ทรัพย์สมบัติทางโลกนั้น ถ้าเรามีมากก็มักจะกลัวว่าจะถูกลัก ถูกขโมย ถูกปล้น ถูกโกง ถูกฉ้อฉลเอาไป ถ้าเป็นเงิน ทองเพชรนิลจินดาก็ต้องเก็บไว้ในที่ปลอดภัยเช่นตู้เซฟ หรือเอาไปฝากธนาคาร ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ ก็ต้องจัดการให้ดี แต่มีทรัพย์อีกประเภทหนึ่งซึ่งคุณไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาแย่งจากคุณไปได้ ทรัพย์เช่นว่านี้มีอยู่ด้วยกัน ๗ อย่างครับ ลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้าง และเราจะสะสมได้อย่างไร
๑. ทรัพย์อย่างแรกนี้คือ ศรัทธา หรือความเชื่อ เป็นศรัทธา ความเชื่อที่เรามีต่อพระผู้มีพระพุทธเจ้าว่าพระองค์มีจริง ตรัสรู้แจ้งพระนิพพานจริง ศรัทธา ความเชื่อที่เรามีต่อพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ว่านำเราไปสู่ความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้จริง ด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ ไม่สักแต่ว่าศรัทธา หรือเชื่อเฉยๆ ความเชื่อที่เรามีต่อพระสงฆ์ว่าเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบ และเป็นพยานว่าพระธรรม คำสั่งสอนของพระองค์ดีจริง และประเสริฐจริง เชื่อว่ากรรมมีจริง ใครทำกรรมดีหรือกรรมชั่วไว้ก็จะต้องได้รับผลของกรรมนั้น
๒. ทรัพย์อย่างที่สองคือศีล การควบคุมความประพฤติทั้งทางกาย และวาจาของเราให้อยู่แต่ในทางที่ดี ไม่เบียดเบียนผู้อื่น สัตว์อื่น รวมถึงไม่เบียดเบียนตนเองด้วย
๓. ทรัพย์อย่างที่สามคือหิริ ความละอายต่อบาปทั้งปวง ละอายต่อการประพฤติผิด ละอายต่อการทำกรรมชั่วทั้งทางกาย (กายทุจริต) ทางคำพูด(วาจาทุจริต) และทางใจหรือความคิด(มโนทุจริต)เช่นคิดเบียดเบียนเขา คิดทำร้ายเขา เป็นต้น
๔. ทรัพย์อย่างที่สี่คือโอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาป กลัวว่าทำชั่วแล้วจะได้รับผลของการกระทำนั้นๆไม่ทางตรง ก็ทางอ้อม ไม่ช้าก็เร็ว ไม่โลกนี้ก็โลกหน้า ไม่มีใครรู้ก็ตัวเองนั่นแหละรู้และทุกข์ เสียยิ่งกว่าคนอื่นรู้เสียอีก กลัวว่ากรรมนั้นจะติดตามไปจนกว่าจะได้ชดใช้กรรมนั้นหมด
๕. ทรัพย์อย่างที่ห้าคือ พาหุสัจจะ ความรู้จากการศึกษา การได้ยินได้ฟัง เราเรียนรู้และได้ยินได้ฟังมามากจนจำได้ขึ้นใจ ว่าได้คล่องปาก เจนใจ(แม่นยำในใจ) พรรณนาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ได้
๖. ทรัพย์อย่างที่หกคือจาคะ การเสียสละ การให้ ที่ไม่ระบุผู้รับ เป็นการสลัดความตระหนี่ถี่เหนียว ความโลภ ความเห็นแก่ตัวออกไป เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แบ่งปันสิ่งที่เรามีให้กับผู้ที่ไม่มีหรือขัดสน
๗. ทรัพย์อย่างที่เจ็ดปัญญา คือความรู้ ความฉลาด ความเข้าใจสิ่งต่างๆ อย่างมีเหตุมีผล ความรู้ในเรื่องบาป-บุญ คุณ-โทษ ดี-ชั่ว ทรัพย์ชนิดนี้เราสามารถทำให้เกิดมีได้ด้วยการเรียน การศึกษา การฟัง (สุตมยปัญญา) การคิด พิจารณาไตร่ตรองจากเหตุไปหาผล และหรือจากผลไปหาเหตุ ( จินตามยปัญญา) และการภาวนา หรือการฝึกอบรมจิตใจ (ภาวนามยปัญญา)
การเรียน การศึกษา การฟัง (สุตมยปัญญา) การคิด พิจารณาไตร่ตรองจากเหตุไปหาผล และหรือจากผลไปหาเหตุ ( จินตามยปัญญา) และการภาวนา หรือการฝึกอบรมจิตใจ (ภาวนามยปัญญา)
ทรัพย์ทั้งเจ็ดอย่างนี้เป็นทรัพย์ที่เราสามารถสะสม พอกพูนในตัวเราได้แน่นอน และไม่มีใครสามารถมายื้อแย่งไปจากเราได้ พระท่านเรียกว่าเป็น ทรัพย์ภายใน เป็นทรัพย์ที่ติดตัวเราไปจนตาย แม้เราตายไปแล้วก็ยังเป็นคุณกับเราได้(ตายดี คนสรรเสริญ ไปอุบัติในภพภูมิที่ดี) พระท่านจึงสอนว่าให้ใช้ ทรัพย์ภายนอกหรือทรัพย์ทางโลกสร้าง ทรัพย์ภายใน เอาไว้เป็นทุนในชาติหน้าส่วนคนที่มีทรัพย์นี้อยู่แล้ว ก็สามารถทำให้ ทรัพย์ภายนอก งอกงามได้ด้วย
*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~