ชั่วกูก็รู้ ดีกูก็รู้ แต่กูทำไม่ได้
เมื่อผมทำงานอยู่ในหน่วยงานแห่งหนึ่งในจังหวัดทางเหนือ เคยได้ยินผู้ร่วมงานคนหนึ่งพูดให้ได้ยินว่า ชั่วกูก็รู้ ดีกูก็รู้ แต่กูทำไม่ได้ (ขอโทษครับ ที่ใช้ภาษาสมัยพ่อขุนรามฯ) ผมได้ยินถึงสะอึก ที่เขาพูดเช่นนั้นก็เพราะว่าในวันนั้นคนที่อยู่ในหน่วยทั้งหมดต้องเข้าฟังการบรรยายธรรม คือหน่วยใหญ่ได้กำหนดเป็นระเบียบปฏิบัติเอาไว้ว่า หน่วยรอง(ทั่วประเทศ)ต้องจัดให้มีการบรรยายธรรม หรือการแสดงธรรม ทุกเดือนๆละครั้ง เพื่อพัฒนาด้านจิตใจให้กับคนในหน่วย ถือเป็นงานภาคบังคับอย่างหนึ่ง
ผู้ร่วมงานของผมคนนี้เคยบวชเรียนมาแล้ว ครั้งแรกผมคิดว่าเขาพูดประชดกิจกรรมนี้ซึ่งหลายคนเห็นว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย ไม่เร้าใจ (อันนี้เป็นจุดอ่อนของผู้บรรยายบางท่าน) แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าเขาอาจจะพูดประชดตัวเองก็ได้ รู้ทั้งรู้ว่าอะไรเป็นกรรมดีอะไรเป็นกรรมชั่ว แต่ยังแก้ไขตัวเองให้เลิกทำกรรมชั่วไม่ได้ เช่น การดื่มสุรา เล่นการพนัน ฯลฯ
คำพูดนี้ก้องอยู่ในใจผมมานานนับปี จนเมื่อได้ฟังธรรมจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์จึงได้รู้ว่าแค่รู้ว่าอะไรเป็นกุศล(บุญ) และอะไรเป็นอกุศล(บาป) เท่านั้นยังไม่เพียงพอ ต้องนำมาประพฤติปฏิบัติด้วย และต้องทำให้ได้จริงๆ
อกุศลถ้าไม่มี อย่าให้มี ถ้ามีอยู่ก่อนแล้ว ต้องละต้องเลิก
ส่วนกุศลนั้นถ้ายังไม่มี ต้องทำให้มี ถ้ามีอยู่แล้ว ต้องทำให้เจริญยิ่งขึ้น
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า
ธรรมนั้นเป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะคนที่ลงมือปฏิบัติเองเท่านั้น คนอื่นที่ไม่ได้ปฏิบัติแล้วจะมารู้นั้นเป็นไปไม่ได้เลย เปรียบเหมือนคนหิวข้าว ต้องกินเองถึงจะอิ่ม จะให้คนอื่นกินแทนไม่ได้ ที่ผู้ร่วมงานของผมพูดว่า รู้"คือรู้ว่าอะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาปซึ่งเป็นปัญญาจากการได้ยินได้ฟัง (สุตมยปัญญา) หรือรู้ด้วยการใช้ความคิดพิจารณาด้วยเหตุด้วยผล(จินตมยปัญญา) แต่ขาดความรู้ที่เกิดจากฝึกฝนอบรมตนเองหรือภาวนา (ภาวนมยปัญญา) ถ้าเขาใช้ความ"รู้"หรือปัญญาที่เกิดจากการภาวนานี้แล้วก็จะเห็นชัดว่าบุญก่อสุขและบาปก่อทุกข์
ผู้ร่วมงานของผมพูดว่าทำไม่ได้ ก็เพราะว่ายังไม่อยากทำ หรือยังไม่อยากเลิก ยังมีตัณหาอยู่ คือยังไม่ได้ใช้
ภาวนมยปัญญา หรือเคยทำเคยเลิกแล้วแต่ไม่สำเร็จ ซึ่งก็คือขาดความอดทน ขาดความเพียร นั่นเอง