|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
วันคืนที่ดูเหมือนเพิ่งผ่านไปเพียงไม่นาน...
"ชีวิตกับสายน้ำและลำคลอง เป็นเพียงความทรงจำในวัยเด็ก ที่ดูจะลางเลือนและเป็นอดีตที่ไม่มีวันหวนกลับ"
การเขียนเรื่องราวของตัวเองในอดีต เป็นสิ่งที่รื้อฟื้นความทรงจำต่าง ๆ ได้ยาก และบางทีรู้สึกว่าหากเราทำได้ มันก็อาจเป็นบันทึกที่เราจะเก็บมันเอาไว้ เพื่อย้ำเตือนตนเอง ไม่ให้เดินหลงทางและยึดมั่นในสิ่งที่เราเชื่อมั่นและศรัทธา
ช่วงชีวิตของคน ๆ หนึ่งดูเหมือนมันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในยามที่พานพบกับความสำเร็จในเวลาที่ไม่นานนัก พลันกลับพบกับความล้มเหลวในเวลาต่อมา ทำให้ชีวิตได้เข้าใกล้ในสัจจธรรมต่าง ๆ มากขึ้น
เวลาที่เหลืออยู่เราจะจัดการกับมันอย่างไร ไม่ให้มันผ่านไปโดยสูญเปล่า และสร้างประโยชน์ให้กับคนรอบข้าง ในสถานภาพที่เราสามารถจะทำได้ คงจะเป็นสิ่งที่คนรุ่นเราจะต้องคิดใคร่ครวญ
บันทึกนี้จะเขียนไปเรื่อย ๆ ตามสภาพเวลาที่เอื้ออำนวย และจะเขียนให้จบเท่าที่เจ้าของบล็อกอย่างให้เป็น
...................................................
วัยเยาว์อันสดใส
ชนบทภาคเหนือตอนล่างอันประกอบด้วยชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลที่มีชาวจีนชนเผ่าต่าง ๆ อพยพมาอยู่อย่างหนาแน่น โดยเฉพาะชาวจีนไหหลำที่มีอยู่มากที่อำเภอพิชัยและอพยพลงมาอยู่ที่พิจิตร,พิษณุโลกและนครสวรรค์และแตกลูกแตกหลานมากมายในปัจจุบัน คือสิ่งที่เราได้เห็นวัฒนธรรมประเพณีจีนที่ยังดำรงอยู่ในสังคมไทยได้อย่างกลมกลืน และมีส่วนในการสร้างชาติไทยมาถึงทุกวันนี้
ชนบทภาคเหนือในห้วงเวลาเมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้วมีเพียงถนนราดยางสองเลนและมีลำคลองอยู่ข้างถนน การค้าขายที่ผู้คนที่อยู่ในเขตสุขาภิบาลได้ทำกันก็คือตลาดแบบโชห่วยไทยที่ยังพอเห็นอยู่ในปัจจุบัน มีตลาดสดที่ผู้คนไปจับจ่ายซื้อกันในตอนเช้า และบ้านกับวัดดูจะมีความใกล้ชิดกันอย่างมาก เช้าจะเห็นขบวนของพระออกมาบิณฑบาตรเหมือนอย่างที่เห็นในหลวงพระบางในปัจจุบันนี้
การศึกษาที่ได้รับเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งในชนบท ยังจำวิชาคัดไทยในยามที่หัดเขียนภาษาไทยในช่วงแรก ๆ ของชั้นป.เตียม ที่ได้คะแนนค่อนข้างดี และหนังสือหัดอ่านภาษาไทยสมัยก่อนที่ได้รับการสอนอ่านจากพ่อยังคงอยู่ในความทรงจำ และหนังสือแบบเรียนเหล่านี้ก็จะมีนิทานแทรกอยู่หลายเรื่อง เป็นนิทานที่แฝงแง่คิดดี ๆ ไว้มากมาย
ชีวิตวัยเรียนชั่วระยะเวลาสั้น ๆ ในชนบทก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ราวปี 2511ได้มีโอกาสมาเรียนที่กรุงเทพในโรงเรียนเอกชนมีชื่อด้วยความพยายามของพ่อที่จะพยายามส่งเสียลูกทุกคนให้มีการศึกษาที่ดี แม้ว่าฐานะทางการเงินในห้วงเวลานั้นจะไม่พร้อมก็ตาม อาชีพในช่วงนั้นของพ่อคืออาชีพของพ่อค้าคนกลางที่รับซื้อข้าวจากชาวนาในแถบนั้น ในแต่ละวันที่ซื้อข้าวได้พ่อก็จะนำรถบรรทุกสิบล้อพร้อมข้าวเปลือกนำไปขายให้กับโรงสีโดยพ่อจะออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด ในช่วงเวลาที่ว่างเว้นจากการซื้อขายข้าว พ่อก็จะนำรถไปเข้ากับบริษัทขนส่งและขนของลงมากรุงเทพฯโดยขับรถในช่วงกลางคืนและทุกครั้งที่ขับรถก็ต้องกิน"ยาม้า" เพื่อไม่ให้หลับใน
ความลำบากของพ่อที่พยายามหาเงินส่งเสียให้ลูกทุกคนได้เรียนยิ่งทำให้เราต้องตั้งใจเรียนมากขึ้น ในช่วงประถมปลายเพื่อนในห้องส่วนใหญ่ก็ไปสอบเข้าโรงเรียนสวนกุหลาบ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่สอบเข้าได้และส่วนหนึ่งคือการได้คะแนนพิเศษจากการเป็นลูกทหารที่เป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนนี้ เพื่อนในห้องที่สอบได้ที่หนึ่งก็ยังพลาดการสอบเข้าในครั้งนี้ แต่เพื่อนสนิทที่ไปกวดวิชาที่โรงเรียนตรอกมะยมด้วยกันก็ได้มีโอกาสได้เข้าไปเรียนที่นี่ส่วนหนึ่งเพราะสิทธิพิเศษจากการเป็นลูกของทหาร
หลังจากสอบเข้าไม่ได้ก็กลับมาเรียนต่อ ผลการเรียนก็ดำเนินไปด้วยดี วิชาที่ชอบมาก ๆ คงจะเป็นวิชาด้านคณิตศาสตร์โดยเฉพาะเรขาคณิตและพีชคณิต ในช่วงปีมัธยม 2เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม เนื่องจากที่โรงเรียนเป็นคู่ขัดแย้งหนึ่งของผู้มีอำนาจในสมัยนั้น ทางโรงเรียนได้เกณฑ์นักเรียนไปร่วมประท้วงที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ความบริสุทธิ์ของความเป็นเด็กวัยรุ่นที่มองโลกด้วยความสวยงามและอยากเห็นสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับบ้านเมือง การประสานจับมือของขบวนการนักเรียนนักศึกษาสมัยนั้นโดยเฉพาะเด็กนักเรียนอาชีวะที่เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัย และการหนุนช่วยของพี่น้องประชาชนจำนวนมากทั้งเงินและอาหารกล่อง ผลไม้ต่าง ๆ ฯลฯ
บ่ายวันที่ 13 ตุลาคม การเรียกร้องให้ปล่อย 13 กบฎไม่เป็นผลผู้นำการเคลื่อนไหวคือองค์กรศูนย์นิสิตนักศึกษาตัดสินใจเคลื่อนม็อบออกไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย คลื่นมหาชนหลายแสนคนเดินขบวนกันอย่างเหยียดยาวไปตามถนนราชดำเนินกลาง พร้อม ๆ กับการร้องเพลงไปด้วย ในช่วงนั้นเริ่มมีเพลงเพื่อชีวิตของวงคาราวานที่เริ่มจากการรวมวงกันของนักศึกษาในภาคอีสานด้วยท่วงทำนองดนตรีแบบโฟล์คซองและประสานเสียงด้วยดนตรีพื้นบ้านเช่น พิณ เพลงต่าง ๆ ได้ถูกแต่งขึ้นท่ามกลางการเคลื่อนไหวเรียกร้องก่อนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา เช่นเพลง "สู้ไม่ถอย" "ประชาชนเดิน" "คนกับควาย"
หลังจากเดินร่วมมากับพวกพี่นักศึกษาจนถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยได้สักพักใหญ่ สุดท้ายเราก็เดินทางกลับบ้านด้วยความรู้สึกของเด็กคนหนึ่งที่ไม่คิดว่า "การเรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยนั้นจะมีความยากลำบากเพียงใด"
เช้าวันรุ่งขึ้นออกไปข้างนอกซื้อของได้ยินชาวบ้านคุยกันว่านักศึกษาถูกยิง หลังจากนั้นสื่อทางวิทยุและโทรทัศน์ก็จะให้ข่าวในทำนองเกิดการจราจลและนักศึกษาจุดไฟเผาสถานที่ราชการ ในฐานะเด็กคนหนึ่งที่ไปร่วมเดินขบวนมาในใจนั้นมีความสับสนอย่างมากและรู้สึกว่าอำนาจเผด็จการจะต้องพ่ายแพ้ต่อนักศึกษาประชาชนที่มีจิตใจรักชาติและมีความบริสุทธิ์ใจในการเรียกร้องหาประชาธิปไตย ในครั้งนี้
ความสับสนของสถานการณ์ดำเนินไปอีกราวสองวัน ในเย็นวันที่ 16 ตุลา มีการประกาศแต่งตั้งนายกและสามทรราชได้เดินทางออกนอกประเทศ
ปีถัดมาจากผลของการเรียกร้องประชาธิปไตยของนักศึกษาประชาชน มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ที่เรียกว่า "รัฐธรรมนูญฉบับปี 2517" ที่มีที่มาจากสมัชชาแห่งชาติหรือที่เรียกว่า"สภาสนามม้า" เป็นการเลือกตัวแทนมาร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จากสาขาอาชีพต่าง ๆ และก่อเกิดกลุ่ม "ดุสิต 99" ที่เป็นการรวมกันของเทคโนแครตที่ผ่านการศึกษาจากต่างประเทศ
กลุ่มดุสิต 99 ส่วนหนึ่งได้เข้าไปร่วมก่อตั้งพรรคการเมืองในสมัยนั้นและมีอิทธิพลอยู่ในวงการเมืองในห้วงระยะเวลาสามปีก่อนเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ภายหลังจากที่มีการร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้น ผลการเลือกตั้งหลังจากนั้นคือรัฐบาลผสมหลายพรรคที่สำคัญคือมาจากพรรคประชาธิปัตย์ ธรรมสังคม พลังใหม่ แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะบรรยากาศภายนอกสภาที่กดดันจากม็อบเรียกร้องความเป็นธรรมที่มุ่งเข้ากรุงเทพฯไม่เว้นแต่ละวัน และภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา ศูนย์นิสิตฯก็เป็นองค์กรที่กลุ่มประชาชนที่เดือดร้อนเข้ามาติดต่ออย่างไม่ขาดสาย
การเมืองในสภาที่เพิ่งผ่านการเลือกตั้งและได้รัฐบาลใหม่ก็ดำรงอยู่ได้ไม่นาน รัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำได้ตัดสินใจลาออก และรัฐบาลชุดต่อมาก็คือรัฐบาลยุคเงินผันที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในแวดวงการเมืองไทยนำโดยพรรคกิจสังคมที่มี ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นหัวหน้าพรรค และมีนายบุญชู โรจนเสถียร เป็นเลขาธิการพรรค ได้ร่วมกันผลักดันนโยบายประชานิยมยุคแรกทั้งนโยบายเงินผัน ขึ้นรถเมล์ฟรี รักษาพยาบาลฟรีสำหรับคนจน และการประกันราคาพืชผล ซึ่งต่อมานายบุญชูได้รับฉายา "ซาร์เศรษฐกิจ" อันเนื่องมาจากมีวิสัยทัศน์ในการมองปัญหาสังคมเศรษฐกิจที่เฉียบคมและมีฐานทางเศรษฐกิจและฐานะทางการเงินที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
รัฐบาลคึกฤทธิ์ที่มีเสียงเพียง 18 เสียง แต่สามารถเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้นับว่าเป็นเรื่องไม่ธรรมดา ในยุคนั้นจำนวนสส.ในสภามีไม่มากนักราว ๆ300 คน ในที่สุดรัฐบาลผสมชุดที่สองก็มีอันล้มครืนลงอีก แต่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ตัดสินใจยุบสภาเพราะหวังว่าพรรคกิจสังคมจะได้เสียงข้างมาก แต่กาลกลับไม่เป็นไปดังคาด พรรคประชาธิปัตย์สามารถชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงประมาณ 110 เสียง และเป็นรัฐบาลผสมที่ดูจะมีความมั่นคงมากขึ้น
แต่สถานการณ์ทางการเมืองในยุคที่เรียกว่า "ขวาพิฆาตซ้าย" ก็กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น กลุ่มจัดตั้งของ กอ.รมน.ที่นำโดยกลุ่มกระทิงแดง นวพล และการใช้สื่อสารมวลชนหลาย ๆ แขนงรุกทางการเมืองโจมตีขบวนการนักศึกษาที่เริ่มโน้มเอียงไปทางอุดมการณ์ทางการเมืองของ พคท. ที่ใช้ยุทธศาสตร์ยุทธวิธี "ชนบทล้อมเมือง" ตามแบบจีนที่สามารถเอาชนะในสงครามประชาชนภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งในยุคสงครามเย็นที่ยังดำเนินไปในช่วงนี้ก่อนที่กำแพงเบอร์ลินจะแตกในช่วง ปี 2532 และการล่มสลายของอำนาจรัฐสังคมนิยมแห่งแรกในโลกคือโซเวียตรัสเซียในปี 2534
ความพยายามสร้างสถานการณ์ของฝ่ายขวาจัดดำเนินไปอย่างต่อเนื่องด้วยการพยายามนำสามทรราชกลับเข้ามาอีก ด้วยข้ออ้างต่าง ๆ นานาเช่นมาเยี่ยมพ่อและเข้ามาด้วยสถานภาพการบวชเป็นพระเพื่อสร้างความเห็นใจจากสังคม แต่ลึก ๆ นั่นคือการเตรียมการณ์ในการก่อรัฐประหารของกลุ่มขวาจัดอันประกอบด้วยกลุ่มทหารและทุนขุนนางที่มีบทบาทอยู่ในกลไกอำนาจรัฐ
ด้วยความบริสุทธิ์และไร้เดียงสาทางการเมือง ความโน้มเอียงทางอุดมการณ์ทางการเมืองที่ยึดติดกับตำราและทฤษฏีโดยขาดการประสานกับความเป็นจริงของสังคมไทยอย่างลึกซึ้ง ขบวนการนักศึกษาที่นำโดยศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยหรือเรียกย่อ ๆ ว่า "ศนท." ก็ติดกับดักเกมแห่งอำนาจของผู้มีอำนาจที่มีความเหนือกว่าในทุก ๆ ด้าน การปลุกผีคอมมิวนิสต์ดำเนินไปอย่างเข้มข้นในสื่อวิทยุของกองทัพบกที่มีมากกว่า 90 % และผ่านทาง นสพ.ดาวสยาม การขาดประสบการณ์ในการทำงานแนวร่วมและความแจ่มชัดทางอุดมการณ์ที่เป็นรูปธรรมและการวางแผนทางยุทธศาสตร์ยุทธวิธี มีเพียงความเชื่อมั่นและศรัทธาทางนามธรรมของเยาวชนคนหนุ่มสาวที่ต้องการสร้างสังคมอุดมคติ แต่ขาดการสื่อสารกับสังคมทำให้ในช่วงเวลาเพียงสามปีภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 จากภาพของวีรชนที่นำพาประเทศสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยกลับแปรเปลี่ยนไปเป็นกบฎต่อสังคมและเป็นกลุ่มคนที่ต้องกำจัดและทำลายล้างออกไปในทุกวิถีทาง
คำคม
"ประชาธิปไตยที่ยังไม่ลงลึกถึงวัฒนธรรมทางการเมืองที่เป็นอิสระและมีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวมและสังคม แต่ยังอบอวลด้วยระบบอุปถัมภ์ วัฒนธรรมอุปถัมภ์ที่ชนชั้นนำหลอกล่อชาวบ้านด้วยผลประโยชน์เฉพาะหน้าก็คงอีกนานที่เราจะได้เห็นความรุ่งเรืองของบ้านเมือง คนรุ่นเราทั้งในส่วนของภาคธุรกิจและแวดวงปัญญาชนจะต้องไม่เบื่อการเมืองและช่วยกันผลักดันการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแบบใหม่ให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองให้ได้ แม้จะต้องใช้ระยะเวลายาวนานเพียงใด
หากวันนี้เสรีชนยอมแพ้ต่อโชคชะตา เราจะฝากความหวังใดให้กับบ้านเมืองนี้ได้เล่า !!!"
|
|
|
|
บล็อกที่แล้ว คลิกที่นี่
การเมืองสีเขียว วิถีแห่งสังคมและระบบนิเวศ..นพนันท์ อนุรัตน์ คลิกที่นี่
Create Date : 28 สิงหาคม 2550 |
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2550 22:43:57 น. |
|
26 comments
|
Counter : 887 Pageviews. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 30 สิงหาคม 2550 เวลา:9:40:24 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 30 สิงหาคม 2550 เวลา:23:30:48 น. |
|
|
|
โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 31 สิงหาคม 2550 เวลา:15:51:36 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 1 กันยายน 2550 เวลา:8:35:14 น. |
|
|
|
โดย: p_tham วันที่: 4 กันยายน 2550 เวลา:8:15:37 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 4 กันยายน 2550 เวลา:23:15:30 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 6 กันยายน 2550 เวลา:10:44:02 น. |
|
|
|
โดย: katoy วันที่: 7 กันยายน 2550 เวลา:11:59:30 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 12 กันยายน 2550 เวลา:22:43:05 น. |
|
|
|
โดย: rebel วันที่: 16 กันยายน 2550 เวลา:20:14:10 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 18 กันยายน 2550 เวลา:21:22:49 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 18 กันยายน 2550 เวลา:22:09:51 น. |
|
|
|
โดย: กระจ้อน วันที่: 19 กันยายน 2550 เวลา:17:21:29 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 19 กันยายน 2550 เวลา:23:18:18 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 20 กันยายน 2550 เวลา:23:18:16 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 21 กันยายน 2550 เวลา:23:26:36 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 21 กันยายน 2550 เวลา:23:45:10 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 21 กันยายน 2550 เวลา:23:48:41 น. |
|
|
|
โดย: ju IP: 222.123.169.248 วันที่: 22 กันยายน 2550 เวลา:19:26:47 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 23 กันยายน 2550 เวลา:19:01:47 น. |
|
|
|
โดย: หนี่หนีหนี้ (แพรวขวัญ ) วันที่: 24 กันยายน 2550 เวลา:21:14:50 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 25 กันยายน 2550 เวลา:8:35:14 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ช่วงนี้ไม่รู้จะทำบล็อกอย่างไร ขอนังเขียนรำลึกอดีตของตัวเองดูบ้าง หวังว่าคงจะได้เป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองต่าง ๆ ระหว่างเพื่อน ๆ ที่เข้ามาอ่านในบล็อกนี้บ้างนะครับ
ช่วงนี้งานไปได้เรื่อย ๆ แต่เข้าเน็ตน้อยลงและจะพยายามเขียนให้จบภายในหนึ่งเดือนหวังว่าคงไม่นานเกินไปนะครับ