาน จนเติบใหญ่มีอิทธิพลเหนือการเมือง พร้อมกับการเอาเปรียบสังคมหรือกีดกันรายย่อย หรือด้วยการมอมเมามวลชน ซึ่งนำมาสู่สังคมที่อ่อนแอ และการพัฒนาที่ไม่คืบหน้า

ทำให้ปัญหาพื้นฐานเป็นปัญหาเรื้อรังที่แก้ไขไม่ได้ นั่นคือ ปัญหาคุณภาพคนหรือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ดังที่นายกฯ พล.อ.สุรยุทธ์ ยกขึ้นมากล่าวอีกครั้งว่า เป็นภาระสำคัญที่รัฐบาลหลังเลือกตั้งต้องเร่งทำ ซึ่งผมยังไม่เห็นว่า จะทำได้อย่างไร ในท่ามกลางสภาพการเมืองแบบนี้ แต่ก็ไม่ควรจะหมดหวังท้อแท้ และยังมีความหวังและอยากหวังให้มีสิ่งใหม่เกิดขึ้นในวงการเมืองไทย ซึ่งในอดีตเคยเกิดขึ้นมาแล้ว นั่นคือ

หนึ่ง การเกิดการเมืองแนวใหม่ ดังเช่น การริเริ่มสร้างระบบพรรคการเมือง ที่มีการเตรียมความพร้อมในการเข้าบริหารประเทศ โดยมีการจัดทำ "แผนงาน นโยบายกลยุทธ์ต่างๆ" ดังเช่นที่พรรคกิจสังคมในอดีตได้เคยทำไว้

สอง การมีคนรุ่นใหม่เข้าสู่การเมืองมากขึ้น ทั้งผู้นำคนหนุ่ม ดังเช่นอดีตประธานาธิบดีคลินตัน และอดีตนายกฯ โทนี แบร์ ที่เป็นผู้นำอายุน้อยกับการมีสมาชิกหน้าใหม่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะ สมาชิกที่มีอายุน้อย กับกลุ่มสตรีที่มีบทบาททางการเมืองมากขึ้น

สาม มีการริเริ่มและพัฒนานำเสนอ "นโยบายการบริหารประเทศใหม่ๆ ที่ชัดเจน และใช้แก้ไขปัญหาพื้นฐานของประเทศ รวมถึงการช่วยให้เห็นถึงโอกาสพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าได้" โดยให้มีมากกว่า "นโยบายด้านการตลาดการเมือง" หรือด้วยกลเม็ดการหาเสียงที่แปลกใหม่

ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่การเลือกตั้งครั้งนี้ ประชาชนควรช่วยกันกดดันให้พรรคและกลุ่มการเมืองต่างๆ ต้องนำการเมืองใหม่มาสู่ประชาชน โดยตัดทิ้งนักการเมืองหน้าเก่า โดยให้เก็บขึ้นหิ้งไว้เป็นของ "ลายคราม" เสนอขาย "ผู้นำพรรคกับทีมงานหน้าใหม่" พร้อมกับ "นโยบายการบริหารใหม่ที่ชัดเจนและครบด้าน" เพื่อใช้ชี้ให้ประชาชนคนไทยเห็นว่า จะนำประเทศไทยออกจากหล่มเก่าๆ ของ "ธนกิจการเมือง" กับ "นักการเมืองน้ำเน่า" ได้อย่างไร ?

ธงชัย สันติวงษ์ คณะพาณิชย์ฯ ม.ธรรมศาสตร์




โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 18 กันยายน 2550 เวลา:21:22:49 น.  

 
คัดจากกรุงเทพธุรกิจ Bizweek

ปัจจัยลบทางเศรษฐกิจที่ต้องจับตามอง

หากถามนักธุรกิจในขณะนี้ว่า “ปัจจัยทางเศรษฐกิจใดที่ภาคธุรกิจห่วงใยมากที่สุด” คำตอบที่ได้คงจะหนีไม่พ้นเรื่องค่าเงินบาทแข็ง ปัญหาทางการเมืองไทย ราคาน้ำมันที่ยังคงทรงตัวสูง และปัญหาเศรษฐกิจระหว่างประเทศ คือปัญหาสินเชื่อคุณภาพต่ำของสหรัฐ ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดที่กล่าวมายังไม่มีความชัดเจนเลยสักเรื่อง



เริ่มต้นที่ปัญหานอกประเทศไทยก่อนคือ ปัญหาสินเชื่อคุณภาพต่ำของสหรัฐ หรือซับไพรม์ ที่ในขณะนี้ยังไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าจะมีผลกระทบมากน้อยเพียงใด ยาวนานแค่ไหน และรุนแรงเพียงไร ทุกคนได้แต่หวังว่าปัญหานี้น่าจะคลี่คลายได้โดยเร็ว และหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐจะลดอัตราดอกเบี้ย Fed Fund Rate ลง 0.5% หรืออย่างน้อย 0.25% ในวันที่ 18 กันยายนนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาซับไพรม์

เมื่อวิเคราะห์คำพูดของ เฮนรี พอลสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ ที่ได้กล่าวไว้ในช่วงต้นเดือนกันยายนนี้ว่า ภาวะไร้เสถียรภาพที่ครอบงำตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้กู้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (ซับไพรม์) ในปัจจุบัน อาจคงอยู่ยาวนานกว่าความปั่นป่วนในตลาดที่เกิดขึ้นหลังวิกฤติการเงินเอเชียเมื่อปี 2540 และการผิดนัดชำระหนี้ของรัสเซีย หรือวิกฤติหนี้ละตินอเมริกา

ความซับซ้อนและการจัดจำหน่ายหุ้นในตลาดโลก เป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้วิกฤติสินเชื่อยืดเยื้อต่อไปอีกระยะเวลาหนึ่ง และปัญหานี้ต้องใช้เวลาแก้ไขนานกว่าวิกฤติอื่นๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แสดงให้เห็นว่าปัญหานี้ อาจเป็นปัจจัยที่รบกวนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่สำคัญในอนาคต เนื่องจากเป็นปัญหาที่อาจใช้ระยะเวลาในการคลี่คลายนานพอสมควร

ปัญหาซับไพรม์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐในขณะนี้ คาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจของสหรัฐมีแนวโน้มชะลอตัวลง ซึ่งจะส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ประกอบการของสหรัฐ ปรับตัวลดลงตามไปด้วย ทำให้การบริโภคและการลงทุนในสหรัฐ มีแนวโน้มลดลง ในที่สุดจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยและภาคการส่งออกของหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศในอาเซียน จีน และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยรองจากสหรัฐ ดังนั้นการส่งออกของไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงได้ในอนาคต หากปัญหาซับไพรม์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐ มีผลกระทบที่รุนแรง

ปัญหาต่อมาคือค่าเงินบาท ที่แม้ว่าในปัจจุบันจะอ่อนค่าลงจากช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ที่เงินบาทมีค่าประมาณ 33.3 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยในปัจจุบันค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับประมาณ 34.3 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

การที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงนั้น คงต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งมาจากการออกมาตรการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือการเปิดโอกาสให้มีการถือครองดอลลาร์สหรัฐของผู้ส่งออกได้ยาวนานขึ้น และการอนุญาตให้เปิดบัญชีเงินฝากในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐของคนไทยเป็นครั้งแรก

แต่ก็ต้องยอมรับอีกเช่นกันว่า ปัญหาซับไพรม์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐ สร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นในตลาดหุ้นทั่วโลก ทำให้มีการถอนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยไปบางส่วน ประกอบกับการที่เงินทุนจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ดน้อยลงในปัจจุบัน เป็นปัจจัยเสริมให้เงินบาทอ่อนค่าทรงตัวอยู่ในระดับปัจจุบัน

หากปัญหาซับไพรม์เริ่มคลี่คลายลง การไหลเข้ามาของเงินทุนเพื่อลงทุนในตลาดหุ้นไทย อาจเกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งอาจเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสที่สี่ของปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงใกล้วันเลือกตั้ง ทั้งนี้จากปัจจุบันจนถึงปลายปี ค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งขึ้นอีกอย่างน้อย 5% หรือ 1.0-1.50 บาท ไปสู่ระดับ 33.0-33.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ได้ในช่วงสิ้นปีนี้ ตามแรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์ที่มีแนวโน้มอ่อนลงจากปัญหาซับไพรม์

การที่ค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นนั้น ทำให้นักวิชาการและนักธุรกิจยังคงส่งสัญญาณให้ ธปท. และกระทรวงการคลัง ดูแลและจัดการให้ค่าเงินอ่อนค่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของภาคการส่งออกและเศรษฐกิจไทย ดังเช่นในงานสัมมนาเรื่อง “โครงการศูนย์วิเคราะห์รายงานสภาวะและเตือนภัยภาคอุตสาหกรรมระยะที่ 3” ดร.โอฬาร ไชยประวัติ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “How to manage macroeconomic policy of Thailand 2007” ว่า

เศรษฐกิจของไทยจะฟื้นตัวได้ต่อเนื่องและภาคอุตสาหกรรมจะอยู่รอดได้ กระทรวงการคลังและธปท.จะต้องดูแลอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับ 34-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ภายใน 3-6 เดือนนี้ ก่อนที่อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นอย่างสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม และเฟอร์นิเจอร์ จะต้องปิดกิจการลงอีกมาก ซึ่งจะนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจคล้ายปี 2540 โดยหลังจากค่าเงินบาทแข็งในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มปิดกิจการไปแล้วมากกว่า 300 ราย

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าจาก 41 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยแข็งค่าถึง 15% ขณะที่ค่าเงินหยวนของจีนแข็งค่าเพียง 8-9% เท่านั้น แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารค่าเงินของทั้งสองประเทศแตกต่างกันมาก

การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการส่งออกของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงาน และจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ กำไรจากการส่งออกของสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาก จะลดลงถึงระดับขาดทุน ซึ่งเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และจะกลายเป็น "ระเบิดลูกใหม่" ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการบริหารประเทศของรัฐบาล หาก ธปท.ยังไม่มีมาตรการ หรือความชัดเจนในการดูแลค่าเงินบาท ไม่ให้แข็งค่าไปมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค

ดังนั้น รัฐบาลปัจจุบันและรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ จะต้องตระหนักและให้ความสำคัญต่อการเข้ามาดูแลค่าเงินบาทอย่างเร่งด่วน

เรื่องต่อมาจะขอพูดถึง การปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลกอีกครั้งในช่วงนี้ แม้ว่าล่าสุดกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันหรือโอเปค จะมีมติเพิ่มการผลิตน้ำมันขึ้นอีก 500,000 บาร์เรลต่อวัน แต่ราคาน้ำมันในตลาดโลกก็ยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อไป โดยเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 78 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยนักวิเคราะห์ในวงการค้าน้ำมันคาดว่า ภาวการณ์ของตลาดน้ำมันยังคงตึงตัวจนถึงสิ้นปีนี้ และราคาน้ำมันยังคงทรงตัวในระดับสูง เนื่องจากความต้องการน้ำมันในระดับโลกยังคงขยายตัวในระดับสูง แม้ว่าจะมีปัญหาซับไพรม์เกิดขึ้นก็ตาม

การที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้มีการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลในประเทศสูงขึ้นอีก 40 สตางค์/ลิตร ส่งผลให้ราคาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปรับจากราคา 26.14 บาทต่อลิตร เป็น 26.54 บาทต่อลิตร

ทั้งนี้ แม้ว่าราคาน้ำมันดีเซลจะมีการปรับราคาขึ้นไปแล้ว แต่ ปตท.ยังคงบอกว่า ค่าการตลาดก็ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำคืออยู่ในระดับ 50 สตางค์ต่อลิตรเท่านั้น ทั้งนี้หากราคาตลาดโลกยังไม่ปรับลดลงมาอีก แนวโน้มราคาขายปลีกดีเซลก็มีโอกาสปรับขึ้นอีก

ดังนั้น การที่ราคาน้ำมันโดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซล ที่เป็นน้ำมันที่ใช้ในการขนส่งสินค้า และเป็นต้นทุนในการผลิตหลักของผู้ประกอบการ ปรับตัวสูงขึ้นในขณะนี้ และมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นอีกได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ซึ่งโดยปกติเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงสุดในรอบปี เนื่องจากเป็นช่วงฤดูหนาวของประเทศในแถบอเมริกาเหนือและยุโรป อาจทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศไทยปรับตัวสูงขึ้นได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยได้ในระดับหนึ่ง

สำหรับปัจจัยสุดท้ายคงเป็นเรื่องการเมืองไทย แม้ว่าภาครัฐบาลได้กำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปเป็นวันที่ 23 ธันวาคมนี้แล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีความกังวลอยู่มากว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในวันดังกล่าวแน่หรือไม่ สังเกตได้จากข่าวลือเรื่องการเลื่อนวันเลือกตั้ง เกิดขึ้นในห้องค้าของตลาดหุ้นไทยในปลายสัปดาห์ที่แล้ว

นอกจากนี้ การเมืองที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีพรรคใดลงสมัครรับเลือกตั้งบ้าง เพราะในขณะนี้ฝุ่นยังคงตลบในวงการเมืองไทย เพราะการจัดตั้งพรรคยังไม่เสร็จสิ้นหลายพรรค ตลอดจนหัวหน้าพรรคต่างๆ จะเป็นใครบ้างก็ยังไม่มีความชัดเจน ทำให้ในปัจจุบัน การวิเคราะห์การเมืองไทยยังไม่สามารถทำได้ง่ายนัก อย่างไรก็ตามภาพที่น่าจะเกิดขึ้น รัฐบาลใหม่คงเป็นรัฐบาลที่มาจากการผสมของหลายพรรคการเมือง ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลใหม่มีเสถียรภาพไม่มากนัก

จากปัจจัยต่างๆ ทางเศรษฐกิจที่ได้กล่าวมาข้างต้น เป็นเรื่องที่ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก ยังเป็นเรื่องที่คนไทยต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่าจะปรับตัวไปในทิศทางใด เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้มีผลกระทบอย่างมากต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยในปีนี้และในปีหน้าอย่างมาก พูดได้ว่าต้องจับตาอย่างใกล้ชิดและห้ามกะพริบตาเลยทีเดียว

--------------

ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 18 กันยายน 2550 เวลา:22:09:51 น.  

 
เวลาจะผ่านไป นานหรือไม่ อยุ่ที่ใจค่ะ

ช่วงเวลาที่เป้นความสุขนั้น เวลามันโบยบินค่ะ


โดย: กระจ้อน วันที่: 19 กันยายน 2550 เวลา:17:21:29 น.  

 
คัดจากผู้จัดการรายวัน


ธีรยุทธ บุญมี

โดย ชัยสิริ สมุทวณิช 19 กันยายน 2550 20:00 น.





ธีรยุทธ บุญมี




คุณธีรยุทธ บุญมี ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การเมือง รวมทั้งให้แนวโน้มสังคมไทยเมื่อเร็วๆ นี้ ผมเห็นว่าเป็นบทวิเคราะห์ที่ดีที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา รวมทั้งดีกว่าหลายชิ้นที่อาจารย์ธีรยุทธเคยวิเคราะห์สังคมไทยไว้ด้วย

สำหรับคนรุ่นหลังๆ ซึ่งอาจไม่ทราบข้อมูล และควรรับรู้ว่าอาจารย์นั้นเคยสอบเป็นที่หนึ่งของประเทศไทยด้วยคะแนนที่สูงยิ่ง แต่อาจารย์มิใช่แค่เป็นคนแก่เรียนไม่ทำกิจกรรม

ตรงกันข้าม นิสิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคนนี้ ได้รณรงค์ต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น และให้ใช้สินค้าไทย เช่น ผ้าดิบ เป็นต้น ทำให้เกิดการตื่นตัวเป็นครั้งแรกในสังคมไทยถึงภาวะเศรษฐกิจที่ถูกคุกคามจากต่างชาติ

และเป็นครั้งแรกที่เราเห็นขบวนแถวนักศึกษาเดินเป็นทิวแถวออกจากรั้วมหาวิทยาลัย โดยมีธีรยุทธ บุญมี นี่แหละครับเป็นหัวหอก

ผมเองขณะนั้นเป็นอาจารย์สอนวิชาการหนังสือพิมพ์อยู่คณะนิเทศฯ จุฬาลงกรณ์ฯ และใกล้ชิดกับธีรยุทธพอสมควร

จากการที่ได้พบกัน ผมเห็นว่าเขาเป็นเด็กที่ฉลาดมาก มีปัญญาล้ำเลิศ สนใจปัญหาสังคมและวิเคราะห์อะไรๆ ได้ดีกว่าคนอื่น อีกทั้งยังมีความเป็นผู้นำสูง ขณะที่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นด้วย

แม้ผมจะอยู่ที่จุฬาฯ แต่ผมก็ไปใกล้ชิดอยู่กับธรรมศาสตร์ รวมทั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กันเป็นครั้งคราว

ทั้งผมและพี่ชายสนิทกับ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ซึ่งเป็นคนที่เอาจริงเอาจัง ภาษาอังกฤษเวลานั้นดีมาก เพราะเคยไปเรียนทุน AFS ที่วิสคอนซินมาแล้ว

เสกสรรค์ ลุ่มลึก วิเคราะห์ปัญหาได้ทั้งกว้าง รอบด้าน และลึก อีกทั้งมีพรสวรรค์ในการจัดการ มีความเป็นผู้นำสูงหรืออาจเรียกได้ว่ามีบารมีในหมู่พรรคพวก และมักเห็นอกเห็นใจคนยากคนจนอยู่ตลอดเวลา

เอาเป็นเวลา... เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 นั้น เป็นเหตุที่ประจวบเหมาะหลายด้านด้วยกัน ทั้งสภาพสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองล้วนเป็นปัจจัย

มหาวิทยาลัยมีผู้นำนักศึกษาที่ดีที่สุด อาจจะดีที่สุดในรอบ 50 ปี และยังหาไม่ได้อีกแม้ถึงปัจจุบัน

ประเด็นที่สอง ได้แก่อาจารย์มหาวิทยาลัย เพิ่งกลับมาเป็นคนหนุ่มสาวที่เห็นการเดินขบวนในอเมริกา ในอังกฤษ ในนิวซีแลนด์ เห็นการประท้วงสงคราม

เกือบทุกคนเป็นพวกลิเบอรัล และจำนวนไม่น้อยมีความคิดแบบแรดดิคัล หรือออกมารุนแรง

ทั้งหมดหวังเปลี่ยนสังคมไทยให้ดีขึ้น

หลายคนเขียนหนังสือเก่ง และเปิดเวทีในสังคมศาสตร์ ปริทรรศน์ซึ่งเป็นเวทีของหนังสือวิชาการที่ขายอยู่ทั่วโลกในมหาวิทยาลัยที่มีนักวิชาการไทยไปเรียนอยู่ทั้งนั้น

ประเด็นที่สาม นิสิตนักศึกษาไทยเริ่มเปลี่ยนค่านิยมจากค่านิยมนึกเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ได้เริ่มมองสังคม เศรษฐกิจ และปัญหาการเมือง

ส่วนหนึ่งแน่ใจว่าหากสังคมไทยไม่เปลี่ยน พวกเขาจบออกมาก็จะหางานดีๆ ทำได้ยาก

ทั้งหมดคือปัจจัยหลักทำให้การเคลื่อนไหว 14 ตุลาฯ บรรลุเป้าหมาย

คราวนี้ลองมาฟังอาจารย์ธีรยุทธวิเคราะห์บ้าง

เป็นการเปิดแถลงข่าวเพื่อประเมินผล 1 ปีหลังมีการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549

ธีรยุทธวิเคราะห์อนาคตการเมืองไทยโดยเรียกรัฐบาลนี้ว่าเป็นรัฐบาลของฤาษี

เขาว่านายกฯ และรัฐบาลสอบตกโดยสิ้นเชิง

คือเป็นแค่รักษาการณ์เพื่อให้งานเดินไปได้เท่านั้นเอง ซึ่งแค่นี้จริงๆ ขาดทั้งวิสัยทัศน์ ไม่มีความเป็นผู้นำ ไม่มุ่งมั่นที่จะขจัดการคอร์รัปชัน ไม่นึกถึงภารกิจเชิงประวัติศาสตร์ของสังคมที่ต้องทำให้พ้นจากวิกฤต

อีกทั้งไม่ทำให้คนไทยและต่างชาติเข้าใจว่ากลุ่มอำนาจเก่านั้น มีความผิดอย่างไรบ้าง

ส่วน คมช.ธีรยุทธชี้ว่า ได้คะแนนแบบหวุดหวิด คือครูปัดคะแนนให้ผ่าน กลัวว่าจะมาสอบซ้ำ (หรือมารัฐประหารซ้ำอีก-หมายเหตุผู้เขียน)

ประธาน คมช.ได้คะแนนผ่าน เพราะว่ามีความพยายาม และตั้งใจดี

คตส.ได้คะแนนดี เพราะสืบหาหลักฐานจนดำเนินคดีระบอบอำนาจเก่าได้หลายคดี แต่จะได้คะแนนดีมาก หากขยายผลไปยังนักการเมืองที่คอร์รัปชันด้วย

สรุปแล้ว 1 ปีที่ผ่านมาของรัฐประหาร มีบทบาทจำกัดในการเปลี่ยนสังคม ไม่ควรมีการรัฐประหารในอนาคตอีกเพราะเปลี่ยนอะไรไม่ได้

นอกจากนี้พิสูจน์แล้วว่า อดีตข้าราชการและเทคโนแครตนั้นเป็นชนชั้นที่ไม่อาจนำพาประเทศได้อีกต่อไป เพราะวัฒนธรรมของข้าราชการไม่นิยมคนมีความสามารถ ไม่เน้นเรื่องประสิทธิภาพ ไม่มีวิสัยทัศน์ หรือความสำเร็จรวดเร็วทันเหตุการณ์

สำหรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นจะทดสอบและชี้ขาดว่าระบอบทักษิณจะสลายตัวหรือไม่ ตามหลักสังคมวิทยามันจะดิ้นรนอยู่ต่อ แต่เห็นว่าทักษิณคงจบไปแล้ว และการเลือกตั้งครั้งนี้มีเป้าหมายร่วมกันที่จะลดทอนจำนวน ส.ส.ของพรรคทักษิณ เพื่อให้สลายกลุ่มอำนาจเก่า

แต่การเลือกตั้งนี้ จะเกิด 4 สุดๆ ได้แก่ ซื้อเสียงแบบแหลกลาญมากที่สุด สกปรกที่สุด ใช้อำนาจรัฐมากที่สุด ฯลฯ

เขาเห็นว่าพรรคพลังประชาชน (ไทยรักไทยเดิม) จะไม่มีโอกาสเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพราะว่าภาคธุรกิจ สังคม การเมือง ช่วยกันโดดเดี่ยว และ พปช.ลงเลือกตั้งมากสุดประมาณ 200 คน ถ้าหัก ปชป.ราว 30 ที่นั่ง ในกทม. และ พปช.เสียที่นั่งในภาคกลาง อีสาน และเหนือไปเขตละ 1 ใน 3 ก็จะเสียไปอีก 35-36 คน ก็จะเหลือแค่ 110-135 คน เพิ่มปัจจัยบวกให้บ้าง ก็ได้ประมาณ 150 ส่วนฝ่ายค้านเดิมก็จะได้ประมาณ 275 คน เป็นแกนตั้งรัฐบาลได้

หลังเลือกตั้งจะเป็นโอกาสที่จะสลายวิกฤตทักษิณ และปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ เพราะอุตสาหกรรมการผลิตที่ราคาถูกของไทยหมดอนาคตแล้ว

นายกฯ คนใหม่ควรมีคุณสมบัติ 4 ประการ คือวิสัยทัศน์เศรษฐกิจ ทำงานเร็ว ผูกใจชาวบ้าน และภาคธุรกิจ มีชั้นเชิงและยืดหยุ่นทางการเมืองและรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลได้

ครับ.... ผมเห็นว่านี่น่าจะเป็นการวิเคราะห์วิจารณ์ที่ตรงโดนใจคนจำนวนมากเลยครับ!










โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 19 กันยายน 2550 เวลา:23:18:18 น.  

 
คัดจากมติชนรายวัน

หนึ่งปี หลังระบอบทักษิณ

โดย อภิชาต ศักดิเศรษฐ์





นักวิชาการ นักวิเคราะห์ทางการเมืองจำนวนมากอาจจะนับเอาวันที่ 19 กันยายน 2550 เป็นวันครบรอบ 1 ปี ของการทำรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นวาระของการทบทวนความเป็นไปประเทศไทยภายใต้ระบอบเผด็จการทหาร

ในแง่มุมของ 1 ปี ภายหลังรัฐประหาร ประเด็นที่พูดถึงกันมากใน 3 ประเด็นคือ

1) การขาดตอนของระบอบประชาธิปไตย ระบบรัฐสภา

2) ประสิทธิภาพการบริหารประเทศ และการแก้ไขปัญหาของประชาชน

และ 3) การเติบโตของระบอบอำมาตยาธิปไตย หรือระบบการเมืองที่บงการชี้นำโดยข้าราชการประจำ

มุมมอง หรือเหตุผลที่ยกมาวิพากษ์วิจารณ์ก็มีทั้งส่วนที่น่ารับฟัง และมีทั้งที่เป็นอคติแบบหัวชนฝา ซึ่งก็ถือเป็นสิทธิในการใช้มุมมองที่หลากหลาย

ผู้เขียนจึงอยากจะมองวันที่ 19 กันยายน 2550 ในอีกแง่มุมหนึ่ง มองในฐานะเป็น 1 ปี ของประเทศไทยที่ก้าวออกมาจาก "ระบอบทักษิณ"

จำเป็นต้องตอกย้ำกันว่า ระยะเวลาประมาณ 5 ปี 9 เดือน กล่าวคือในช่วงตั้งแต่มกราคม 2544 ถึง กันยายน 2549 ที่มีรัฐบาลภายใต้การนำของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประเทศไทยถูกฉุดพ้นจากระบอบประชาธิปไตย เข้าไปสู่ระบอบเผด็จการรัฐสภาสมบูรณ์แบบ เพื่อสนองความต้องการทางอำนาจ อิทธิพล และผลประโยชน์ทางธุรกิจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และบริวาร

สังคมไทยในห้วงเวลานั้นขับเคลื่อนไปภายใต้การครอบงำทางความคิด และการใช้กลไกอำนาจรัฐ และกฎหมายทุกระดับ สนองเป้าหมายการยึดครองประเทศไทยแบบเบ็ดเสร็จของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

เกิดความผิดพลาดในการบริหารประเทศ เกิดความเสียหายทั้งชีวิต ทรัพย์สิน ของผู้คนเหลือคณานับ เกิดการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงด้วยรูปแบบที่พิสดารพันลึกอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน กลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้อำนาจถูกแทรกแซง ครอบงำ และทำให้บิดเบี้ยวจนสังคมไม่สามารถพึ่งหวังใครได้

เมื่อกลไกในระบบการเมืองพิกล พิการจนไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ภาคประชาชนที่ประกอบด้วยองค์กรผู้รักประชาธิปไตยและรักความเป็นธรรม จึงต้องใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในขณะนั้นลุกขึ้นมาต่อสู้เปิดโปงความเลวร้ายดังกล่าว ข้อมูล ข้อเท็จจริงที่นำมาตีแผ่ได้ปลุกผู้คนทั้งสังคมให้ตื่นขึ้นมาต่อต้านคัดค้านการดำรงอยู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างกว้างขวางและรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย แต่ก็ไม่สามารถหยุดระบอบแห่งความชั่วร้ายนั้นได้

สุดท้ายเมื่อสังคมไม่มีทางออก การรัฐประหารยึดอำนาจโดยคณะนายทหารจึงเกิดขึ้น เป็นการเกิดขึ้นอย่างสอดคล้องกับสภาพสังคมในห้วงเวลานั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ข้อเขียน บทวิพากษ์วิจารณ์ภายใต้กรอบ 1 ปีหลังรัฐประหาร หลายๆ ชิ้นในช่วงนี้ มีความพยายามตัดตอนประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ด้วยการละเลยสภาพปัญหาของประเทศที่สั่งสมต่อเนื่องก่อนหน้านั้นนานกว่ากึ่งทศวรรษ อันเป็นมูลเหตุสำคัญของการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549

บางบทความถึงกับสรุปว่า การรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 เป็นการสูญเปล่าอย่างสิ้นเชิง และประเทศไทยวันนี้ที่เกิดปัญหารุมเร้าสารพัดนั้น ล้วนมีต้นตอมาจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ทั้งสิ้น

คำถามที่น่าย้อนคิดก็คือ หากไม่มีการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 วันนี้ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร?

หาก "ระบอบทักษิณ" ไม่ถูกกวาดล้าง และยังอยู่ยั้งคงกระพันมาถึงวันนี้ บ้านเมืองนี้จะเป็นอย่างไร? สถาบันหลักสำคัญๆ ในประเทศนี้จะดำรงอยู่อย่างมั่นคงได้หรือไม่ หรือต้องเผชิญกับอะไรบ้าง?

ตอบกันตรงนี้ก่อนที่จะไปโยนบาปใส่ "ผีร้าย" ที่ชื่อคณะรัฐประหาร

ไม่มีใครคาดการณ์จากวันนั้นได้ แต่ถ้ามองย้อนกลับไปจากวันนี้ก็พอจะมองเห็นว่า ความเลวร้ายที่สั่งสมอยู่ภายใต้บัลลังก์แห่งอำนาจอธรรมของระบอบทักษิณ จะแผ่รังสีปกคลุมบ้านเมืองอย่างเบ็ดเสร็จและน่าสะพรึงกลัวกว่าที่เคยรับรู้มากมายหลายเท่านัก

การทุจริตคอร์รัปชั่นที่ถูกขุดคุ้ยและดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมในขณะนี้ คือรูปธรรมที่เด่นชัดของความเลวร้ายที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนการรัฐประหาร ถามว่าจะมีอำนาจไหนเข้าไปจัดการได้ถ้า "ทักษิณ" ยังเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่

การฉ้อราษฎร์บังหลวงจะกลืนกินประเทศนี้ไปมากมายอีกแค่ไหน หากกลไกการควบคุมและการตรวจสอบตกอยู่ในมือของ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ทั้งระบบ

ผู้คนจะล้มตาย ชีวิตบริสุทธิ์จะสูญเสียไปอีกกี่ร้อยกี่พัน เพื่อสังเวยกับนโยบายที่ผิดพลาดและดื้อรั้นของอดีตนายกรัฐมนตรีคนนั้น

ระบอบประชาธิปไตยประเทศนี้จะถูกพาเข้ารกเข้าพงไปถึงไหน ภายใต้กติกาเลือกตั้งที่ถูกบิดเบือนและกำกับโดยคนที่ไร้คุณธรรม

นั่นคือความเลวร้ายของระบอบทักษิณ ที่สังคมไทยต้องไม่แกล้งทำเป็นลืมเป็นอันขาด

ผู้เขียนเห็นว่า 1 ปีหลังระบอบทักษิณ ประเทศไทยได้กลับเข้าสู่ความเป็นปกติ สามารถตั้งต้นและเริ่มออกเดินอย่างมั่นคงและมีอนาคต

หนึ่ง,ด้านการเมือง แม้การขาดตอนของระบบรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ในช่วงหลังรัฐประหาร อาจทำให้การนำปัญหาของประชาชนเข้าสู่การแก้ไขตามระบบ ไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากสภานิติบัญญัติฯที่มาจากการแต่งตั้ง และรัฐบาลชั่วคราวที่ได้ยึดโยงกับประชาชน แต่การที่รัฐบาล สภานิติบัญญัติฯ รวมถึงสภาร่างรัฐธรรมนูญ ได้ทุ่มเทและมุ่งมั่นในการวางรากฐานการเมืองปกครองใหม่ โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบฯ เชื่อมั่นว่าจะเป็นเครื่องมือที่ทำให้ประเทศเดินไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ และมีหลักประกันมากกว่ากว่าในยุคก่อนหน้านี้

บทเรียนจากการเมืองฉ้อฉล และการปกครองที่ไร้ธรรมาภิบาล เป็นบทเรียนที่ทำให้สังคมวันนี้ตระหนักถึงภัยของการใช้อำนาจทางการเมืองแบบไร้ขอบเขตในอดีต

ไม่ง่ายอีกแล้วที่ใครจะคิดใช้การเมืองเป็นฐานแสวงหาอำนาจ และผลประโยชน์ทางธุรกิจ เหมือนอย่างที่เครือข่ายระบอบทักษิณเคยฉกฉวย

รัฐบาลและสถาบันทางการเมืองชั่วคราวทั้งหลายที่เกิดขึ้น หลังวันที่ 19 กันยายน 2549 มีภารกิจที่ชัดเจนคือการเตรียมพร้อมประเทศในทุกด้าน เพื่อส่งต่อให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญและกติกาใหม่ ที่มีความก้าวหน้าและทันต่อการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น

บัดนี้เราก็ได้เห็นภาพอนาคตของประเทศชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

สอง, ในด้านประสิทธิภาพการบริหารประเทศ และการแก้ไขปัญหาของประชาชน จริงอยู่ที่รัฐบาลในช่วง 1 ปีหลังระบอบทักษิณ เป็นรัฐบาลที่ดูจะเชื่องช้า เงอะงะในการแก้ไขปัญหาของประเทศไปบ้าง แต่ความเด็ดขาด ยึดมั่นในหลักการและธรรมาภิบาลการบริหารประเทศ ก็เป็นจุดแข็งที่ทำให้สังคมได้มั่นใจว่าประเทศไม่ถูกเบียดบัง ฉ้อฉลไปเข้ากระเป๋านักโกงบ้านกินเมืองแน่

ผู้นำรัฐบาล "ขิงแก่" อย่าง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เป็นที่พึ่งที่หวังของบ้านเมืองในยามวิกฤตได้ดีไม่น้อย

ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ทำให้รัฐบาลทักษิณมีสภาพเหมือนลิงแก้แห เพราะขาดความเข้าใจในปัญหา นำไปสู่การใช้วิธีการที่ผิดพลาด วันนี้ก็คลี่คลายไปอย่างมีอนาคตเมื่อรัฐบาลนี้มองเห็นปัญหาอย่างเชื่อมโยงด้วยแนวพระราชดำริ "เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา" อย่างแท้จริง

การไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนทางธุรกิจและผลประโยชน์ส่วนตน ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การตัดสินใจใดๆ ของรัฐบาลสามารถรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติส่วนร่วมได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นโครงการเมกะโปรเจ็คต์กระตุ้นเศรษฐกิจ, การเจรจาการค้าการลงทุนกับต่างประเทศ หรือ การจัดสรรงบประมาณเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม

ตรงนี้คือแบบอย่างที่เด่นชัด ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับปรากฏการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในยุคระบอบทักษิณ

สาม, การผูกขาดอำนาจโดยนักการเมืองเพียงฝ่ายเดียวยุติลง ภาคส่วนอื่นๆ ในสังคมจะเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบ ถ่วงดุลมากขึ้น

ภาคราชการหรือเจ้าหน้าที่รัฐ ก็ถือเป็นภาคส่วนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ วันนี้กติกาใหม่ของประเทศได้ให้หลักประกันในความเป็นอิสระ ปลอดพ้นมากขึ้นจากการถูกครอบงำและแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะข้าราชการที่เป็นกลไกในกระบวนการยุติธรรม

ไม่เป็นธรรมเลยหากการถ่วงดุลทางการใช้อำนาจดังกล่าว จะถูกตีความไปว่า "อำมาตยาธิปไตย" กำลังจะกลับมาครอบงำบ้านเมือง

นอกจากนี้ความมุ่งมั่นในการวางรากฐานของระบบคุณธรรม จริยธรรมในสังคม เกิดขึ้นอย่างเป็นกระบวนการ โดยการผลักดันของรัฐบาล คมช. หรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทั้งการปลุกกระแสความตื่นตัวของสังคมในทุกภาคส่วน หรือการสร้างกลไกกฎหมายขึ้นมาป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

1 ปี หลังระบอบทักษิณล้มครืนลง อาจจะมีความล้มเหลว บกพร่องในการบริหารจัดการในบางเรื่อง บางช่วงเวลา แต่ไม่อาจสรุปว่าเป็นความล้มเหลวในการวางรากฐานที่มั่นคงของประเทศนี้อย่างแน่นอน

ตรงกันข้ามถือเป็นก้าวเดินสำคัญของประเทศ ที่จะไปสู่การพัฒนาในทุกด้านอย่างมั่นคงและมีอนาคต


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 20 กันยายน 2550 เวลา:23:18:16 น.  

 
คัดจากมติชนรายวัน

1 ปีที่ไม่มีทักษิณ

คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12

โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร



เมื่อเราได้ช่วยกันประเมิน คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และรัฐบาลที่เกิดขึ้นภายใต้อำนาจ คมช. ในวาระครบ 1 ปีการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 ไปแล้ว

ถามว่าแล้วเราควรจะประเมิน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทย อย่างไร

ควรจะยินดีกับพรรคไทยรักไทย ที่ยังเกาะกุมกันเหนียวแน่น สามารถประกาศรายชื่อผู้สมัครที่วันนี้ย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชาชน จำนวน 200 คน ในวันครบรอบ 1 ปีการปฏิวัติ หรือไม่

ควรจะยินดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ยังสามารถลอยนวลเหนือข้อกล่าวหาทั้งหมดได้ และสามารถประกาศเป็นตัวแทนแห่งระบอบประชาธิปไตยอันถูกต้อง หรือไม่

พ.ต.ท.ทักษิณระบุในบทความที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ดิ เอเชี่ยน วอลล์ สตรีท เจอร์นัล ฉบับวันที่ 19 กันยายน 2550 ว่า ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ได‰เตรียมการที่จะกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติ โดยตั้งใจ ที่จะตอกย้ำถึงความสำเร็จและความก้าวหน้าของระบอบประชาธิปไตยของไทย แต่ไม่สามารถทำได้เพราะถูกโค่นล้มโดยการกระทำรัฐประหารโดยกองทัพเสียก่อน

อะไรคือความสำเร็จและความก้าวหน้าของระบอบประชาธิปไตยของไทย ที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวถึง

จะหมายถึงการที่ตนเองคือนายกฯแห่งประวัติศาสตร์ที่อยู่ครบ 4 ปี, ตนเองและพรรคไทยรักไทยได้รับชัยชนะท่วมท้นในการเลือกตั้งอย่างที่ระบุในบทความหรือไม่

ถ้าพิจารณาเพียงผิวเผิน ก็อาจจะอ้างได้

แต่เชื่อว่าคนไทยจำนวนไม่น้อย ไม่เชื่อเช่นนั้นแน่

เพราะ 4-5 ปีที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้เถลิงอำนาจผ่านระบอบการเลือกตั้ง คำว่า ประชาธิปไตยผูกขาด เผด็จการรัฐสภา เคียงคู่อยู่ด้วยโดยตลอด

และเสียงอันเบ็ดเสร็จ ถูกกลˆาวหาวˆานำไปใช้เพื่อประโยชน์พวกพ้องทั้งทางการเมือง และธุรกิจ

เสียงเบ็ดเสร็จ ถูกนำไปใช้เพื่อแทรกแซง กดดัน องค์กรอิสระ และกลไกรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ.2540 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณระบุในบทความ เช่นเดียวกันว่าเป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน และมีความเป็นประชาธิปไตยสูงสุดอย่างที่ ไม่เคยมีมาก่อน จนบิดเบี้ยวใช้การไม่ได้

และที่น่าตกใจก็คือ มันได้กลับกลายเป็นกลไกแห่งความฉ้อฉล เพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของฝ่ายการเมืองด้วย

นี่คือสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ละเลยที่จะพูดถึง

ขับเน้นเพียงว่าคณะรัฐประหารได้พยายามหยุดยั้งให้ พ.ต.ท.ทักษิณหรือใครก็ตามที่มีความเลื่อมใสในระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมและระบอบประชาธิปไตยเช่นเดียวกับตนไม่ให้ได้รับการเลือกตั้งและดำเนินการให้มีการยุบพรรคไทยรักไทยเท่านั้น

ซึ่งเป็นการพูดไม่หมด

และสะท้อนให้เห็นว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ รวมถึงคนในพรรคไทยรักไทยจำนวนมาก ไม่ได้สรุปบทเรียนเกี่ยวกับความผิดพลาดของตนเอง ว่าอะไรคือเงื่อนไขที่ผลักดันให‰ไปสู่ หายนะเลย

การไม่ได้สรุปบทเรียน และตัดตอนปัญหาไปที่ "เผด็จการทหาร" เพียง ด้านเดียว เป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะมันจะไม่นำไปสู่การแก้ไขและปรับปรุงตัวเอง จะมีแต่ความรู้สึกที่จะชี้นิ้วไปกล่าวโทษคนอื่นเท่านั้น

ในส่วนของ "ทหาร" ตอนนี้หลายเสียงในสังคม ดูจะเห็นร่วมกันแล้วว่า วิธีการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองโดยวิธีการรัฐประหาร แม้จะทำสำเร็จในแง่การโค่นล้มอำนาจเดิม แต่จะไม่สำเร็จกับการบริหารงานและนำพาประเทศภายใต้ธง สีเขียวเลย

ซึ่งนี่ดูเหมือนคณะทหารที่ทำการปฏิวัติเมื่อ 19 กันยายน จะยอมรับ แม้จะไม่ใช่การยอมรับโดยตรง แต่วิธีการที่แสดงออก ไม่ว่าการไม่กล้าใช้อำนาจอย่างเด็ดขาด ไม่กล้าสืบทอดอำนาจ การไม่กล้าตั้งพรรคร่างทรง เหมือนอย่างอดีต ก็สะท้อนให้เห็นกลายๆ ว่า วันนี้ ไม่ใช่วันที่จะสามารถปกครองโดยระบอบอำนาจนิยมทหารได้อีกแล้ว

ถึงจะขัดขืนทำ แต่ก็เชื่อว่าจะถูกต่อต้านอย่างรุนแรงในอนาคต

จึง "พอเชื่อ" ได้ว่า ทหารจะมีบทเรียนจากการปฏิวัติคราวนี้อย่างสำคัญ

ทหารได้รับบทเรียนไปแล้ว แต่ถามว่า ฝ่ายการเมืองที่ถูกระบุว่าเป็น "เผด็จการรัฐสภา" ได้บทเรียนหรือไม่

ดูจากท่าทีตรงนี้ แล้วน่าจะไม่

และน่าใจหายไปมากกว่านั้นก็คือ ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา แม้จะมีความพยายามออกแบบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายลูก เพื่อที่จะป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว

แต่ก็ดูเหมือนจะมิใช่ทางแก้ปัญหาที่แท้จริง มิหนำซ้ำดูจะเป็นการเพิ่มปัญหามากขึ้นอีก

มากจนรู้สึกว่า เมื่อมีการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากฝ่ายทหารไปสู่ฝ่ายการ เมืองแล้วสังคมไทยยังไม่อาจมีภูมิต้านทาน ที่จะป้องกันระบอบที่เรียกว่า ระบอบทักษิณ ที่แม้วันนี้จะกลายเป็น รูปแบบอื่น แต่เนื้อหาก็ยังคงเดิมได้

ถือเป็นเวรเป็นกรรมของคนไทย ที่จะต้องวนเวียนอยู่กับ "สิ่งร้ายๆ" เหล่านี้ไม่มีสิ้นสุด


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 21 กันยายน 2550 เวลา:23:26:36 น.  

 
“วสันต์” ตั้งพรรคศิลปิน ลั่นไม่ร่วมผสมพันธุ์นักการเมืองหน้าเก่า

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 18 กันยายน 2550 16:36 น.

“วสันต์ สิทธิเขตต์” นำทีมเพื่อนพ้องศิลปินอิสระรวม 17 คน ยื่นขอจดทะเบียนตั้งพรรคศิลปิน ต่อ กกต.ประกาศยืนเคียงข้างเพศที่สามภาคประชาชน ไม่ร่วมผสมพันธุ์นักการเมืองหน้าเก่า

วันนี้ (18 ก.ย.) นายวสันต์ สิทธิเขตต์ ศิลปินอิสระ พร้อมด้วย นายไชยพร เกิดมงคล หรือ จุ๋มด่านเกวียน นางนิตยา บุญประสิทธิ หรือ นิตกรรมาชน และคณะผู้ก่อตั้งรวม 17 คน ได้เดินทางมายื่นขอจดจัดตั้งพรรคการเมืองในนาม “พรรคศิลปิน” โดยมี นายวสันต์ เป็นหัวหน้าพรรค มีนายจุมพล อภิสุข เป็นเลขาธิการพรรค และมี นางนิตยา เป็นโฆษกพรรค

นายวสันต์ กล่าวว่า พรรคศิลปินเราเป็นนอมินีของประชาชน จะไม่ร่วมผสมพันธุ์กับนักการเมืองหน้าเก่า และจะไม่เชิญ พล.อ.สนธิ มารวมกับพรรค แต่เราจะร่วมกับพรรคที่เป็นทางเลือก เป็นลูกทหาร ลูกชาวนา ที่เป็นศิลปิน เราเป็นพันธมิตรกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และยืนเคียงข้างกับเพศที่สาม ภาคประชาชน ที่ต่อสู้กับอำนาจรัฐ จึงขอประกาศให้นักเลือกตั้งที่จะมาปล้นประเทศไทย เลิกฝันได้แล้ว เพราะจะต้องสูญพันธุ์แน่นอน ทั้งนี้พรรคศิลปิน มีคำขวัญคือ “หัวใจไม่ปกครอง” เพราะเราไม่ปรารถนาผู้นำ และผู้ตาม เป้าหมายสูงสุด คือ ทุกคนสามารถที่จะปกครองตนเอง ดูแลตนเอง ชุมชน เพื่อประโยชย์สุขรวมกันทั้งสังคม

“เวลานี้เราอยากจะส่งสารถึงประชาชนว่าเราไม่ไหวแล้ว เราต้องการทางเลือกให้ประชาชน เพราะการเมืองขณะนี้เหมือนโยนหินลงในน้ำที่มีจอกแหน เมื่อกระจายตัวแล้วก็กลับมารวมตัวใหม่ ซึ่งถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ ก็จะเกิดปฏิวัติซ้ำแล้วซ้ำอีก ดังนั้น จากนี้การเคลื่อนไหวของพรรคจะเคลื่อนไหวด้วยศิลปวัฒนธรรม และความรู้เท่านั้น แต่จะยังไม่บอกว่า พรรคจะส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งหรือไม่ เราจะปล่อยให้ทุกคนงงไปก่อน เราจะเริ่มเดินสายไปทั่วประเทศ เพื่อหาสมาชิก และจัดตั้งสาขาพรรคซึ่งคิดว่า คงไม่ยาก เพราะเรามีเพื่อนศิลปินอยู่ทั่วทุกภูมิภาค เผลอๆ อาจจะมีหนึ่งตำบลหนึ่งสาขาพรรคก็ได้”

ด้าน นายจุมพล กล่าวว่า พรรคศิลปินไม่ได้มีความหมายถึงการเข้าร่วมของศิลปินที่เป็นนักวาดรูป หรือนักดนตรี แต่ยังรวมถึงศิลปะทุกแขนง ทั้งลูกชาวไร่ ชาวนา สิ่งที่เรามองว่าเป็นปัญหาทุกวันนี้ คือ เรื่องของวัฒนธรรมการเมืองไทย จึงคิดว่า บทบาทศิลปินน่าจะเข้ามาสร้างวัฒนธรรมใหม่ อีกทั้งการมาจดทะเบียนจัดตั้งพรรคก็เพื่อจะดูว่าประชาชนอย่างเรามีสิทธิที่จะตั้งพรรคสู้กับนักการเมืองได้หรือไม่ รวมทั้งระบบนี้ เปิดรับกับประชาชนจริงหรือเปล่า เพราะเมื่อเราไม่ได้ใช้เงินจัดตั้งพรรค ก็อยากรู้ว่า ประชาชน กกต.สังคมจะยอมรับ และให้ตั้งพรรคการเมืองหรือไม่

ส่วน นายจรัสศรี รูปขำดี ผู้ก่อตั้งพรรค กล่าวว่า เรามาจดตั้งพรรคการเมืองครั้งนี้ไม่ได้ทำกันเล่นๆ เพราะก่อนหน้านี้ เราได้มีการหารือกันอย่างจริงจัง จึงต้องการรวบรวมศิลปินที่มีอยู่ทุกแขนง ให้มารวมกันเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เชื่อว่า สามารถที่จะทำเรื่องที่เป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ ให้เห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคศิลปินได้ระบุถึงบุคคลที่มาเป็นกรรมการที่ปรึกษาพรรค ประกอบไปด้วย นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ นายทวี รัชนีกร ศิลปินแห่งชาติ นายสุรชัย จันทิมาธร นายมงคล อุทก นายพงษ์เทพ กระโดนชำนาญ นักดนตรีวงเพื่อชีวิต นายไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ นายกนกศักดิ์ แก้วเทพ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ทั้งนี้ ในการมายื่นจดทะเบียนของพรรคศิลปิน วงซูซูได้มีการแสดงดนตรี เพื่อเป็นกำลังใจในการจัดตั้งพรรคการเมืองด้วย

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นับตั้งแต่ กกต.เปิดให้มีการยื่นขอจดจัดตั้งพรรค จนถึงขณะนี้ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองได้มีการตอบรับการขอจดจัดตั้งพรรคแล้ว 1 พรรค คือ พรรคเสียงประชาชน โดยตอบรับเมื่อวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามยังมีอีก 20 พรรคการเมืองที่ยื่นขอจดจัดตั้ง ซึ่งในจำนวนนี้มี 3 พรรคการเมืองที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของนายทะเบียน และที่เหลืออยู่ในขั้นพิจารณารวบรวมข้อมูลของสำนักงานฯ
.........................................


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 21 กันยายน 2550 เวลา:23:45:10 น.  

 
พรรคศิลปิน //www.oknation.net/blog/artist-party/2007/09/18/entry-1



หลักการและเหตุผล

เนื่องจากอดีตที่ผ่านมาระบอบประชาธิปไตยไทย บรรดานักการเมืองไทย ล้วนมาจาก พ่อค้าขี้ฉ้อ เจ้าพ่อผู้มีอิทธิพล ข้าราชการคดโกง นายพลทหาร-ตำรวจอันธพาล ที่รวมหัวกันเข้ามา เล่น การเมืองกันเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ จากการใช้อำนาจอธิปไตย ไปกอบโกย คอร์รัปชั่น กุโครงการเพื่อโกงกินงบประมาณแผ่นดิน ใช้อำนาจ-อิทธิพลเถื่อน วางตนเหนือกฎหมายบ้านเมือง สร้างแต่ความมั่งคั่งให้แก่ครอบครัว-ญาติมิตรและลูกสมุน ก่อความทุกข์เดือดร้อนไปทั่วทุกหัวระแหง ประชาชนยากจนลง-ชุมชนล่มสลาย วัฒนธรรมดีงามพังทลาย สืบสานวงจรอุบาทว์ทางการเมือง กระทำยำยีเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและศิลปวัฒนธรรม จนย่อยยับ เสื่อมทราม ด้วยความละโมบตะกละ เข่นฆ่า ช่วงชิง อำนาจกันอย่างป่าเถื่อนยิ่ง ขณะเดียวกันก็มอมเมาบิดเบือน ปากอ้างประชาธิปไตยปิดหูปิดตาประชาชน ให้ตกอยู่ในสภาพจำยอมให้ฝูงโจรการเมืองผูกขาดผลัดกันเข้ามาปล้นชาติขายแผ่นดินกันโดยสะดวกสบาย หากเรานิ่งดูดาย ปล่อยให้สังคมไทยดำเนินไปด้วยตัวละครการเมืองที่งกโลภ-เห็นแก่ตัว-บ้าอำนาจ ผูกขาดปกครองนำพาสังคมไทยต่อไป บ้านเมืองคงต้องมุ่งตรงไปสู่ความพินาศฉิบหายแน่แท้


ดังนั้นพรรคศิลปิน จึงถือกำเนิดขึ้น เพื่อเคลื่อนไหวการเมืองภาคประชาชน มุ่งล้างบางโครงสร้างระบอบการเมืองน้ำเน่า และนักการเมืองโฉดฉลให้สูญพันธุ์ เป็นทางเลือกใหม่ให้สังคมไทย ร่วมต่อสู้เคียงข้างประชาชนคนทุกข์ยาก ทุกรูปแบบ เพื่อสังคมร่มเย็นเป็นสุขร่วมกัน โดยการนำเสนอแนวทาง-นโยบาย-ค่านิยมใหม่ ที่มุ่งให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาหลักๆ ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ดังนี้

นโยบายพรรคศิลปิน พ.ศ. ๒๕๕๐

๑) พรรคศิลปิน จะดำเนินการปฏิรูปที่ดินอย่างเป็นรูปธรรมจริงจัง โดยทั่งถึง-เท่าเทียม และจัดการปลดหนี้สินที่ไม่เป็นธรรมทั้งหมดอย่างไม่มีเงื่อนไข เป็นอันดับแรก และกำหนด แนวทางเกษตรกรรม-อุตสาหกรรมอย่างครบวงจร ยุติกระบวนการผูกขาดตัดตอนเอารัดเอาเปรียบที่เป็นดังมะเร็งร้ายทำลายสังคมไทยมาหลายทศวรรษ

๒) พรรคศิลปิน มีนโยบายปฏิรูปการศึกษา พัฒนาหลักสูตร มีเป้าหมายสร้างเยาวชนให้มีจิตสำนึกรักชาติรักประชาธิปไตยและสิ่งแวดล้อม มีจิตใจรับใช้ประชาชน รักความเป็นธรรมกล้าแสดงออก รับผิดชอบต่อส่วนรวม อย่างมีเหตุผล โดยการจัดเก็บภาษีก้าวหน้าภาษีมรดก ใครมีรายได้มากเก็บมาก เพื่อเด็กและเยาวชนได้รับการศึกษาฟรีกระทั่งจบปริญญาตรี มีหลักประกันในรายได้ และอาชีพการงานรองรับ

๓) พรรคศิลปินถือนโยบายรัฐสวัสดิการ ทุกคนต้องมีบ้านอยู่อาศัย สุขสบาย เด็กและสตรีได้รับการคุ้มครอง การล่วงละเมิดทางเพศจักต้องรับโทษสถานหนัก ระบบสาธารณูปโภคเพื่อประชาชนจักต้องเป็นไปเพื่อสุขภาพดีโดยถ้วนหน้า การคมนาคม สื่อสารทั้งเมืองและชนบทจักต้องจัดโครงสร้างให้ทุกคนได้รับความสะดวกสบายรวดเร็ว-เพียงพอและราคาย่อมเยา

๔) พรรคศิลปิน จักดำเนินการ ปฏิวัติการเกษตร ลด เลิก การใช้สารเคมีพิษ ผลิตโดยวางแผนอย่างมีสติ มิให้กลุ่มนายทุนส่งออก-พ่อค้าคนกลางผูกขาดบงการกำหนดราคา ฟื้นฟูคุณภาพของพื้นดิน โดยระบบปุ๋ยชีวภาพอย่างจริงจัง ยกเลิกสัญญาเช่าที่ดินกับต่างชาติที่ทำลายแผ่นดินไทยโดยการปลูกพืชพันธุ์อันตรายเช่น ยูคาฯทั้งหมด

๕) พรรคศิลปินจักดำเนินนโยบาย เอกราชทางเศรษฐกิจการค้าที่เป็นธรรม มีประโยชน์ต่อส่วนรวม โดยทบทวนสัญญาการค้าทุกฉบับที่รัฐบาลก่อนหน้าทำมาทั้งหมด และจะฉีกสัญญาการค้าเสรีที่เสียเปรียบ เช่น FTA,กฎหมายแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่หมกเม็ด ยึดเอารัฐวิสาหกิจที่กลุ่มทุนผูกขาดปล้นไป เช่น ปตท.คืนให้เป็นของประชาชน ถือหลักการ ยืนบนขาตนเอง ผลิตเพื่อเลี้ยงดูพลเมืองให้กินอิ่ม-นอนอุ่นทั่งถึง ที่เหลือจึงขายส่งออกบนหลักการยุติธรรม

๖) พรรคศิลปิน จักดำเนินการจัดตั้งองค์กรประชาชนพื้นฐาน เพื่อปกป้องดูแลชุมชน กำจัดเจ้าพ่ออิทธิพลในท้องถิ่น ไม่ยอมให้คนคดโกงชั่วช้ากดขี่มีอำนาจ ค้ายาเสพติด บ่อนพนัน หวยเถื่อน ขูดรีดดอกเบี้ย โกงที่ดินชาวบ้าน โงหัวผงาดอยู่ในชุมชนอีกต่อไป หยุดโครงการสร้างเขื่อนทั้งหมด เลิกโรงไฟฟ้าถ่านหิน-นิวเคลียร์ ส่งเสริมการผลิตพลังงานทางเลือก เช่น พลังลมและแสงอาทิตย์อย่างจริงจัง

๗) พรรคศิลปิน จักดำเนินการปฏิรูปสื่อมวลชน ให้เป็นองค์ความรู้ ให้การศึกษาชุมชน รายการวิทยุ-โทรทัศน์ที่มอมเมาประชาชนให้ปัญญาอ่อนต้องยกเลิก โดยส่งเสริมสนับสนุนรายการที่มีความคิดสร้างสรรค์ คุ้มครองสิทธิเสรีภาพการแสดงออกทางความคิด การพูด การเขียน โฆษณา ศิลปะ ภาพยนตร์ สื่อทั้งมวลต้องเผยแพร่ ความรู้ศิลปะวิทยาการ กล้าหาญเปิดโปงคนชั่ว-ปกป้องเชิดชูคนดีมีคุณธรรม สร้างชุมชนให้เข้มแข็งมีสติปัญญา


รายนามผู้ก่อตั้งพรรคศิลปิน

๑) นายวสันต์ สิทธิเขตต์ หัวหน้าพรรค/ผู้ก่อตั้ง

๒) นายมานิต ศรีวานิชภูมิ รองหัวหน้าพรรค/ผู้ก่อตั้ง

๓) นายวิลิต เตชะไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค/ผู้ก่อตั้ง

๔) นายไชยพร เกิดมงคล รองหัวหน้าพรรค/ผู้ก่อตั้ง

๕) นายจุมพล อภิสุข เลขาธิการพรรค/ผู้ก่อตั้ง

๖) นางสาวจรัสศรี รูปขำดี เหรัญญิกพรรค/ผู้ก่อตั้ง

๗) นางนิตยา บุญประสิทธิ์ โฆษกพรรค/ผู้ก่อตั้ง

๘) นายวัลลภ พลเสน โฆษกพรรค/ผู้ก่อตั้ง

๙) นางสาววรรณพร ฉิมบรรจง โฆษกพรรค/ผู้ก่อตั้ง

๑๐) นายถาวร แก้วแหวน ผู้ก่อตั้ง

๑๑) นายจามิกร แสงศิริ ผู้ก่อตั้ง

๑๒) นายวิชญ์ พิมพ์กาญจนพงศ์ ผู้ก่อตั้ง

๑๓) นายวีรศักดิ์ ขุขันธิน ผู้ก่อตั้ง

๑๔) นายวันชัย แต่งติพานิช ผู้ก่อตั้ง

๑๕) นายกฤษณพล ศรีบูรพา ผู้ก่อตั้ง

๑๖) นายประเสริฐ พุทธสอน ผู้ก่อตั้ง

๑๗) นางสาวสรัญญา อรรคราช ผู้ก่อตั้ง


กรรมการที่ปรึกษาพรรคศิลปิน


๑) เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีรัตนโกสินทร์, ศิลปินแห่งชาติ

๒) สุรชัย จันทิมาธร กวีนักดนตรีเพื่อชีวิตเพื่อประชาชน

๓) มงคล อุทก นักดนตรีเพื่อชีวิตเพื่อประชาชน

๔) พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ นักดนตรีเพื่อชีวิตเพื่อประชาชน

๕) ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ

๖) กนกศักดิ์ แก้วเทพ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาฯ

๗) อาจารย์ทวี รัชนีกร ศิลปินแห่งชาติ


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 21 กันยายน 2550 เวลา:23:48:41 น.  

 
พรรคศิลปิน

เท่าที่จุเคยสัมผัสกับพวกเขา


จุเฉยๆ ค่ะ

เพราะบางความคิดนั้น...เมื่อเขานำมาปฏิบัติ....มัน..ไม่ใช่ และพวกเขาสุดโต่งเกินจะรับได้ค่ะ



โดย: ju IP: 222.123.169.248 วันที่: 22 กันยายน 2550 เวลา:19:26:47 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ยามเช้าค่ะ
ขอโทษนะค่ะแวะทักทายกันช้าจัง..แต่มิเคยลืมกันค่ะ

คนเราบางครั้งมักไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีและเป็นเสมอค่ะ
เราคิดว่าตัวเราน่าไร้ค่านะ..ว่างมากเกินไป
ที่วันๆๆไม่มีงานน่าวุ่นวายอยู่แต่หน้าเน็ต


โอกาสหน้ายังมีอีกค่ะที่จะร่วมในบุญ..
เราจะไปกันอีกครั้งค่ะ..คุณไปด้วยสิ
ก็รู้สึกสบายนะ..ได้ร่วมบุญโดยไม่คาดหมาย

บางครั้งคนเราไม่คาดหวังอะไรมากนัก
มันก็จะรู้สึกผิดหวังและเจ็บปวด
ได้น้อยลงกว่าที่คิดนะค่ะ..

เราไม่เคยเชื่อหมอดูค่ะ..แต่เราชอบดูหมอ
เราไม่ชอบให้ใครลิขิตชะตาชีวิตเราค่ะ
แต่เราชอบนำมามองเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต

เราเกิดที่สกลนครนะ...สาวภูไทมัง...ถึงอยากไปงานบุญนี้นะค่ะ
ไม่เคยไปเหยืยบแผ่นดินอีสานเกือบ 20 ปีได้นะ
แต่ก่อนไปปีละครั้ง
แต่มากทม..ตั้งแต่2 ขวบ..แล้วเราจะเป็นคนกรุงไหมนิ????

แต่ชอบเพลงนี้จังเลยค่ะเพราะจัง..
เป็นเพลงที่ชอบมากเลยละ..คนรู้ใจเราจะรู้เลยละถ้าได้ยินเสียงเพลงนี้
ถ้าคนที่เรารักร้องให้ฟังก็ดีนะนิ..
แสดงว่าเรายังมีสายเลือดกลิ่นโคลนสาปควายค่ะ


บางครั้งเรายอมรับและเข้าใจในสิ่งที่คิดว่าดีมัง
มันน่าจะทำให้เรารู้สึกดีได้นะค่ะ
เราไม่เคยขยาดกับสิ่งที่ทำให้เราพ่ายแพ้นะ
เพราะเราจะต้องกลับมาชนะอีกครั้งค่ะ



ปล..เขียนซะยาวเลย..เหมือนรู้จักคุณดีจัง
แต่เราว่าคุณจะรู้จักเรามากกว่าเรารู้จักคุณนะมิตรคนดี

ดูแลสุขภาพด้วยเช่นกันนะค่ะ
เพราะคือพลังขั้นแรกในการต่อสู้ชีวิตเช่นกันค่ะ

เพลงเพราะมากเลยค่ะ..ชอบมากกกกกกกก


โดย: catt.&.cattleya.. (catt.&.cattleya.. ) วันที่: 23 กันยายน 2550 เวลา:7:42:50 น.  

 
คัดจากกรุงเทพธุรกิจรายวัน คอลัมน์ กาย-ใจ

มหาสมุทรแห่งปัญญา



สรยุทธ รัตนพจนารถ asia@sorrayut.com

ปลดปล่อยตัวเองจากอดีต

ท่านจะลืมความทุกข์ยากของท่าน ท่านจะจดจำมันได้เหมือนน้ำที่ได้ไหลผ่านพ้นไป

- โยบ 11:16

ผมดูข่าวเครื่องบินลื่นไถลจากทางวิ่ง เห็นภาพไฟไหม้ ผู้คนบาดเจ็บและเสียชีวิตมากมายด้วยความรู้สึกพิเศษ คำว่า “เกินบรรยาย” ดูจะตรงกับสิ่งที่ผุดขึ้นในใจไม่น้อย อาจเป็นเพราะผมหวนนึกถึงประสบการณ์เมื่อคราวที่ผมต้องบินกลับมาเมืองไทย เนื่องด้วยพี่สาวเป็นหนึ่งในผู้โดยสารเครื่องบินตกที่สุราษฎร์ธานีเมื่อหลายปีมาแล้วนั้น เหตุการณ์มันดูเร็วไปหมด ทั้งครอบครัวเราต้องช่วยกันคิดตัดสินใจและดูแลเรื่องกฎหมาย พิธีฌาปนกิจ และอื่นๆ อีกทั้งงานบวชของตัวผมเองด้วย

แม้ว่าเทียบกันกับเหตุการณ์เมื่อเก้าปีก่อนซึ่งผมแทบไม่เห็นภาพข่าวอะไรในเวลานั้นเลย แต่ข่าวอุบัติเหตุที่ภูเก็ตคราวนี้มีรายงานออกรายการโทรทัศน์กันทุกๆ ช่อง ทุกๆ ชั่วโมง พาดข่าวทุกๆ หัวหนังสือพิมพ์ มันฉุดดึงและเชิญชวนให้ผมกลับมาสำรวจความรู้สึกตนเองอีกครั้ง เหมือนได้ กลับมาที่เดิม ที่ไม่ใช่ที่เดิม

แล้วก็คงไม่ใช่สำหรับผมคนเดียวแน่นอน ยังมีคุณแม่ คุณอา พี่สาว พี่ชาย...

อาจารย์คนหนึ่งที่อเมริกาซึ่งผมเคารพได้บอกผมว่า “มันเป็นเรื่องที่ทำใจลำบาก สำหรับพ่อแม่ที่ต้องไปงานศพของลูก” ก็คงจะจริง เพราะดูเหมือนโลกของคุณแม่มืดมนไปอย่างมาก หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์ไปใหม่ๆ หลายต่อหลายครั้งที่คุณแม่ยืนนิ่งไปแล้วก็น้ำตาซึม

ยิ่งเมื่อคราวที่คุณพ่อเสียด้วยแล้ว ผม “นึก” ไม่ออกว่าการสูญเสียคนที่เคยอยู่ใกล้ชิดด้วยกันร่วมครึ่งศตวรรษนั้นมันหนักหนาสาหัสประการใด ช่วงนั้นคุณแม่ดูหงอยเหงาเศร้าซึม ไม่อยากฟังแม้บทสวดมนต์ที่เคยเปิดให้คุณพ่อในช่วงสุดท้าย โลกของคุณแม่ดูขาดๆ หายๆ อะไรไป

แต่หลังจากนั้นผ่านไประยะหนึ่ง เมื่อได้ผ่านช่วงเวลาแห่งการ “ไว้ทุกข์” ที่ไม่ใช่แค่พิธีกรรมข้างนอก แต่เป็นการวิถีอันศักดิ์สิทธิ์ภายใน คุณแม่เริ่มมีกิจกรรมใหม่ๆ ที่สามารถทำคนเดียวได้ เช่น ปลูกต้นไม้ ไปเข้าค่ายอบรมสมาธิสมถะวิปัสสนาสายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอานาปานัสสติที่สวนโมกขพลาราม หรือยุบพองที่ยุวพุทธิกสมาคม คุณแม่ก็ดูสดใสขึ้นทีละนิดๆ แถมช่วงหลังยังติดตามลูกๆ ไปงานเสวนาและเวิร์คชอปต่างๆ บางครั้งก็ไปเองคนเดียว แม้ว่าแม่จะไม่เคยเรียนเขียนอ่านหนังสือมาเลยก็ตาม

เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ พวกเราลูกๆ ช่วยกันคะยั้นคะยอให้คุณแม่ไปฟิตเนส ต้องใช้เทคนิคต่างๆ ไม่น้อยครับ เราเลือกสถานที่ออกกำลังกายซึ่งมีสระว่ายน้ำในร่ม เพราะท่านคงวิ่งบนเทรดมิลล์หรือปั่นจักรยานไม่ไหวแน่ ช่วงแรกเราก็ไปว่ายด้วยกัน ท่านก็จะกลัวๆ กล้าๆ เพราะว่ายน้ำไม่เป็น กลัวจมบ้าง กลัวน้ำเข้าปากบ้าง

เดี๋ยวนี้หรือครับ ไปเองแล้วครับ ไปทุกวันเลย วันไหนไม่มีใครไปส่งก็ขึ้นรถแท็กซี่ไปเองได้ ว่ายได้ทั้งเดินหน้า ถอยหลัง สนุกสนานเอิ๊กอ๊ากใหญ่ ตอนนี้เธอเลยมีก๊วนเกิร์ลลี่แก๊งรุ่นใหญ่ในสระด้วย คุยกันกะหนุงกะหนิงเป็นที่ครื้นเครงน่ารัก

โลกของคุณแม่ที่เดิมมีแต่เรื่องการสูญเสีย การขาดหายไปพร่องไป ก็ค่อยเปลี่ยนผ่าน เปลี่ยนไปตามสามัญธรรมดาของธรรมชาติ ทุกวันนี้คุณแม่สวดมนต์วันละเกือบร้อยจบ ออกกำลังกายวันละเกือบชั่วโมง เจริญทั้งสติ เจริญทั้งอาหาร หลับก็สบาย แถมครอบครัวเรายังสามารถพูดคุยกันเรื่องความเจ็บป่วยและความตายได้อย่างปกติธรรมดาอีกด้วย

ผมเชื่อว่าความทุกข์อันยิ่งใหญ่ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ภูเก็ตนั้นเป็นความรู้สึกจริงๆ ผมขอร่วมแสดงความเสียใจด้วย และเป็นกำลังใจให้ทุกคนได้ก้าวเดินต่อ เพราะ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเรา ไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่เพียงใด ล้วนแล้วแต่จะผ่านพ้นไป

คุณหมออภิชัย มงคล แห่งกรมสุขภาพจิต บอกว่าจากการวิจัยเอกสารพบว่า จิตใจของมนุษย์จะเผชิญความเสียใจร้ายแรงในระยะสั้นๆ หนึ่งถึงสองอาทิตย์ก็ปรับจิตใจได้

ดูเหมือนเข้ากันได้กับเรื่องของอาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งท่านเคยไปเยี่ยมคุณหมอคนหนึ่งผู้ประสบอุบัติเหตุหนัก สมาชิกครอบครัวเสียชีวิตในเหตุการณ์เดียวกันหลายคน คุณหมอนอนจมอยู่ในความทุกข์ทางกายและทางใจ อาจารย์ท่านกล่าวว่า “ไม่เคยมีใครเสียใจจนตาย” (ยกเว้นจากอาการอื่นๆ ข้างเคียง) คำพูดนี้ช่วยทำให้คุณหมอท่านนั้นได้สติ และกลับมามีชีวิตใหม่ มีอนาคตอันแจ่มใส อยู่ในความเป็นปัจจุบันอันอุดมไปด้วยความโอบอุ้มและการเยียวยา

มากมายหลายครั้งที่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นในชีวิตของเรา แต่ผู้คนจำนวนไม่น้อยก็ยากจะยอมรับและเผชิญได้ บางคนทุ่มเทเวลาให้กับงาน บางคนละทิ้งสิ่งแวดล้อมเดิมๆ หลีกเลี่ยงไม่มองไม่พูดถึงสิ่งที่จะทำให้ย้อนคิดถึงเหตุการณ์นั้น อาจเพราะความรู้สึกโศกเศร้ามันรุนแรงและหนักหน่วงเกินกว่าจะดำเนินชีวิตไปตามปรกติประจำวันเช่นเคยได้

เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องร้ายนั้นเกิดขึ้นไปแล้ว และเกิดขึ้นจริงๆ เช่นเดียวกันกับความรู้สึกเสียใจซึมเศร้าซึ่งเกิดขึ้นในใจเรา ผมคิดว่าเราควรพร้อม ยอมรับและเผชิญกับมันตรงๆ ไม่มีความจำเป็นต้องหลีกเลี่ยง พยายามลืม หรือหาเรื่องอื่นเข้ามาเติมถมลงไปในความคิดให้ไม่มีพื้นที่ว่างสำหรับความเศร้า เพราะการได้อยู่ในอารมณ์ได้ปลดปล่อยความรู้สึกสูญเสีย เป็นขั้นตอนสำคัญของการเปลี่ยนผ่านจากอดีตไปสู่อนาคต

ในฐานะคนรอบข้าง เราก็ ไม่ควรบังคับหรือเร่งให้ใครเลิกโศกเศร้าเสียใจ ด้วยว่าแต่ละคนต่างมีหนทางและการเดินทางเป็นของตนเอง หากจะช้าหรือเร็วก็ขึ้นกับคนผู้นั้นเอง คนรอบข้างจึงควรได้ช่วยดูแลเขาในระยะเวลาแห่งความเศร้าให้ข้ามผ่านพ้นสภาวะนั้นไปได้ด้วยดี ประคับประคองสุขภาพกาย เกื้อหนุนการดำเนินชีวิตแต่ละวันให้ลุล่วงไปได้โดยไม่ทำร้ายตัวเอง

วัฒนธรรมของมนุษย์เรามีพิธีกรรมต่างๆ ช่วยเยียวยาและพาเราผ่านสถานการณ์สูญเสียไปได้ แม้ปัจจุบันโลกหมุนไวไปสู่สังคมสมัยใหม่ แต่ก็มีความรู้ว่าด้วยการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย การรักษาเยียวยาจิตใจของญาติ โดยกลุ่มคนต่างๆ ร่วมกันทำงาน ทั้งพระ บุคลากรสุขภาพ กระบวนกร นักฝึกอบรม ร่วมกันเป็นกลุ่ม เป็นเครือข่าย ดังเช่น งานของเครือข่ายพุทธิกา เป็นต้น ใจความสำคัญของความรู้เรื่องนี้ก็เป็นเช่นกันกับพิธีกรรมคือการได้เข้าใจความรู้สึกของตนและถือเอาความโศกเศร้านี้เป็นสะพานข้ามผ่านไปสู่วันใหม่

อดีตที่เจ็บปวดจึงไม่ควรถูกกลบฝังไปด้วยการละเลยความรู้สึก แต่ เราต้องเผชิญกับความทุกข์ในใจ ยอมให้ได้สัมผัสกับความรู้สึกของตัวเอง จนกระทั่งยอมรับและพร้อมสำหรับการพบวันใหม่ ให้เป็นช่วงเวลาที่ได้ปลดปล่อยตัวเองออกจากอดีตอย่างเข้าใจปัจจุบันไปสู่อนาคตต่อไป


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 23 กันยายน 2550 เวลา:19:01:47 น.  

 
ชอบเพลงนี้จังเลยค่ะ
วันนี้อากาศดีจังค่ะรู้สึกสดใสเลยนำมาเสนอ

เริ่มงานอย่างมีความสุขดีไหมค่ะมิตรรักกกกก


แคทรียาดอกนี้ชื่อ** เพลินพิศ โกลเด้นดีไล้ซ์ **
สวยค่ะฟอร์มดอกใช้ได้..แต่คนละสไตร์กับหาดใหญ่นะค่ะ
เพลินพิศดอกจะนุ่มเบา...ปากย้วยกว่า..สวยดีค่ะเลยนึกถึง





สู้ๆๆๆนะค่ะ


โดย: catt.&.cattleya.. วันที่: 24 กันยายน 2550 เวลา:7:36:08 น.  

 




ขอบคุณที่แบ่งปัน นะคะ
หนี่ฯ ตั้งใจอ่านค่ะ




โดย: หนี่หนีหนี้ (แพรวขวัญ ) วันที่: 24 กันยายน 2550 เวลา:21:14:50 น.  

 
คัดจากผู้จัดการายวัน


โดย ป.เพชรอริยะ 24 กันยายน 2550 16:28 น.


สถาบันหรือองค์การพรรคการเมือง ที่จะได้จัดตั้งขึ้นนั้น ควรมีองค์ประกอบหลักที่สำคัญคือ

1. ธรรมาธิปไตย การถือธรรมเป็นใหญ่ ท่านสามารถพบได้ด้วยใจและปัญญาอันยิ่ง คือความบริสุทธิ์ตามธรรมชาติที่มีอยู่ในใจของมนุษยชาติทุกคนอันได้แก่ (1) สภาพที่ทรงไว้ (2) สภาวะที่ไม่ตาย (3) สภาวะสันติถาวร (4) แก่นธรรม (5) ต้นเหตุ (6) สัจธรรม (7) ความจริงแท้ (8) ความยุติธรรม (9) หลักการ (10) คุณธรรม (11) ความถูกต้อง (12) ความประพฤติชอบ (13) สัมมาทิฐิ (14) พระธรรม (15) คำสั่งสอนของพระศาสดาที่ปรากฏขึ้น ฯลฯ

2. คณะบุคคลผู้เสียสละ อุทิศตนเพื่อประเทศชาติ ประกอบด้วย

2.1 อัจฉริยะบุคคลผู้เสนอแนวทางพุทธปรัชญา

2.2 ผู้มีปัญญาให้การสนับสนุนแนวทาง

2.3 คณะผู้นำที่มีปัญญา บริหารการจัดการ ปฏิบัติให้เป็นไปตามแนวทาง

2.4 สมาชิกที่มีปัญญาเห็นด้วยในแนวทาง

3. แนวทางอุดมการณ์ คือแนวทางพระพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์ไทย ยุทธศาสตร์ธรรมาธิปไตย แก้ไขเหตุวิกฤตชาติ

4. หลักการ คือระบบความคิดหรืออุดมการณ์ (Ideology)

5. จุดมุ่งหมายหรือยุทธศาสตร์ และยุทธวิธี หรือจุดมุ่งหมายกับวิธีการที่สอดคล้องกับความเป็นจริง

6. การจัดองค์การ และการบริหารให้บรรลุจุดมุ่งหมาย

โดยมีจุดมุ่งหมาย (อุดมคติ) ที่สูงกว่าอุดมคติทั่วไปคือมีจุดมุ่งหมายตามกฎธรรมชาติ (Nature law) และมรรคหรือวิถีที่แน่นอน อันจะนำพาประเทศชาติ ประชาชน ไปสู่จุดมุ่งหมายตามอุดมคติ ด้วยอุดมการณ์หรือระบบความคิดตามแนวทางที่คณะบุคคลศรัทธาอย่างมีปัญญา

พรรคการเมืองที่แท้จริง อันเป็นที่หวังและไว้วางใจของประเทศชาติและประชาชนได้นั้น ต้องมีแนวทาง หลักการ อุดมการณ์ การจัดระบบความคิด จุดมุ่งหมายเพื่อชาติและปวงชนอย่างแท้จริงแล้ว ควรพิจารณา ดังนี้

1. จุดยืน (Stand Point) ต้องอ่านจุดยืนบุคคลให้ออก และสามารถแก้ไขได้ด้วยพุทธธรรม

1.1 บุคคลมีจุดยืนเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมอันเกิดจากความรู้สึกนึกคิดจากภูมิจิตหรือภูมิธรรมของตนที่มีมาแต่เดิม และสิ่งแวดล้อมนั้นๆ

1.2 บุคคลมีจุดยืนเพื่อผลประโยชน์แห่งตน (ก็ไม่ควรที่จะเข้ามาทำกิจกรรมทางการเมือง)

2. ความคิด (Thought) ต้องอ่านความคิดบุคคลนั้นๆ ให้กระจ่างแจ้ง

2.1 บุคคลคิดเพื่อประโยชน์ส่วนตน แล้วแสวงหาความอยากใหญ่ ใช้เงินเป็นใบเบิกทาง

2.2 บุคคลคิดเพื่อประโยชน์ส่วนรวม อันเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติ ของปวงชนเป็นผู้มีคุณธรรม อุทิศตน จุดมุ่งหมายจึงเริ่มแสวงหา

3. แนวความคิด (Line of thought)

คือการที่บุคคลได้แสวงหา แล้วสังกัดหรือเลือกแนวทางอันเป็นแนวความคิดของลัทธิความเชื่อต่างๆ ที่ตรงกับจุดยืนและความคิดของตน เช่น

3.1 ลัทธิเผด็จการ ในรูปแบบต่างๆ เช่น เผด็จการระบบรัฐสภาหรือเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ

3.2 ลัทธิคอมมิวนิสต์ เผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพ

3.3 ลัทธิประชาธิปไตย

3.4 ธรรมาธิปไตย การถือธรรมหรือสัจจะเป็นใหญ่ ประยุกต์จากกฎธรรมชาติหรือหลักพุทธธรรม เมื่อมีแนวคิดนั้นๆ จะนำเอาอุดมการณ์ และมรรควิธีของลัทธิอุดมการณ์นั้นไปแก้ปัญหาประเทศ แนวความคิดตามลัทธินั้นๆ ย่อมจะมีความแตกต่างกันไปตามลัทธินั้นๆ แต่โดยทั่วไปแล้ว ถ้าเป็นองค์การพรรคการเมืองที่แท้จริง สอดคล้องกับลักษณะพิเศษของประชาชนชาวไทยนั้น ควรจะมีองค์ประกอบที่สำคัญ โดยย่อดังต่อไปนี้

(1) พุทธศาสตร์หรือพุทธปรัชญา ว่าด้วยการศึกษา ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเข้าถึงอรรถสภาวะกฎทั่วไป(อสังขตธรรม) และปรากฏการณ์ของสังขารทั้งปวง (สังขตธรรม, กฎอิทัปปัจจยตา) และกฎเฉพาะของมนุษย์ได้แก่กฎปฏิจจสมุปบาท (รูป : นาม เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ให้เห็นถึงภูมิจิตหรือภูมิธรรมและกระแสกรรมของมนุษย์ การรู้แจ้งแห่งกองสังขารเพื่อการดับทุกข์ทางจิตใจ เข้าถึงอริยสัจจ์ 4 (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) และการประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตระหว่างมนุษย์, กฎธรรมชาติ และระบอบการเมืองให้สอดคล้องเป็นลักษณะเดียวกันได้อย่างไร

(2) ทฤษฎีปรัชญา ว่าด้วยการศึกษา รู้เข้าใจถึงอรรถสภาวะกฎทั่วไปและปรากฏการณ์ของสรรพสิ่ง เช่น พุทธปรัชญานิยมหรือสัจนิยม ย่อมเหนือกว่าปรัชญาอื่นๆ ของฝ่ายตะวันตก เช่น ปรัชญาจิตนิยม, ปรัชญาวัตถุนิยม, ปรัชญาทวินิยม, ฯลฯ อันเป็นพื้นฐานของแนวความคิดว่ามีโลกทัศน์และ “ธรรมทัศน์” เป็นอย่างไร สอดคล้องกับประชาชนไทยหรือไม่

(3) ทฤษฎีรัฐศาสตร์ ว่าด้วยการจัดระบบการเมืองการปกครอง หลักการใช้อำนาจในการปกครองบนความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครองหรือรัฐบาลกับประชาชนมีลักษณะแบบใด เช่น

- แบบเผด็จการในรูปแบบต่างๆ อำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อย

- แบบคอมมิวนิสต์ อำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนใหญ่

- แบบประชาธิปไตย, แบบธรรมาธิปไตย อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน

แนวความคิดของบุคคล มีพฤติกรรมการเรียนรู้และดำเนินการในสิ่งเหล่านี้ อย่างไร?

1) ลัทธิทางการเมือง (Doctrine)

2) อุดมคติทางสังคม (Idealistic Society) อุดมคติรวม

3) หลักการปกครอง (Principle of Government)

4) ระบอบ (Regime) หรือหลักการปกครอง

5) รูปการปกครอง (Form of Government)

6) วิธีการ (Method) หรือมรรควิธี

7) ระบบการเมือง (Political System)

8) หลักในการจัดความสัมพันธ์อย่างองค์รวมของประเทศชาติ

9) การสร้างการปกครองใหม่ (Government Construction)

(4) ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ว่าด้วยการจัดสรรทรัพยากรแห่งชาติ ให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชน อย่างเป็นธรรมได้อย่างไร เช่น การจัดระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง การกระจายทุนทางเกษตรกรรม และอุตสาหกรรม แทนการรวมศูนย์ทุนในปัจจุบัน การค้าระหว่างประเทศและว่าด้วยการจัดการรัฐสวัสดิการต่อสังคมหรือต่อประชาชนทุกสาขาอาชีพทั้งประเทศ

(5) หลักนโยบาย (Program) คือนโยบายทางทฤษฎีอันเป็นนามธรรมที่ได้ประมวลมาจากการศึกษา ปฏิบัติตามหลักคำสอนของลัทธิการเมืองนั้นอันเป็นระบบความคิดอยู่ในสมอง หรือในคัมภีร์ ซึ่งพร้อมที่จะแปรรูปเป็นนโยบาย

(6) นโยบาย (Policy) คือการนำหลักนโยบายมาแปรเป็นนโยบายเพื่อนำไปปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมอันจะก่อให้เกิดผลต่อประเทศชาติและประชาชนอันประกอบด้วยมาตรการ แผนการ และวิธีการ การนำนโยบายไปปฏิบัติเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุดเพราะจะต้องเผชิญหน้า และถูกขัดขวางกับแนวความคิดของลัทธิระบอบการเมืองเก่าอำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อย (เผด็จการระบบรัฐสภา) ที่ล้าหลังสร้างความหายนะให้กับชาติและประชาชนมายาวนาน โดยคณะบุคคลที่ยึดถือในรูปของผู้ปกครองได้แก่รัฐบาล พรรคคนส่วนน้อย กลไกรัฐ และองค์การมวลชน จึงต้องกำหนดแนวทางรณรงค์ (ต่อสู้)

(7) แนวทางการต่อสู้หรือการรณรงค์ (Campaign) บางลัทธิ เช่น เผด็จการ และคอมมิวนิสต์ใช้วิธีการต่อสู้รุนแรงทั้งทางกาย วาจา และวัตถุอุปกรณ์

ส่วนแนวทางธรรมาธิปไตย ใช้วิธีการต่อสู้อย่างสันติ (อหิงสา ปรโม ธัมโม) เป็นมาตรการทางธรรม ย่อมนำมาซึ่งประโยชน์ของทุกคน การต่อสู้ที่ไม่เบียดเบียนอันตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความรัก ความเมตตาในเพื่อนมนุษย์และสัตว์โลกทั้งปวงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

(8) ยุทธศาสตร์ (Strategy) คือหลักสำคัญที่ได้กำหนดขึ้นจากสภาวการณ์ และสถานการณ์ อันแท้จริงของประเทศ ด้วยการพิจารณาความสัมพันธ์ทั้งหมดทุกแง่มุม ทุกขั้นตอน ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ของประเทศ ศาสนา การเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สถาบันต่างๆ ประชาชนทุกสาขาอาชีพ ฯลฯ แล้วกำหนดเป็นจุดมุ่งหมายเพื่อดำเนินภารกิจให้บรรลุต่อจุดมุ่งหมายนั้น ยุทธศาสตร์ที่ตั้งขึ้นจะต้องครอบคลุมปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวพันสัมพันธ์กันทั้งหมด รวมทั้งภายในจิตใจด้วย และยุทธศาสตร์หรือจุดมุ่งหมายที่ตั้งขึ้นนั้นจะต้องมีเพียงหนึ่งเดียวและไม่เปลี่ยนแปลง (ไม่ตาย ไม่สลาย ก็คือธรรมาธิปไตยนั่นเอง)

(9) ยุทธวิธี (Tactic) คือวิธีการดำเนินการตามแผนการที่กำหนดขึ้นตามสถานการณ์เพื่อให้บรรลุภารกิจที่ได้กำหนดไว้เป็นไปตามสถานการณ์นั้นๆ เพื่อบรรลุยุทธศาสตร์หรือจุดมุ่งหมาย

(10) มาตรการ (Measure) คือการกำหนดการดำเนินการให้เป็นรูปธรรมเป็นข้อๆ ตามยุทธวิธีนั้น

(11) วิธีการ (Method) คือลักษณะการดำเนินการภารกิจให้บรรลุในขั้นตอนต่างๆ ว่าให้ปฏิบัติอย่างไร แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นต่อยุทธศาสตร์หรือจุดมุ่งหมายเสมอไป

(12) ตัวความคิดหรืออุดมการณ์ (Ideology) คือหัวใจหลักของระบบความคิดของลัทธิการเมืองนั้นๆ ที่พรรคหรือคณะบุคคลของพรรคนั้นๆ อันเป็นผลจากการศึกษา ค้นคว้า ปฏิบัติด้วยความเห็นแก่ตัว หรือเสียสละ ต่อสู้ ทุ่มเท อุทิศตนเพื่อแผ่นดิน จนเกิดระบบความคิดตามแนวลัทธิการเมืองของตนตามหัวข้อดังกล่าวข้างต้น

โดยพรรคนั้นๆ ยึดถือและดำเนินการอย่างเป็นระบบซึ่งแสดงออกให้เรารู้ ให้เห็น จากรูปธรรมคือการเสนอนโยบายและการแสดงออกทางพฤติกรรม เช่น การคิด การพูด การเขียน การดำเนินการ การรณรงค์ การประชาสัมพันธ์ ฯลฯ เพื่อประโยชน์ตน, พรรคและพวกพ้อง หรือเพื่อประเทศชาติและปวงชนอย่างแท้จริงหรือไม่นั้น พิจารณาจากยุทธศาสตร์เป็นสำคัญ

4. วิธีคิด (Way of thinking) คือการรวมยอดของระบบความคิดทั้งหมดของลัทธิการเมืองนั้นๆ ซึ่งได้แสดงออกทางพฤติกรรม เช่น การคิด การพูด การเขียน การรณรงค์ การดำเนินการ การประชาสัมพันธ์ การชูสโลแกน การเสนอวิธีการแก้ปัญหา อันทำให้เราได้ทราบว่าแนวทาง ทางการเมืองพรรคนั้นๆ มีสัจธรรม หรือมีปรัชญา ทฤษฎี อุดมการณ์ แนวความคิด และมีจุดยืนต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างไร และยึดถือแนวทางการเมืองของลัทธิใด เช่น ลัทธิเผด็จการ, คอมมิวนิสต์, ประชาธิปไตย และธรรมาธิปไตย เป็นต้น

ที่กล่าวมาโดยย่อนี้ เพื่อให้ประชาชนได้มีเครื่องมือหรือไม้บรรทัดอันมีประสิทธิภาพยิ่งในการตรวจสอบพรรคการเมือง และบุคคลนั้นๆ ว่ามี 1. จุดยืน 2. ความคิด 3. แนวความคิด ปรัชญา อุดมการณ์ และลัทธิการเมืองเช่นไร เรารู้ได้จากวิธีคิดนี้เอง

ถ้าท่านเป็นหนึ่งในผู้มุ่งมั่น แสวงหาสัจธรรม ทุ่มเท เสียสละ อุทิศตนเพื่อแผ่นดิน มุ่งมั่นในอุดมการณ์เชิดชูธรรมนำชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ท่านโชคดีแล้วที่ได้รับสารธรรม ที่หาอ่านไม่ได้ในที่ใดๆ บทความนี้เพียงน้อยนิดเท่านั้น จะรู้แจ้งอย่างสมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้นไปจะต้องทำอย่างไร? จงใช้ปัญญาของท่านเสาะแสวงหาสัจจะเพื่อแผ่นดิน ด้วยความเมตตาอย่างยิ่งใหญ่ที่ไม่มีสิ้นสุด ต่อปวงชน ถ้าท่านเห็นด้วย ด้วยจิตใจที่ยิ่งใหญ่ พึงก้าวขาแสวงหาหลักการนี้เถิด




โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 25 กันยายน 2550 เวลา:8:35:14 น.  

 
สวัสดียามสนธยาที่คิดถึง...
กัลยณามิตรที่แสนประเสริฐ..

วันนี้พระจันทร์สวย...เต็มดวงงามสง่า
เป็นวันดีของชาวจีน..ในวันระลึกถึง
เป็นวันจิตสงบของชาวไทยในวันพระ
ขึ้น 15 คำเดือน 9..ในวันไทย

คนดี ย่อมแสดงออกซึ่งความดี
คนชั่ว ย่อมแสดงออกซึ่งความชั่ว
คนซื่อ ย่อมแสดงออกซึ่งความซื่อ
คนเลวทราม ย่อมแสดงออกซึ่งความเลวทราม
คนดีแบบ 5ดีคือ คิดดี ทำดี พูดดี คบคนดี และไปสู่สถานที่ดี
ส่วนคึนชั่ว คิดแต่เรื่องชั่ว คบคนชั่ว ชอบไปสถานที่ชั่ว

เชื้อโรคเกิดจากความสกปรกฉันใด
ความเสียหายเดือดร้อนก็เกิดจากความไม่ดีฉันนั้น

ระลึกถึงมิตรที่แสนดีเสมอค่ะ
อนุโมทนาค่ะ




โดย: catt.&.cattleya.. วันที่: 26 กันยายน 2550 เวลา:21:01:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.