เรือนมรกต
|
|||
เล่าเรื่อง กฐินวัดแพร่ธรรมาราม เด่นชัย วันที่ ๑๖ คุลาคมที่ผ่านมาคุณย่าให้ผมพาไปวัดแพร่ธรรมาราม เพื่อทำบุญทอดกฐินประจำปี คุณย่าและผมเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อกัณหา สุขกาโม มาตั้งแต่สมัยอยู่ที่เด่นชัยเมื่อเกือบสามสิบปีก่อน ขณะนั้นศาลาพิธียังเป็นเรือนไม้เล็กๆ จุคนซึ่งมาทำบุญได้ไม่กี่สิบคน ปัจจุบันศาลาใหญ่โตกว้างขวาง ภายในวัดยังคงอนุรักษ์ความสงบ ความสะอาด ความเรียบง่าย ไว้อย่างเหนียวแน่น เป็นที่สัปปายะสำหรับพระภิกษุสงฆ์ ผ้าขาว คุณแม่ชี อุบาสก อุบาสิกา ที่มาถือศีลปฏิบัติธรรม กฐินปีนี้มีสาธุชนคนใจดีมาตั้งโรงทานมากถึง ๙๘ โรง วันนี้พระภิกษุสงฆ์ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดสาขาต่างๆทั้งในเขตภาคเหนือและภาคอีสานมาร่วมรับกฐินกันมากมายหลายองค์เหมือนปีก่อนๆ นับเป็นโอกาสดีที่จะได้กราบไหว้พระสุปฏิปันโนที่อยู่ต่างสาขา ปีนี้ หลวงพ่อกัณหา ฯได้เมตตาให้พระอาจารย์เอกราช เขมานันโท ประธานสงฆ์วัดแพร่ฯเป็นองค์แสดงธรรม เรื่องที่แสดงคืออานิสงส์ของกฐินทาน ผมเล่าย่อๆดังนี้นะครับ การทอดกฐินนี้ผู้ริเริ่มคือนางวิสาขามหาอุบาสิกา นั่นเอง เรื่องก็มีอยู่ว่าพระพุทธเจ้าได้บัญญัติให้พระภิกษุต้องอยู่จำพรรษาในอารามระหว่างฤดูฝน เพราะจะได้ไม่ไปเหยียบย่ำข้าวในนาของชาวบ้านให้เสียหาย คราวหนึ่งหลังจากวันออกพรรษาแล้วมีพระภิกษุ ๓๐ รูปต้องการไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ที่เมืองสาเกตุ ระหว่างทางผ้าที่ท่านครองอยู่ เปียกปอนจากน้ำค้างบ้าง น้ำฝนนอกฤดูบ้าง ท่านไม่มีผ้าเปลี่ยนเนื่องจากมีพุทธบัญญัติว่าให้พระภิกษุ มีผ้า ได้แค่สามผืน(ไตรจีวร)เท่านั้น คือ สบง(ผ้าโสร่ง) จีวร(ผ้านุ่งห่มบาง) สังฆาฏิ(ผ้าห่ม เหมือนจีวรแต่หนาสองชั้น) และอนุญาตให้อีกผืนคือ อังสะ (เสื้อซับใน) นางวิสาขาซึ่งเข้าเฝ้าฟังธรรมอยู่เห็นดังนั้น เลยทูลขอให้ประชาชนได้มีโอกาสถวายผ้าไตรจีวร แก่พระภิกษุสงฆ์หลังออกพรรษาได้ พระพุทธองค์ทรงอนุญาต จึงเป็นที่มาของการถวายผ้ากฐิน ซึ่งมีได้แค่ปีละครั้ง และพระภิกษุสงฆ์ที่จะรับกฐินได้ต้องเป็นผู้ที่อยู่จำพรรษาในอารามนั้นตลอดฤดูฝน สำหรับอานิสงส์ของการถวายผ้ากฐินนั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า มีมาก ผู้ที่ถวายหรือช่วยเหลือในการถวายถ้าปรารถนาที่จะเป็น พระอรหันต์สาวก หรือ เป็นอัครสาวก ก็เป็นได้ หรือถ้ายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่อีก ปรารถนาจะเป็นจักรพรรดิ กษัตริย์ มหาเศรษฐี เศรษฐี ฯ ก็เป็นได้ พระองค์ตรัสเล่าว่าในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามปทุมุตระ ก็เคยได้แสดงธรรมถึงอานิสงส์นี้ให้กับประชาชนได้ฟัง ในหมู่ชนนี้มี นายมหาทุคคตะ (คนที่ยากจนอย่างที่สุด) ฟังอยู่ด้วย มีความประสงค์ที่จะทอดกฐินบ้างแต่ขัดที่ว่าตนเป็นคนยากจน เป็นแค่ทาสของมหาเศรษฐีท่านหนึ่ง คิดว่าแม้อานิสงส์ของการช่วยทอดกฐินนั้นถ้าปรารถนาจะเป็น พระอรหันต์ หรือ เป็นกษัตริย์ เป็นเศรษฐี ก็เป็นได้ จึงตั้งใจไปเชิญชวนเศรษฐีนายทาสให้ทอดกฐินด้วย เมื่อนำความไปเล่าให้เศรษฐีฟังแล้ว เศรษฐีก็ยินดีเห็นว่าอานิสงส์นี้มาก จะทำมากก็ได้ จะทำน้อยก็ได้ แต่ออกตัวว่ายังไม่คุ้นเคยกับการทำบุญนี้ ขอให้นายมหาทุคคตะ เป็นคนจัดการให้ทั้งหมด นายมหาทุคคตะก็จัดการให้ทุกอย่าง สำหรับตนเองนั้นต้องการถวายทานด้วยแต่ไม่มีสมบัติใดเลยนอกจากผ้าที่นุ่งห่มอยู่ จึงเข้าป่าไปเก็บใบไม้มากลัดเย็บเป็นเครื่องปิดบังร่างกายไม่ให้เกิดความละอาย แล้วนำผ้านุ่งไปซักล้างจนสะอาด เอาไปให้พ่อค้าในตลาดขอแลกกับสินค้าใดก็ได้ เพื่อจะเอาไปทำบุญ พ่อค้าพิจารณาแล้วเห็นว่าผ้านุ่งนั้นแม้จะซักสะอาดแต่ก็เก่าและเปี่อยยุ่ยไม่มีราคาค่างวดแต่อย่างใด แต่เห็นความตั้งใจของนายมหาทุคคตะ จึงให้เข็มหนึ่งเล่มและด้ายอีกหนึ่งกลุ่มเป็นการแลกเปลี่ยนกับผ้านุ่ง นายมหาทุคคตะจึงได้เอาของที่ได้มาไปถวายเป็นบริวารกฐิน เมื่อการทอดกฐินเสร็จแล้ว นายมหาทุคคตะได้เข้าไปกราบพระพุทธเจ้าปทุมุตระ และตั้งจิตเอาไว้ว่าอานิสงส์ที่ตนได้ช่วยเหลือในการทอดกฐินของเศรษฐีนายทาส และการอุทิศผ้านุ่งซึ่งเป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่มีอยู่แลกกับเข็มและด้ายหนึ่งกลุ่มถวายเป็นบริวารกฐินนี้ ขอให้ได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตชาติด้วย พระพุทธเจ้าปทุมุตระทรงเล็งเห็นด้วยพระญาณว่านายมหาทุคคตะนี้ในอีก ๙๑ กัปป์ จะกลับมาเกิดในตระกูลกษัตริย์ มีพระนามว่า เจ้าชายสิทธัตถะ และจะทรงออกผนวชจนได้เป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด การแสดงธรรมฉลองกฐิน ก็มีสาระสำคัญเท่านี้ครับ (ผมเก็บความเพิ่มเติมเรื่องอานิสงส์กฐินทานจาก //www.kaskaew.com ) อานิสงส์มากอย่างนี้แล้ว เราชาวพุทธทั้งหลายคงไม่เพิกเฉยที่จะทำบุญทอดกฐินกันนะครับ ไม่มีปัจจัยไม่เป็นไร การได้ขวนขวายให้งานทอดกฐินสำเร็จ ก็ได้บุญมากแล้ว โรงทานคนมาอุดหนุนกันเนืองแน่น ถวายภัตตาหาร พระสงฆ์ตักอาหารในเต้นท์อาหาร อาหารมากมายจากญาติโยมที่นำมาถวาย ยกผ้าถวาย ตั้งจิตอธิษฐานก่อนถวายผ้า ร่วมกันถวายผ้าผืนที่จะตัดเย็บจริง พระกำลังกรานกฐิน |
อุษา
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?] All Blog
|
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |